เพราะปัญหาเรื่องคน คือ เจ้าของบริษัทไม่ซื่อต่อภรรยาซึ่งเป็นอาจารย์สอนเราตอนเรียนโท
และยังแจกเงินให้สาวๆลูกน้องเรา ซึ่งใครๆก็รู้ว่าคืออะไร.. แต่ไม่มีใครเล่นด้วย
มากกว่านั้น เราเหนื่อยที่จะต้องมาคอยสร้างภาพพจน์ที่ดีให้เขาดูดีในสายตาลูกน้องเรา
ในเมื่อเขาทำตัวไม่ดีแบบนี้ และทำให้น้องๆเรา(เราคุมหมดทั้งบริษัท)เสื่อมศรัทธากับองค์กร
มากกว่านั้นคือ เขาชอบพูดถึงวัดในแง่ร้าย ซึ่งเรารับไม่ได้เลย..
และยังชอบพูดให้เราเลิกถือศีล ๘ อีก ซึ่งเรารำคาญมาก.. แล้วหลังๆยังชอบหาเรื่องเราอีก..
สถานการณ์ตอนนี้..
- ตังค์เก็บไม่เหลือแล้ว.. (อายจัง)
- เราต้องจ่ายหนี้ค่าบ้านอีก 2 ล้าน เดือนละ 20,000 บาท
- จ่ายหนี้บัตรเครดิตอีกร่วมแสนบาท จ่ายเดือนละประมาณ หมื่นเศษๆ
- คุณพ่อเกษียณนานแล้ว ตังค์เก็บแทบไม่เหลือแล้ว
- คุณแม่ไม่มีรายได้อื่นใด นอกจากที่ลูกๆให้
- พี่ชายบอก.. ไม่มีเงินช่วยแล้วนะ.. เพราะเขาก็มีภาระลูกเมีย ซึ่งน่าเห็นใจ
- เราอยากขายบ้านทิ้ง.. เอาเงินมาใช้หนี้.. แล้วเริ่มต้นใหม่กับเงินที่เหลือ (ซึ่งน่าจะราวๆล้านบาท)
(ใจอยากถวายหล่อหลวงปู่ทองคำให้หมดเลย.. แล้วไปอยู่วัด.. แต่วัดคงไม่รับง่ะ..)
แต่.. ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชาย.. ไม่มีใครเห็นด้วยและไม่อยากให้ขายเลย.. แต่ก็ไม่มีตังค์ช่วย
แล้วเราจะทำไงเนี่ย.. เอิ๊ก..
- เรารับงาน Website มาทำที่บ้าน ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้กี่ตังค์.. เราไม่กล้าพูด
เพราะแม้จะเพิ่งรู้จักพี่เขา แต่ก็เคารพรักและเกรงใจอย่างมาก (ก็คนมาวัดนี่นา)
(ถ้าสะดวกเรื่องเงินจะทำให้ฟรีเลยนะเนี่ย)
- เราไม่สมัครงานแล้ว เพราะพิสูจน์มาแล้วว่า หากจะถือศีล ๘ แบบเน้นๆ ไม่เหมาะจะทำงานบริษัท
เพราะสิ่งสกปรกข้างนอกนั้น.. มันเยอะมาก.. แต่ละวันต้องกลับมานั่งสมาธิอย่างยาวนาน
เพื่อชำระล้างใจ.. ไม่งั้นจะรู้สึกไม่ดีเลย.. แล้วก็จะพักผ่อนไม่พอด้วย.. อีกอย่างคือ พออายุเริ่มมาก
โอกาสได้งานก็น้อยลงเป็นธรรมดา ถึงจะเก่งยังไงก็เถอะ.. ควรหาอะไรทำเป็นของตัวเองจะดีที่สุด
(แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน)
- คุณแม่มานอนที่บ้าน บ่นให้ฟังทุกวัน ท่านว่า ทำไมเราดูใจเย็นจังเลย..
เราไม่มีตังค์เก็บเหลือเลย.. ยกเว้นตังค์ที่หยอดมณีทวีบุญ ไม่กี่ร้อย.. เพราะ..
- ปกติเราต้องจ่ายหนี้มหาศาลในแต่ละเดือนทั้งบ้าน, บัตรเครดิต(ที่มันเยอะ เพราะที่ผ่านมา
เราเอาหลานสาว(ลูกพี่ชายคนโต คนละพ่อกับเรา)มาเลี้ยงเหมือนลูกสาว (เรียนอยู่ปี 2 แล้ว)
(เพราะพี่ชายต่างบิดา เขาลำบากมากๆ เราอยากช่วย) ค่าใช้จ่ายเลยเพียบบบ)
- อีกอย่างคือ เราจะบ้าทำบุญมาก เดือนละประมาณ 6,000-7,000 บาทตลอด ทั้งที่หนี้สินบานตะไท..
ช่วงพิเศษก็ 15,000-20,000 บาท.. ต้องรูดบัตรมาทำบุญก็ยอมด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง..
เดือนที่ผ่านมาตังค์ไม่พอ เลยต้องหยุดทำบุญ "บูชาข้าวพระตลอดชีวิต" ที่ทำมาเกือบปีแล้ว..
และตั้งใจจะทำตลอดชีวิตจริงๆ.. (แต่ในที่สุด ก็ต้องยอมจำนน.. แต่เราจะกลับมาใหม่แน่ๆ)
แต่ยังเค้นเงินมาทำหนังสือ "อยู่ในบุญ" ที่เป็นเจ้าภาพทุกเดือน.. และคิดว่าจะเป็นไปตลอดชีวิต
เพราะอยากให้เป็นจุดเปลี่ยนของคนอีกหลายคนบนโลก
ทุกวันนี้เราไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะดีที่สุด..
แต่สิ่งที่เรารู้อยู่อย่างเดียวคือ.. เรายังทำทาน รักษาศีล ๘ และนั่งสมาธิทุกวันทุกคืน
แม้จะมีตังค์ทำทานน้อยมากแทบไม่มี (ปลายเดือนที่แล้วยังเค้นมาเลี้ยงเพลพระที่วัด 200 บาทเลย)
ใครจะมาห้าม หรือมาหยุด ไม่ให้เราทำทาน, รักษาศีล ๘, นั่งสมาธิ เราจะไม่ยอมเด็ดขาด..
ส่วนมากก็คุณแม่นี่แหละ เราก็เข้าใจนะว่าท่านเป็นห่วง
ท่านจะเป็นห่วงเราเรื่องปาก-ท้อง-ที่อยู่อาศัย.. ประมาณนี้..
แต่เรากลับดูเหมือนไม่สนใจอะไรในสิ่งที่เป็นอยู่ในชาตินี้เลย..
แต่เราก็ตั้งใจทำงานที่รับมานะ.. ทำทั้งวันถึงกลางคืนเลย..
เราไม่รู้จะทำอย่างไรให้ดีไปกว่านี้แล้ว.. จึงเกิดกระทู้นี้ขึ้นมา..
คำถามที่คาใจ..
1. ตกลงอย่างเรานี่เค้าเรียกว่าใจเย็นหรือ.. ?
2. เราผิดจากคนปกติหรือเปล่า.. ?
3. ทำไมเราเป็นแบบนี้.. ?
4. คนอื่นที่เจอแบบนี้เขาทำยังไงกันหรือ.. ?
5. แล้วเราควรทำอย่างไร.. ?
ที่ถามเพราะหลังจากฟังคุณแม่บ่นบ่อยๆ.. เราเริ่มไม่แน่ใจ และสับสนกับตัวเอง..
เลยต้องถามใครสักคน(ที่มีธรรมมะในหัวใจ)ให้หายข้องใจ..
กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ และทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยม..
และกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ และทุกท่านที่ตอบคำถามให้เราหายข้องใจจ้า..
ขอให้ธรรมมะสว่างไสวโชติช่วง.. สาธุ.. สาธุ.. สาธุ..
