บุญใหญ่ อะไรหรอครับที่ปิดอบาย
#1
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 06:56 PM
บอกทีนะครับ ขอบคุณมากครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ^^
#2
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 07:14 PM
หรือบรรลุธรรมเบื้องสูงขึ้นไป
#3
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 08:06 PM
แต่หากอยากปีดอบายจริงๆ โดยเราก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ จะทำยังไงล่ะ อ๋อ ให้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ อย่าประมาทในการดำรงชีวิตครับ
ซึ่งครูไม่ใหญ่ท่านขยายความเป็นเคล็ดวิชาให้นักเรียนอนุบาลฝันในฝัน ดังนี้ครับ
1. อดีตในเคยผิดเคยพลาด ลืมให้หมดอย่าไปนึกถึงมัน วิธีนี้ เคยช่วยเพชรฆาตเคราแดงพ้นจากอบายมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า เพชรฆาตเคราแดงฆ่าคนมาตลอดชีวิต ไปฟังธรรมจากพระสารีบุตร แต่ไม่อาจส่งใจไปตามกระแสธรรมได้ เพราะนึกถึงคนมากมายที่ตนฆ่าไป พระสารีบุตรท่านเทศน์ให้สติ ทำให้เพชรฆาตเคราแดงไม่สนใจอดีตที่เคยผิดพลาด จากนั้นก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เห็นมั้ย หนึ่งในวิธีปิดอบายได้ คือ ลืมอดีตที่เคยผิดพลาดให้หมด
2. บาปทุกชนิดไม่คิดทำต่อ คือ หากยังเป็นประเภท วัดก็เข้า เหล้าก็กิน สัตว์ก็ฆ่า โกงเมื่อมีโอกาส อย่างนี้ต่อให้บวช แล้วสึกออกมาก็ปีดอบายไม่ได้ครับ แต่ถ้าตั้งใจว่า อดีตที่ผ่านมายังไงไม่รู้ แต่ต่อจากนี้ไป ฉันจะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ อย่างนี้มีโอกาสปิดอบายในชาตินี้ได้ครับ
3. บุญทุกชนิดสั่งสมให้เต็มที่เต็มกำลัง นอกจากไม่ทำบาปแล้ว ทำแต่บุญอยู่เป็นนิตย์ ยึดหลัก เช้าใดยังไม่ทำทาน เช้านั้นอย่าเพิ่งทานข้าว เป็นต้น
4. หมั่นนึกถึงบุญทุกบุญที่ทำไปอยู่เสมอ
5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน จิตใจจะผ่องใสเสมอๆ
ทำได้ครบห้าข้อนี้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (ไม่ใช่ทำๆ หยุดๆ) รับรองปิดอบายแน่ครับ
#4
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 08:12 PM
#5
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 09:29 PM
#6
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 09:33 PM
ก็ให้ทำตามหลัก 5 ข้อที่คุณครูไม่ใหญ่ว่ามาข้างต้นนั่นแหละครับ
#7
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 09:40 PM
สบายใจขึ้นมากเลย อิอิ
#8
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 09:51 PM
วันนี้.. คุณสร้างพระประจำตัวแล้วหรือยัง ???

เราให้กำลังใจใคร กำลังใจนั้นจะบังเกิดขึ้นในตัวของเรา
มันจะขยายเป็นพลังอนันต์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจะยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก
#9
โพสต์เมื่อ 08 April 2010 - 10:30 PM
ลองศึกษาได้จาก case study หลายเคส
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#11
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 12:33 AM
ไม่ได้ทำจริง ผมมุสา คุณหัดฝัน ขออโหสิกรรมนะครับ
#12
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 03:30 AM
บาปหรืออดีตที่ผิดพลาดลืมไปให้หมด.............. และมาสั่งสมบุญทุกชนิด
#13
โพสต์เมื่อ 09 April 2010 - 10:43 AM
...การบวชลงทุนน้อยที่สุดแล้วครับในเรื่องทรัพย์ แต่ลงทุนมากที่สุดด้วย กาย วาจา ใจ สติปัญญา และศรัทธา คุณเอาเลือดเนื้อร่างกายและจิตใจที่พ่อแม่ให้มา ไปตอบแทนท่าน ตอบแทนพระพุทธศาสนาด้วยการเป็นอายุของพระศาสนา และบวชเพื่อฟื้นฟูรักษาประเพณีที่ดีงานของชาวพุทธให้คงอยู่ต่อไป และตั้งใจปฏิบัติธรรมให้สงบและมีความสุขเพื่อเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น นี่แหละบุญใหญ่ที่สุดที่ลงทุนทรัพย์น้อยที่สุดและเป็นวิถีแห่งอริยะที่สุดแล้วจ้า..
#14
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 02:22 AM
หลวงพ่อฤาษีลิงดำบอกว่าพระเณรสมัยนี้ตกนรกกว่า 90เปอร์เซ้น
#15
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 07:40 AM
#16
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 12:15 AM
ถ้าปฏิบัติตัวแบบ "เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน ค่ำจำวัด ดึกสงัดซัดมาม่า" ก็ไปเกิดเป็นหมู เป็นวัวควาย ถ้าฟุ้งซ่านก็ไปเกิดเป็นคนธรรพ์
จาก http://www.dmc.tv/fo...showtopic=15434
แต่ถ้าปฎิบัติดี ก็จะส่งผลอย่างกรณีศึกษาข้างล้าง ที่ได้ยากมา
เราควรเอาความกลัวนั้น มาเป็นความตั้งมั่นที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ในขณะบวชมากกว่า แทนที่จะกลัวการบวชเพราะกลัวว่าจะผิดศีลตอนบวชแล้วตกนรก ณ072 รู้สึกเหมือนกับว่าการคิดแบบนั้นเป็นตรรกะที่ไม่ถูกต้องน่ะค่ะ คงต้องขอให้ท่านอื่นช่วยอธิบายเพิ่มเติมแล้วล่ะค่ะ
===============================
ในอดีตชาติ แม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย เป็นนักเลงหัวไม้ เกเร เจ้าชู้ ดื่มสุรา และเล่นการพนัน แต่ยังดีที่มีบุญบวชช่วงสั้นอยู่ระยะหนึ่ง บุญนี้จึงอุ้มเอาไว้ไม่ให้ไปอบาย แต่ก็ทำให้มาเกิดเป็นผู้หญิง และติดนิสัยเดิมๆ คือ ชอบเฮฮา, เข้าสังคม และอบายมุข
* วิบากกรรมที่ได้เคยเป็นนักพนัน ชอบหลอกชอบโกงผู้อื่น ดังนั้น ชาตินี้ จึงลำบากเรื่องเงินทอง มีเมื่อไหร่ก็ถูกโกงเมื่อนั้น
* เคยสร้างบารมีกับหมู่คณะมานาน แล้ว แต่ก็พลัดพรากกันมายาวนาน เพิ่งจะมาเจอกันอีกในชาตินี้ ก็อย่าให้พลัดกันอีก ให้สร้างบารมีไปจนกว่าจะหมดอายุขัย และตั้งใจให้ดี จะได้ไปอยู่ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษด้วยกัน
จาก http://www.dmc.tv/pa...2547-05-22.html
===============================
2.ท่านได้รับบุญที่อุทิศให้ แม้จะเป็นการบวชหน้าไฟ แต่ก็ส่งผลช่วยปิดอบายให้เตี่ยได้ แม้ว่าท่านจะทำปาณาติบาตมาตลอด
* ดังนั้น เตี่ยจึงไปเป็นภุมมเทวาชั้นล่าง มีวิมานเล็กๆอยู่แถวๆนั้น แต่ไม่ค่อยจะมีอาหารทิพย์สักเท่าใด
* บุญนี้จะคุ้มเตี่ยได้ไม่นาน เพราะกรรมปาณาติบาตมาจ่อรอส่งผลอยู่
* ลูกจะต้องรีบสั่งสมบุญแล้ว อุทิศไปให้ท่านอย่างต่อเนื่อง อย่าประมาท บุญที่แรงในตอนนี้ คือ บุญสร้างองค์พระสามแสนองค์ หรือจะให้หลานชายบวชให้ท่านอีกก็ยิ่งดี หรือ ลูกต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
จาก http://www.dmc.tv/pa...2547-03-17.html
================================
ถ้าไม่ได้บุญบวชพระลูกชายคงไปอยู่อบายแล้ว
บุญที่บวชตลอดชีวิตในชาตินั้นจึงมาอุ้มไว้ไม่ให้มี อันตรายถึงตายตอนประสบอุบัติเหตุ และทำให้มามีโอกาสบวชอีกครั้ง จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
http://www.dmc.tv/pa...2547-11-13.html
================================
ที่ไม่ไปมหานรก เพราะได้บุญที่ได้บวชตัวลูกและบุญอื่นๆที่ลูกทำให้
http://www.dmc.tv/pr...2549-11-14.html
http://www.dmc.tv/pr...2547-10-07.html
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#17
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 12:48 AM
หลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่า "เกิดมาสร้างบารมี มิใช่เกิดมาชดใช้กรรม"
การยึดติดแต่เรื่องกรรมเก่า เป็นลัทธิกรรมเก่า เป็นหนึ่งในมิจาทิฏฐินะครับ
ส่วนที่ท่านสอนให้ลืมอดีตข้อผิดพลาดให้หมดนั้น(แต่นำมาพิจาณาว่าอย่าประมาททำชั่วได้) ก็คือให้พิจารณาถึงปัจจุบันธรรมให้มากๆ ซึ่งเป็นไปตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา
เวลาเราอธิษฐานก็ไม่ควรอธิษฐานว่าจะชอใช้กรรมให้หมดสิ้นเด็ดขาด เพราะเราจะซวยมากๆเพราะสร้างกรรมมาไม่รู้เท่าไร
ทางที่ถูกต้องอธิษฐานให้บุญบารมีส่งผล ส่งเสริม ให้ได้รับความสุข สำเร็จ เข้าถึงธรรม และเป็นบุญต่อบุญ เสริมให้ได้บัาเพ้ญบารมีได้สะดวกยิ่งๆขึ้นไป
หลวงปู่สดสอนไว้ให้เอาใจจรดไว้ที่ศูยน์กลางกาย(072) ตรงนี้เป็นอู่ทะเลบุญ จรดใจไว้เสมอๆ บุญจะส่งผลเสมอๆครับ
การสร้างบารมีมีมากมาย อย่าเข้าใจไปว่าเป็นเรื่องเงินๆทองๆเท่านั้น
แต่เรื่องเงินทองเป็นสิ่งพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เพรากองทัพธรรมต้องเดินด้วยท้อง และสรรพาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ จำเป็นต้องระดมทุน อาศัยทุนทั้งนั้น
บางบุญเราทำด้วยเงิน แต่เจตนาระลึกถึงบุญนั้นๆด้วย เช่นถวายปัจจัยค่าภัตตาหาร ก็ระลึกถึงเจตนาว่าเราถวายภัตาหารด้วย
บุญบารมีมี 10 ประการ สร้างให้ครบนะครับ
โดยพื้นฐานมี ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ซึ่งภาวนากุศลเนี่ยอานิสงส์สูงกว่าทานมากมายนัก เช่นการบวช บวชสั้นๆก่อนก็ได้ จะได้มีโอกาบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี และมีเวลาภาวนากุศลมากยิ่งขึ้นด้วยครับ
แล้วทุกอย่างจะหนุนนำ หมุนเวียน ใหเราได้บำเพ็ญบุญกุศลบารมีได้ถึงพร้อมยิ่งๆขึ้นไปครับ ยิ่งเรื่องเงินทองจะหนุนนำตามที่หลวงพ่ออวยพรอยู่เสมอๆว่า "จงมีสมบัติ ตักไม่พร่อง"[/b]

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#18
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 02:51 AM
ถ้ามีคนบอกท่านว่า "เชื่อเทพเจ้าสิ แล้วท่านจะพ้นจากเวรกรรม เทพเจ้าจะล้างเวรกรรมให้ท่าน ไม่ตกนรกแน่นอน"
ท่านจะเชื่อไหมครับ?
บางคนเชื่อนะครับ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ประมาณ จะเชื่อซะอย่าง เชื่อแบบนี้ สบายใจ....!!! (ก็เคารพในสิทธิ ความเชื่อของเขาแล้วกัน)
บาปกรรมทางศาสนาเทวนิยมบางศาสนา เขาสอนว่าเทพเจ้าสร้างทุกอย่าง และ มาร ปีศาจ ดลใจให้ทำชั่ว โรคร้าย ภัยพิบติ เทพเจ้าก็สร้างขึ้น บาปกรรมทุกอย่างด้วย เขาให้เหตุผลว่าเทพเจ้าอนุญาติให้เกิดขึ้น และได้ตั้งบัญญัติข้อแม้ต่างๆกับสิ่งสร้าง หากทำได้ตามนั้น ยอมรับ จำนน จำยอม ต่อเทพเจ้า ก็จะยกบาปกรรมกันได้อย่างง่ายๆ ถือว่าเป็นความรักเมตตาที่เทพเจ้าประทานให้ ก็เพราะว่าเทพเจ้าสร้างขึ้นเองทุกอย่าง ก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง
ความเชื่อเช่นนี้ บางคนก็เลือกที่จะเชือเพียงเพื่อความสบายใจ เสมือนการให้กำลังใจตนเอง เลือกที่จะจบทุกอย่างไว้กับสิ่งที่เรียกว่าเทพเจ้า จะดี ชั่ว ก็จบตรงนั้น สบายใจ ขอเพียงแค่จำนน จำยอม ทุกอย่างก็ราบรื่น
ก็เป็นเพียงทิฏฐิอย่างหนึ่งของศาสนาเทวนิยมบางศาสนานะครับ หากจริตบางคนบางท่านชอบเช่นนั้นก็แล้วแต่ครับเป็นสิทธิ์ของเขา
ผมแนะนำให้ไปอ่าน สามัญญผลสูตร พรหมชาลสูตร ทิฏฐิ 62 เพิ่มเติมได้นะครับ
สำหรับอริยะสัจธรรมอันสูงสุดที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ บาปกรรม นรก สวรรค์ เรากำหนดเองได้ อยู่ที่ใจเราเป็นใหญ่ (มโนปุพพังคมา ธรรมมา)
และก็เป็นเรื่องง่ายๆ แค่เพียงคุณระลึกถึงพระรัตนตรัย แล้วพิจารณาปัจจุบันธรรม ในเรื่องบุญกุศลอยู่เรื่อยๆ บาปกรรมก็จะถูกเก็บฤทธิ์ จากหนักเป็นเบา ยิ่งเร่งสร้างบารมีบาปกรรมก็แทบหายไปเลย
จะมีอะไรยากในพระพุทธศาสนาเช่นกัน
เช่น นายมัฏฐกุณฑลี เกิดมาไม่เคยทำบุญก่อนตายแลเห็นพระพุทธเจ้าตายไปเป็นเทวดา
ค้างคาวห้อยหัวฟังพระภิกษุสงฆ์เจริญพระอภิธรรมตายไปอยู่สวรรค์ เกิดมาอีกทีบรรลุปฏิสัมภิทา
บางคนกำลังเอาดอกบัวไปบูชาพระธาตุ เกิดตายไปขณะนั้น ยังไม่ทันได้บูชา แต่จิตเป็นกุศลทำให้ไปเกิดบนสวรรค์
อีกตัวอย่าง โจรเคราแดง เพชรฆาตของพระราชา ฆ่าคนมาตลอดชีวิต ก่อนตายได้ถวายทานและฟังธรรมจากพระสารีบุตร บรรลุโสดาบัน ตายไปขณะนั้น ยังได้ไปเกิดในสวรรค์ ปิดอบายแน่นอน
ผมกำลังจะแนะนำว่ ใครที่มีเรื่องอะไรอยู่ในใจ หนักบ้าง เบาบ้าง อย่าเดือดร้อนใจเลยครับ ระลึกถึงกุศลอันเป็นปัจจุบันธรรม เรื่อยๆ มีพระรัตนตรัยอยู่ในหัวใจ ท่านก็สามารถอยู่เหนือบาปกรรมทั้งปวงได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
"ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ ที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ มาเถิด จงนั่งลง เราจะแสดงธรรมให้เธอฟัง....มีใจสงบ เบิกบาน ผ่องใส"
"บุคคลเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า"
จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องพระยสะ และ อลคัททูปมสูตร มู. ม. (๒๘๘)

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#19
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 08:23 PM
#20
โพสต์เมื่อ 14 April 2010 - 09:27 PM

ผมไม่ได้ออกชื่อศาสนาไหน ไม่ได้มีเจตนาหมิ่น แต่เป็นไปในแนวศาสนศึกษาเปรียบเทียบ
ผมมุ่งเพื่อประโยชน์แก่การเข้าใจพุทธศาสนา และหวังดีกับคุณนั่นแหละครับ
ที่มาของประสบการณ์ ทำให้ผมโพสต์เช่นนั้น ดังต่อไปนี้.....
คุณรู้ไหมครับตามบอร์ดศาสนาอื่นบางศาสนา หากมีกรณีประมาณคุณนี้ เขาจะรีบหว่านล้อมทันที และบอกว่าเทพเจ้าของเขานั้นมีอำนาจ เพียงแค่คุณกลับใจเชื่อ คุณจะหายเหนื่อย หลุดพ้นจากเวรกรรม ปิดอบายไม่ตกนรกแน่นอน
และเขายังล่วงเกินศาสนาพุทธด้วยว่า เป็นศาสนาที่ลำบาก ต้องอัตตาหิ อัตตโน นาโถ พึ่งตนเอง ต้องบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม เหนื่อยมาก กว่าจะบรรลุธรรมได้
ผมก็เลยเป็นทนายแก้ต่างให้ศาสนาพุทธเอาไว้ ว่าแค่พุทธานุสสติ ก็เป็นปัจจัยทำให้เราหลุดพ้นจากกรรมได้ พุทธานุสสตินั้นง่ายๆเช่นกัน
ผมเองเคยเป็นคนต่างศาสนามาก่อน ก็เพราะวิชชาธรรมกายทำให้ผมเปลี่ยนมาเป็นสัมมาทิฏฐินานมาแล้วตั้งแต่ยังวัยรุ่นนะครับ
ที่นำมาโพสต์ก็มาจากประสบการณ์ มิได้หมิ่นศาสนาอื่นนะครับ ทัศนะผม ทุกศาสนานั้นดี แต่ศาสนาพุทธดีสมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้ว
เรื่องการระวังคำพูดผมระวังอยู่แล้วครับ หากดูว่าไม่เหมาะสม เรียนแอดมินท่านพิจารณา ลบ หรือ แก้ไขได้ ไม่มีปัญหา
แต่ไม่ควรมองในแง่ลบ ว่าผมดูหมิ่นศาสนาอื่น เหมือนผมเป็นคนไม่รู้จักคิด มันจะเสียกำลังใจคนโพสต์นะครับท่าน ตั้งใจพิมพ์ไว้ซะยาว อิอิ


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#21
โพสต์เมื่อ 15 April 2010 - 01:10 PM
#22
โพสต์เมื่อ 15 April 2010 - 01:31 PM
ในบรรดา เคสสตั๊ดดี๊ ของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน ก็มีกรณีศึกษาเชิงศาสนศึกษามากมายหลายเคสที่เกี่ยวเนื่องกับเทวนิยม
สิ่งที่ผมโพสต์ไว้ก็เป็นไปในเชิงศาสนศึกษาที่ระวังคำพูด เพื่อการวิจัยรรมของศาสนาพุทธ เพื่อเป็นทนายแก้ต่างให้พระพุทธศาสนาจากประสบการณ์ และสุดท้ายก็หวังดีต่อคุณ
กลายเป็นคุณเองที่จาบจ้วงพระพุทธศาสนา จากโพสต์นี้ชัดเจน
และยังแปรเจตนาผู้ร่วมสนทนาธรรมเป็นอื่น อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ คุณนั่นเองที่น่าสงสัยมาก ว่าเป็นอย่างไร

แนะนำให้ไปอ่านทิฏฐิ 62 เพิ่มเติมนะครับ เป็นพระสูตรศึกษาเปรียบเทียบทิฏฐิความเชื่อต่างๆ หรือคุณจะย้อนกลับอีกว่า พระพุทธองค์จาบจ้วงศาสนาอื่นๆ

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#23
โพสต์เมื่อ 15 April 2010 - 01:44 PM
มันเป็นสิทธิ์ของคุณที่จะนับถือศาสนาใดๆ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ดูหมิ่นศาสนาอื่นๆ
ไม่ว่าจะความเชื่อ หรือ สิ่งใดๆก็ตาม เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี
ส่วนเคสผมคุณจะคิดยังไงก็ช่าง ผมมีความเชื่อว่าต้องทำความดีเท่านั้น
และได้โปรดอย่ามาสงสัยในตัวผม เพราะ คุณไม่มีสิทธิ์ !
#24
โพสต์เมื่อ 15 April 2010 - 01:46 PM
เพื่อความเข้าใจอันดี ขอย้ำว่า ผมมีเจตนาเพียงแค่วิจัยธรรมเชิงศาสนศึกษาเปรียบเที่ยบเท่านั้น
แต่ดูจากการโพสต์กลับของคุณแล้ว ขอบอกเลยว่า ไม่น่าเสวนาธรรมด้วยเลยครับ อาจทำให้กระทู้ดูเสมือนกำลังขัดแย้ง ทั้งๆที่ไม่มีเจตนาเช่นนั้น
ผมว่าบอดร์เราไม่มีความขัดแย้งนะครับ ทำไมคุณมีมุมมองเสมือนตั้งอคติไว้ก่อนนะครับ

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#25
โพสต์เมื่อ 15 April 2010 - 01:54 PM
ปล.ย้ำคุณไม่ได้แก้ต่างให้พระพุทธศาสนา เพราะผมไม่ได้โจมตีพระพุทธศาสนา
ปล.2 ผมก็ไม่อยากเสวนาธรรมกับคุณเช่นกัน
#26
โพสต์เมื่อ 15 April 2010 - 02:12 PM
สังเกตุว่าคุณอาจจะมองไปในแง่ลบเกินไปหรือเปล่าครับ เรื่องเสวนาธรรมเชิงศาสนศึกษา กลับมองว่าเป็นการดูหมิ่น จาบจ้วง ??? !!!
หากมันจะทำให้คุณไม่พอใจ ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมผมก็ขออภัยทุกประการ
ผมเองก็สนทนากับ น.ร. อนุบาลทุกท่านในบอดร์นี้มาพอสมควร ในชื่ออื่นนะครับ แต่ก็ไม่เคยขัดแย้งกับใครเลย รู้สึก งง ๆ เล็กน้อยครับ เมื่อมาพบคุณ



เมตตา สันติ นักเรียนอนุบาล ลูกพระธัมฯ
งง?

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#27
โพสต์เมื่อ 15 April 2010 - 09:40 PM
ตามหลัก"สากลนิยมทั่วโลก"ของการศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ , ถูกต้องแล้วที่ไม่ระบุชื่อศาสนา , ถูกต้องแล้วที่ใช้คำว่าเทวนิยม , เพราะเทวนิยมเป็นคำสากลที่ใช้กันทั่วโลก, ในโลกนี้ตั้งแต่ห้าพันกว่าปีก่อน เช่น ศาสนาอียิปต์โบราณยุคปิรามิดที่นับถือพระเจ้างู,แมวดำ,ฯลฯของอียิปต์ในยุคนั้น มีคนนับถือหลายล้านคน ปัจจุบันนี้ก็ไม่มีสาวกแล้ว , หรือศาสนาโซโรอัสเตอร์โบราณ ก็เช่นกัน.
ในอินเดียปัจจุบัน ก็มีพระเจ้า,เทพเจ้ามากมายนับร้อยนับพัน ทั้งเทพเจ้าช้าง,โค,ฯลฯ พร้อมเทวาลัยใหญ่โต.
ปัจจุบันนี้ก็เช่นเดียวกับในอดีตที่สัญชัยปริพาชกพูดกับอุปติสสะมานพ(พระสารีบุตร)ว่า "คนฉลาดมีน้อยกว่า ให้ไปอยู่กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า", หน้าที่เราจึงต้องทำให้คนฉลาดมีมากขึ้น ด้วยการไปชวนบวชหน่ออ่อนและบวชแสนพรรษาให้เต็มที่เกินเป้า.