ความสงสัยเกี่ยวกับ อบายภูมิ 4
#1
โพสต์เมื่อ 10 August 2008 - 05:18 PM
1. ในอเวจี ตั้งแต่มหานรก อุสสทนรก ยมโลก มีนายนิรยบาลในแต่ละบ้างหรือไม่ครับ ถ้ามี เพราะกรรมใดครับ
2. อยากทราบความทุกข์ทรมานในโลกันต์นรก และเป็นเพราะบุพกรรมใดทำให้ต้องไปโลกันต์นรก โลกันต์นรกอยู่ที่ใดครับ
3. เป็นกฎตายตัวเลยรึเปล่าครับว่า
ถ้าทำกรรมด้วยความโลภ ต้องไปอยู่ในภพภูมิ เปรต อสุรกาย
ถ้าทำกรรมด้วยความโกรธ ต้องไปอยู่ในภพภูมิ นรก
ถ้าทำกรรมด้วยความหลง ต้องไปอยู่ในภพูมิ สัตว์เดรัจฉาน
4. เที่ยวกลางคืนแบบใด ที่ต้องทำให้ตกนรกขุมที่ 7
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
๑.กุศลธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีขาวใส กายในกายขาวใสทั้งหมด เรียกว่าภาคพระ ภาคขาว ภาคบุญ
๒.อกุศลาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีดำ กายในกายดำทั้งหมด เรียกว่า ภาคมาร ภาคดำ ภาคบาป
๓.อัพยากตาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอัพยากตา เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีตะกั่วตัด กายในกายสีตะกั่วตัดทั้งหมด เรียกว่า ภาคกลาง ภาคไม่บูญไม่บาป
ทั้ง ๓ ธาตุธรรมนี้ ย่อมมีต้นธาตุ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมตลอดสาย
ต้นธาตุถือเป็นผู้บัญชาการในธาตุธรรมนั้นๆ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมในนิพพาน
#2
โพสต์เมื่อ 10 August 2008 - 08:56 PM
ข้อ3. ทำกรรมด้วยความ โลภ โกรธ หลง ก็มีสิทธิ ไปเกิดเป็น เปรต อสุรกาย สัตว์นรก และสัตว์เดียรัจฉานได้ทั้งนั้น
สุดแท้แต่กรรมจะจัดสรร หนักเบาตามกรรม
ข้อ2. โลกันต์อยู่ในช่องว่างระหว่าง 3 จักรวาล(galaxy)ที่อยู่ใกล้กัน เหมือนเอาขันกลม 3 ใบ มาวางชนกันหมดช่องว่างตรงนั้นคือ นรกขุม โลกันต์ แต่อยู่ลึกลงไปถัดจากอเวจี ส่วนอายุขัยในนรกขุมนี้กำหนดแน่นอนไม่ได้ ต้องอยู่ไปจนกว่าจะหมดกรรม ซึ่งน่าจะมีระยะเวลามากกว่า 1 อันตรกัป เพราะนรกขุมอเวจีมีอายุขัย 1 อันตรกัป ขุมนี้หนักกว่าก็น่าจะมากกว่านะ
และสัตว์นรกที่หมดกรรมจาก โลกันตนรก จะต้องไปโดนลงโทษต่อในนรกขุมอเวจีอีกด้วย
#3
โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 11:38 AM
สำหรับผู้มาใหม่ผมขอแถม
มหานรก ๘ ขุม; http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=3358
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"