ถ้ามีคนต่อว่าเราว่า "มีเงินเท่าไหร่เอาไปทำบุญหมด"
#1
โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 08:40 AM
แทนที่จะเอาเงินมาช่วย พี่น้องที่กำลังเดือดร้อน ...(ซึ่งจริง ๆ แล้วเรากล้าพูดได้ว่าเราให้และช่วยเหลือเค้ามาตลอด ถึงแม้ไม่มากมาย แต่เหมือนเค้าไม่เคยมองเห็นความดีที่เราให้เค้า พอเค้าสบายเค้าก็เงียบหายไป)
#2
โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 09:45 AM
เงินของเรา ทำไมต้องเสียดายแทนเราด้วย
การที่พี่น้องเดือดร้อนก็เพราะ ไม่ได้สร้างบุญมาในอดีต
ดังนั้นต้องเร่งสร้างบุญเอาไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนอีกในอนาคต
ถ้าเขาไม่เข้าใจ ก็ต้องพยายามเป็นกัลยาณมิตรปรับให้เขาเป็นสัมมาทิษฐิ
ให้ได้ก่อน ให้เข้าใจว่ามิจฉาทิษฐิมีดังนี้
ความเห็นที่จัดเป็นมิจฉาทิฐิมี ๑๐ อย่าง คือ เห็นว่าการให้ทานไม่มีผลจริง
การบูชาไม่มีผลจริง การเคารพบูชาไม่มีผลจริง ผลวิบากของกรรมดีกรรมชั่วไม่มีจริง
โลกนี้ไม่มีจริง คุณของบิดา ไม่มีจริง คุณของมารดาไม่มีจริง คุณของบิดาไม่มีจริง
พวกโอปปาติกะ (พวกเกิดทันทีเช่นเทวดา) ไม่มีจริง สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติ
ชอบจนบรรลุมรรคผลนิพพาน รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองแล้วสอนให้ผู้อื่นรู้ตามได้ด้วยไม่มี
มิจฉาทิฐิ จัดเป็นมโนทุจริต (ความชั่วทางใจ) มีโทษรุนแรงที่สุด ยิ่งกว่าการทำบาปกรรม
อื่นๆ เป็นเหตุให้คนที่เห็นอย่างนั้นปฏิเสธเรื่องบาปบุญ และสามารถทำชั่วได้ทุกอย่าง
เช่นฆ่าพ่อฆ่าแม่ก็ได้
#3
โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 11:24 AM
"พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำบุญในพระพุทธศาสนา สงเคราะห์ญาติ และสงเคราะห์โลก เราว่า เราก็ทำครบนะ ทำบุญกับพระเราก็ทำ ช่วยญาติเราก็ช่วย แบ่งเงินมาช่วยเหลือคนอื่น เราก็ทำ อย่างช่วยคนลำบากที่น้ำท่วมแม้จะทำผ่านพระ แต่ก็เอาเงินไปช่วยพี่น้องคนไทยที่ลำบากนะ เราว่าเราไม่ได้มีเงินเท่าไหร่เอาไปทำบุญหมด เพราะเราก็แบ่งๆ ไปทั้งช่วยญาติและคนที่ลำบากนะ"
ลองไปพิจารณาดูนะครับ ว่าตอบแบบนี้เค้าพอจะรับได้ไหม
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#4
โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 11:50 AM
พ่อ...คือเมฆขาวบนผืนฟ้าใส
พ่อ...คือริ้วคลื่นโถมซบทราย
พ่อ...คือร่มไม้บนทางฝัน
พ่อ...คือสายลมเย็นในวันร้อน
พ่อ...คือบทกลอนปลุกปลอบขวัญ
พ่อ...คือความงดงามของคืนวัน
พ่อ...คือความภาคภูมิใจของฉันทั้งชีวิต
Add มาสนทนาธรรมกันได้นะคร้าบ :--> [email protected]
#5
โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 12:46 PM
การที่ใครพบเจอเช่นนั้น พึงสังวรไว้อย่างหนึ่งว่า ชาติอดีตเราอาจเคยทำคล้ายๆ อย่างนี้มาก็ได้ครับ ชาตินี้ก็ให้อดทน พยายามสร้างความดี ชี้แจงเขาต่อไป ถ้าชี้แจงแล้วเขาก็ยังไม่เข้าใจก็
...ทำดีเรื่อยๆ ไปนะครับ
#6
โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 01:49 PM
#7
โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 02:02 PM
#8
โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 02:06 PM
ถ้าไม่ทำบุญ ก็ไม่ได้บุญ
เราช่วยเหลือญาติ ช่วยให้เขาไม่ลำบาก ตามสมควร ตามหน้าที่ที่ควรทำ
แล้วเราก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการทำบุญให้ตัวเอง ด้วย
แล้วถ้ายังมีใครมาว่าเราอีก เราก็ยังต้องทำบุญต่อไป ดีกว่า ค่ะ
บุญ ถ้าเราไม่ทำเอง แล้วจะให้ใครมาทำให้เราละคะ (ญาติเขาคงไม่ทำให้ ถ้าเขาพูดยังงั้นนะคะ)
เพราะถ้าเราทำไว้ดีแล้ว ก็โปรดทำดีต่อไป
พี่เข้มแข็งไว้นะคะ พี่จะได้เป็นที่พึ่งให้คนอื่นๆ และญาติๆด้วย นะคะ
#9
โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 02:32 PM
๑๗.การสงเคราะห์ญาติ
ลักษณะของญาติที่ควรให้การสงเคราะห์ เมื่ออยู่ในฐานะดังนี้คือ
๑.เมื่อยากจนหาที่พึ่งมิได้
๒.เมื่อขาดทุนทรัพย์ในการค้าขาย
๓.เมื่อขาดยานพาหนะ
๔.เมื่อขาดอุปกรณ์ทำมาหากิน
๕.เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
๖.เมื่อคราวมีธุระการงาน
๗.เมื่อคราวถูกใส่ความหรือมีคดี
การสงเคราะห์ญาติ ทำได้ทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่
ในทางธรรม ก็ช่วยแนะนำให้ทำบุญกุศล ให้รักษาศีล และทำสมาธิภาวนา
ในทางโลก ก็ได้แก่
๑.ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สิน หรือเงินทองเพื่อให้เขาพ้นจากทุกข์หรือความลำบากตามแต่กำลัง
๒.ใช้ปิยวาจา คือการพูดเจรจาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน สุภาพ และประกอบไปด้วยความปรารถนาดี
๓.มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์กับเขา อาจช่วยเหลือด้วยแรงกาย กำลังใจ หรือด้วยความสามารถที่มี
๔.รู้จักสมานัตตตา คือการวางตัวให้เหมาะสม อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ถือตัว
#10
โพสต์เมื่อ 06 June 2006 - 08:09 AM
ทำใจใสๆแล้วค่อยๆเอาสิ่งดีๆแทรกซึมเค้าไปเรื่อยๆแล้วกันค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 06 June 2006 - 10:04 AM
แล้วถ้าเค้าทำเป็น "ผู้รู้" สอนเรา(โดยที่จริง ๆ แล้วไม่เคยใส่ใจและศึกษาเรื่องนี้)ว่า เค้านะถ้าจะทำบุญก็ทำบุญกับวัดยากจน แล้วยังอ้างอีกว่า ในคำสอนของพระพุทธศาสนา ให้อยู่อย่างสมถะ(ตัวเค้ารู้ความหมายที่แท้จริงของคำนี้ปล่าวไม่ทราบนะคะ) ไม่เคยสอนให้พระต้องมาอยู่แบบหรูหรา อยู่ตึก ติดแอร์...เราต้องตอบ/พูดว่าอย่างไรดีนะคะ
#12
โพสต์เมื่อ 06 June 2006 - 12:24 PM
ให้นิ่งๆ เอาความดีอย่างอื่นชนะ ดีกว่า เช่นซื้อของไปฝากบ้าง ให้เงินหลานๆบ้าง ใจเย็นๆ
มีจังหวะดีเมื่อไรค่อยพูด อย่าเพิ่งไปโทษเขา ให้หันมามองที่ตัวเราเป็นหลัก ที่เขายังมองหาความ
ดีเราไม่เจอ หรืออาจแกล้งมองไม่เห็น หรือกำลังทดสอบคนที่เข้าวัดอยู่ว่าจิตใจเป็นอย่างไร
#13
โพสต์เมื่อ 06 June 2006 - 03:27 PM
ทำใจใสๆ เบิกบานเข้าไว้ เค้าพูดไปๆ เดี๋ยวเค้าก็เบื่อที่จะพูดไปเองละคะ แต่ถ้าเค้ายังพูดอีก เราก็จรดศูนย์กลางกายไว้ดีกว่าค่ะ
ฟังเสียงจาก กลางในกลาง ดีกว่าฟังเสียงข้างนอกนิคะ
ลองฟังสิคะ "ใส ใส ใส..."
#14
โพสต์เมื่อ 06 June 2006 - 09:07 PM
---
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#15
โพสต์เมื่อ 06 June 2006 - 09:46 PM
ใจหยุด คือ ที่สุดแห่งบุญ เพราะเป็นผลบุญที่เป็นมหัคตกุศลครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#16
โพสต์เมื่อ 06 June 2006 - 10:51 PM
เราก็ต้องบอกว่า "เอาบุญมาฝากทุกท่านเลยนะคร้าบ... สาธุ"
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#17
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 08:19 AM
ไม่ใช่ครับ ทางมาแห่งบุญมี 10 อย่างนะครับ
1. ทานมัย (บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน)
2. ศีลมัย (บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล)
3. ภาวนามัย (บุญสำเร็จด้วยการเจริญสมาธิภาวนาลดโลภโกรธหลง)
4. อปจายนมัย (บุญสำเร็จด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนแก่ผู้ใหญ่)
5. เวยยาวัจจมัย (บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวายทำงานที่ถูกที่ชอบ หรือการช่วยเหลือสังคม)
6. ปัตติทานมัย (บุญสำเร็จด้วยการทำให้ผู้อื่นได้บุญ หรือการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นร่วมทำบุญกับเรา)
7. ปัตตานุโมทนามัย (บุญสำเร็จด้วยการยินดีที่ผู้อื่นได้บุญ หรือยินดีในการทำความดีหรือการทำบุญของผู้อื่น)
8. ธัมมัสสวนมัย (บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม-อ่านหนังสือธรรมะ)
9. ธัมมเทสนามัย (บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม บอกธรรมะแก่ผู้อื่น)
10. ทิฏฐุชุกัมม์ (บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ถูกตรง)
#18
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 01:39 PM
ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ทำให้เข้าใจผิด ....ไม่ได้หมายถึงวัดพระธรรมกายค่ะ...ตนเองก็ไปทำบุญหลาย ๆ วัดค่ะ (เพียงแต่ว่าวันอาทิตย์ไปวัดพระธรรมกายค่ะ)
#19
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 05:37 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#20
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 07:01 PM
สังเกตุสิตอนที่เราเหนพระเดินผ่านอย่างเงี่ยอะ
แล้วเราอยากทำบุญอะ หน้านี้แบบว่าเตมเปี่ยมด้วยบุญเลยแหละใครเปนไม่รุ้แต่ผมเปน อิอิ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วย อ.1 นักเรียนอนุบาลฝันในฝัน จ้า
#21
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 07:06 PM
๑. ทานมัย คือ บุญกิริยาวัตถุข้อ ๑, ๕, ๖, ๗ เป็นการฆ่าความตระหนี่ออกจากใจ
๒. ศีลมัย คือ บุญกิริยาวัตถุข้อ ๒ เป็นเกราะป้องกันไม่ให้ทำชั่วทางกายและวาจา
๓. ภาวนามัย คือ บุญกิริยาวัตถุข้อ ๓, ๔, ๘, ๙, ๑o เป็นการฝึกตัวเองให้มีสัมมาสติ มีสัมมาสังกัปปะ และมีสัมมาทิฏฐิ ทั้งยังเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ทำความชั่วทางใจได้อีกด้วยครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#22
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 10:32 PM
แต่ควรแบ่งเงินไว้เก็บบ้างนะค่ะ
ดีค่ะที่มีเงินเท่าไหร่ทำหมด เห็นด้วยค่ะ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
สาธุ ^/\^
แต่บางที เหตุการณ์ที่เหมือนตัดกำลังใจนักสร้างบารมี
มันย่อมเกิดได้เสมอ แล้วหากวันไหน
กรรมมันมาตัดรอนกำลังใจ
ถึงตรงนั้น เคยเตรียมใจไว้บ้างเหรอเปล่า
แน่นอน ว่า ต้องมีคำเยาะมาแน่ ๆ
แต่ที่สำคัญ คือใจของเรา วิธีคิดของเรานั่นแหละ
สำคัญกว่าคำพูดของใคร ๆ
ทางที่ดีคือ แบ่งเงินเป็นส่วน ๆ คงทราบกันแล้ว
ควรแบ่งเก็บเงินไว้ ยามฉุกเฉินนะค่ะ
อย่างน้อย ๆ เมื่อเกิดปัญหาที่คาดไม่ถึง(ซึ่งไม่มีใครที่อยากจะเจอ)
พวกเค้าเหล่านั้นจะได้พูดไม่คิดไม่พาลมาถึงวัด พระ ถึงหลวงพ่อเราบางทีอาจเลยถึง...
พระพุทธศาสนาด้วยค่ะ
หลวงพ่อ ท่านพูดเสมอว่า คนทำบุญนะไม่ค่อยมีปัญหาหรอก แต่คนไม่ทำบุญนี่แหละชอบมีปัญหา
หากเค้าพูดย้ำบ่อย ๆ จนบางทีทนสุดสุดที่จะทนแล้ว
ก็ขอหมัดแยบ ๆ ปลายนวมเบา ๆ
เตือนสติเค้าสักหน่อยก็ดีนะค่ะ...
หากวันไหนญาติเจ้าขอกระทู้มาที่บ้านเจ้าของกระทู้นะค่ะ
เปิดเลยค่ะ VCD มหาอุบาสิกาวิสาขา ตอนที่ท่านออกเรือนนะค่ะ
พอให้ดู แล้วลองเหมือนคำบอกเล่า+ตั้งคำถาม
...ดูแล้วเป็นไงบ้าง...แล้วเธอคิดว่า (พี่น้องเธอญาติเธอ)คนนี้
เคยช่วยเธอมาบ้างหรือเปล่า...ฉันจำไม่ค่อยได้แล้ว เพราะไม่อยากจำด้วย
แต่ฉันจำได้ว่า ฉันก็ทำตามที่พ่อของมหาอุบาสิกาวิสาขาท่านสอน
ท่านวิสาขานะ เธอคิดว่ายังไงล่ะ ฉันควรทำไงดีล่ะกับชีวิต.....(คุยแบบเหมือนคุยละครนะค่ะ)
เธอนะกินของเก่าอยู่ทุกวัน...เคยเติมของใหม่ใส่ตัวบ้างหรือเปล่า
ยังไงนะค่ะคิดไว้เลยค่ะว่า ไม่ได้คืนแน่ ๆ เราช่วยเค้าไปแล้ว
เราสงเคราะห์ไปแล้ว เค้าจะคืนไม่คืนไม่เป็นไร
เค้าจะเห็นไม่เห็นช่างเค้าค่ะ...เค้าสบายดีแล้วไม่ยุ่งกับเราก็ดีไป...
แต่ตอนเค้าเดือนร้อนเค้าต้องการพึ่งเรา เรามีก็ช่วยเค้า ก็ทำดีแล้วนะค่ะ
อย่าไปเสียอารมณ์กับคำพูดพวกนี้เลยค่ะ...
พวกนี้เหมือนมารนะค่ะ...คอยตัดกำลังใจคนทำความดี
#23
โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 04:45 PM
มีผุ้อ้างว่า ในคำสอนของพระพุทธศาสนา ให้อยู่อย่างสมถะ ไม่เคยสอนให้พระต้องมาอยู่แบบหรูหรา อยู่ตึก ติดแอร์...เราต้องตอบ/พูดว่าอย่างไรดีนะคะ
เราก็ต้องถามไปก่อนน่ะครับ ว่าไปเห็นพระที่ไหนอยู่ตึกหรูหรา ติดแอร์ ถ้าที่วัดพระธรรมกายล่ะก็ไม่ใช่นะครับ พระภิกษุท่านมีเตียงไม้ 1 เตียง มุ้ง 1 ใบ ตู้หนังสือ 1 ตัว อยู่ตึกใหญ่จริง แต่เป็นเตียงต่อๆ กันไปหลายๆ เตียงในห้องเดียว แล้วก็มีแต่พัดลมไม่มีแอร์
ยกเว้น ที่ทำงานที่มีคอมพิวเตอร์เท่านั้นจึงจะติดแอร์น่ะครับ
ส่วนพระบางวัด ถ้าเขาเห็นว่าอยู่ห้องติดแอร์ ก็ต้องให้เขาทำความเข้าใจนิดนึงนะครับว่า เป็นเพราะปัญหาสุขภาพหรือเปล่า หรือเป็นโยมเศรษฐีมาบวชพระชั่วคราว แต่ด้วยความที่เป็นอยู่สบายมาก่อน พ่อแม่จึงออกเงินติดแอร์ให้ ข้อนี้ก็ต้องดูประกอบเหมือนกัน
#24
โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 11:13 PM
#25
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 08:45 AM
ก็รู้ได้เลยค่ะว่า...ที่เราทำไป ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของคนอื่นเค้าเลย
เรายังเอาเงินไปทำอื่น ๆ ที่สุรุ่ยสุร่ายมากกว่านั้นอีก
...ขอบคุณทุกท่านค่ะ ที่ให้คำตอบ...
#26
โพสต์เมื่อ 01 July 2006 - 03:30 PM
เงินของเรา ทำไมต้องเสียดายแทนเราด้วย
การที่พี่น้องเดือดร้อนก็เพราะ ไม่ได้สร้างบุญมาในอดีต
ดังนั้นต้องเร่งสร้างบุญเอาไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนอีกในอนาคต