ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

อรรถกโถจารย์เล่าเรือง นางสิริมา


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 15 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 03:18 PM

ขอขอบคุณ ท่านชิงช้าโบราณ สำหรับบทความดีดีแบบนี้ครับ

นางสิริมา
หญิงโสเภณีผู้บรรลุโสดาบัน

ต่อจากเรื่องเตมิยชาดก ก็จะขอนำเสนอเรื่องราวของสิริมา หญิงโสเภณีผู้ซึ่งสามารถบรรลุโสดาบันได้

อาจจะคิดสงสัยว่าทำไมผู้ที่มีอาชีพเป็นโสเภณีซึ่งผิดศีลธรรม จึงสามารถบรรลุโสดาบันได้ ลองมาติดตามกันดูนะคะ เรื่องที่นำมานี้มีเนื้อเรื่องสั้นๆ ไม่มีรายละเอียดมากเหมือนเรื่องที่ผ่านมา รวมแล้วมี 8 ตอนด้วยกัน ซึ่งก็แบ่งเป็นทั้งปัจจุบันชาติ อดีตชาติ และเรื่องราวบนสรวงสวรรค์หลังจากที่นางได้ละโลกแล้ว

ก่อนอื่นจะขอแนะนำการอ่านเรื่องนี้อย่างได้อรรถรสก่อนสักเล็กน้อยนะคะ พอดีเรื่องราวที่นำมาฝาก เรื่องนางสิริมานี้ ได้นำมาจากพระธรรมเทศนาโดยพระราชภาวนาวิสุทธิ์ จึงจะมีทั้งการบรรยายเนื้อเรื่อง และข้อคิดที่แทรกเข้ามาด้วย ซึ่งจะอยู่ในวงเล็บค่ะ

ลองอ่านเรื่องไปเหมือนการอ่านนิทาน พอถึงวงเล็บก็เป็นการสอดแทรกข้อมูลคติให้ได้คิดระหว่างเรื่อง อะไรแบบนั้นน่ะค่ะ

oooooooooooooooooooooooooooooo


ตอนที่ 1 กำเนิดสิริมา


ในสมัยพุทธกาล มีเมืองๆ หนึ่งชื่อว่าเวสาฬี เป็นเมืองที่มั่งคั่งกว้างใหญ่ไพศาล มีประชาชนมากมาย เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาอาหาร การค้าขายเจริญรุ่งเรือง มีพ่อค้าต่างเมืองเดินทางมาติดต่อค้าขายอย่างคับคั่ง และหนึ่งในความเสื่อม แต่เป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองคือ มีหญิงงามเมืองที่มีความงดงาม ชื่อว่า อัมพปาลี
[/size]

[size="4"](คือเธอมีความงามมาก สมัยนี้เรียกว่านางงาม สมัยนั้นเรียกว่างามเมือง)


นางเป็นสตรีผู้เลอโฉม มีผิวพรรณผุดผ่องเฉิดฉายยิ่งนัก น่าดู น่าพอใจ และนางยังเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมซึ่งประกอบไปด้วย การฟ้อนรำ และการขับร้อง ซึ่งหาผู้ใดเปรียบเทียบได้ยาก บุคคลทั้งหลายที่มีความต้องการพานางไปร่วมอภิรมย์ด้วย จะต้องจ่ายค่าตัวคืนละห้าสิบกหาปณะ

ครั้งหนึ่งพวกพ่อค้าชาวกรุงราชคฤห์ได้ไปทำธุรกิจที่เมืองเวสาฬี ก็คิดว่าเมืองเวสาฬีนี้รุ่งเรืองงดงามเพราะมีนางอัมพปาลีเป็นหญิงงามเมือง

(คือพ่อค้าก็มักจะคิดไปแบบนี้ ซึ่งก็เป็นความคิดที่ไม่ค่อยถูกต้องอะไรเท่าไหร่ คือมองเห็นเม็ดเงิน และมองเห็นความเพลิดเพลิน คือผู้ที่ข้องอยู่ในกาม ที่นี่คือกามภพ ที่อยู่ของผู้ที่ข้องอยู่ ก็มีความคิดที่แปรปรวนกันไปอย่างนี้ จากเมืองราชคฤห์มาเห็นเมืองเวสาฬี)

เพราะมีนางอัมพปาลีนี่แหละที่เวสาฬี พ่อค้าจึงเข้าใจว่าจึงทำให้มีคนต่างเมืองหลั่งไหลกันเข้ามามากมาย เพราะได้ยินกิตติศัพท์ของนางอัมพปาลี ทำให้ธุรกิจการค้าทางด้านอื่นๆ เจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย

(คือเข้าใจว่าเธอเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเอานักธุรกิจต่างเมืองเข้ามา ก็ทำให้มีการค้าขายกันเกิดขึ้นจนเจริญรุ่งเรือง แต่ที่จริงมันเป็นคนละเรื่อง มันเป็นกรรมของเธอต่างหาก แต่นี่คือความเข้าใจ คือพวกที่มุ่งแต่เศรษฐกิจ แต่ไม่คิดเรื่องจิตใจก็จะคิดกันอย่างนี้)

พ่อค้ากลุ่มนั้นจึงพากันเข้ามากราบถวายบังคมทูลพระเจ้าพิมพิสารถึงอานุภาพความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเวสาฬีให้ทราบว่าเวสาฬีนี้เจริญรุ่งเรืองมาก แล้วกราบถวายบังคมว่า

เมืองเวสาฬีมีนางอัมพปาลี เมืองราชคฤห์ของเราควรจะมีหญิงงามเมืองอย่างเธอบ้าง

(พระเจ้าพิมพิสารตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ยังไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต และพวกนักธุรกิจก็พยายามมากระทุ้งกันอยู่เรื่อยๆมีทั้งมหาอำมาตย์ เสนาบดี นักธุรกิจ ก็อ้างเหตุผลกันต่างๆ นาๆ ท่านก็ไม่อยากขัดใจ จึงตรัสอนุญาต ตามสะดวก)

ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จงไปดูว่ากุมารีคนไหนที่มีลักษณะงดงาม และมีคุณสมบัติเช่นนั้น แล้วตั้งให้นางเป็นหญิงงามเมืองเถิด

(เพราะฉะนั้นคนสวยๆ สมัยนั้นยุ่งเลย ต้องไปเป็นอย่างนี้ ไม่งั้นเดี๋ยวทะเลาะกัน เอามาเป็นของกลางซะ ใครจะใช้บริการก็จ่ายเงินซะ ส่วนหนึ่งเป็นของเธอ อีกส่วนหนึ่งเข้ารัฐ ถนนหนทางที่เดินอาจจะได้มาจากภาษี)

ในขณะนั้นในเมืองราชคฤห์มีกุมารีคนหนึ่งชื่อ สารวดี นางเป็นหญิงผู้เลอโฉมสะคราญตา น่าเสน่หา ทั้งเป็นผู้มีผิวพรรณผุดผ่องยิ่งนัก

พวกพ่อค้าชาวกรุงราชคฤห์เหล่านั้น จึงได้ตั้งนางสารวดีกุมารีเป็นหญิงงามเมืองกลางกรุงราชคฤห์

(คงจะไปตกลงต่อรองอะไรกัน แล้วก็จูงใจ คงไม่ได้บังคับหรอก ว่างานนี้มันง่าย ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร แค่สวยๆ ร้องรำทำเพลงให้เพราะๆ บริการ แล้วเธอจะได้เงินมาก นางก็ตกลง เพราะวิบากกรรมของเธอนั่นแหละทำให้เธอดูแต่ ได้ อย่างเดียว แต่ไม่ได้ดู เสีย)

เมื่อนางสารวดีได้รับเลือกเป็นหญิงงามเมืองแล้ว นางจึงฝึกฝนการฟ้อนรำขับร้อง ดีด สี ตี เป่า จนมีความชำนาญ ทำให้นางมีค่าตัวคืนละหนึ่งร้อยกหาปณะ

นางสารวดีประกอบอาชีพเป็นหญิงงามเมืองได้ไม่นานก็เกิดความประมาท ขาดการระมัดระวังตัว จึงตั้งครรภ์

นางสารวดีได้ปกปิดเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอไว้ได้จนถึงกำหนดคลอด ในวันคลอด ทันทีที่นางทราบว่า บุตรที่คลอดออกมาเป็นชาย นางก็ตัดสินใจที่จะให้คนนำบุตรของนางไปทิ้งเสียแต่วันนั้น เพราะมีความคิดเห็นว่าบุตรชายไม่สามารถสืบทอดอาชีพโสเภณีได้

(คิดเพียงสั้นๆ แค่นี้ คิดสั้นตั้งแต่มาเป็นโสเภณีเพราะเห็นแก่เม็ดเงิน พอพลาดมีเด็กขึ้นมา ก็คิดสั้นๆ ว่าเป็นลูกชาย เป็นโสเภณีต่อสืบทอดไม่ได้)

นางได้สั่งให้สาวใช้คนสนิท (แสดงว่ารวยมาก จนกระทั่งมีสาวใช้) นำลูกชายของตนใส่ในกระด้งเก่าๆ นำไปทิ้งที่กองขยะ กำชับให้ระวังไม่ให้ใครรู้เห็น สาวใช้ก็ทำตามคำสั่งทุกประการ เวลาที่นำทารกไปทิ้งนั้นก็เป็นเวลากลางดึก

ในเช้าวันนั้นเอง เจ้าชายอภัย พระโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร กำลังเสด็จเข้าเฝ้าพระราชบิดา ได้เสด็จผ่านมาทางนั้น ได้เห็นฝูงการุมล้อมเด็กนั้นอยู่ จึงได้ตรัสถามมหาดเล็กว่า

ฝูงการุมล้อมอะไร

มหาดเล็กจึงรีบเข้าไปดู เห็นทารกเพศชายอยู่ในกระด้ง จึงถือกลับมาแล้วกราบทูลให้ทรงทราบว่า

ฝูงกากำลังรุมล้อมทารกเพศชายอยู่พระเจ้าข้า

เจ้าชายอภัยจึงถามมหาดเล็กว่า

ทารกนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

มหาดเล็กจึงกราบทูลว่า

ทารกนั้นยังมีชีวิตอยู่พระเจ้าข้า

เจ้าชายอภัยเมื่อทราบว่าทารกยังมีชีวิต จึงรับสั่งให้นำทารกกลับไปที่วังของตน แล้วนำให้แม่นมเลี้ยงดูอย่างดี

(มีทั้งบุญทั้งกรรม กรรมไปเกิดเป็นลูกโสเภณี แต่บุญเจ้าชายเอาไปเลี้ยง มันต้องแยกกัน ชนกกรรมนำมาเกิดเป็นลูกโสเภณี แต่บุญบันดาลให้เจ้าชายเอาไปเลี้ยง บุญปาบมันอยู่ในตัวนั่นแหละ)

ต่อมาภายหลัง ทารกนั้นเมื่อเจริญเติบโตแล้ว ได้ศึกษาวิชาแพทย์จนเชี่ยวชาญ และก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นแพทย์หลวงประจำสำนักของพระเจ้าพิมพิสาร นามว่าชีวกโกมารภัจ แปลว่า กุมารที่พระราชาทรงชุบเลี้ยงไว้

ต่อมาภายหลังนางสารวดีก็ได้ตั้งครรภ์อีก แต่ได้คลอดออกมาเป็นธิดา เธอก็ดีใจสุดขีด นางจึงได้เลี้ยงเอาไว้สืบทอดตระกูลหญิงงามเมืองของตน (กลัวตระกูลเธอหายไป) แล้วตั้งชื่อลูกหญิงของตนว่า สิริมา แปลว่า นางผู้มีสิริ

นางสิริมาเมื่อเติบโตขึ้นมา ก็ได้เป็นหญิงมีรูปงามมาก เป็นที่ปรารถนาของชายหนุ่มทั้งหลาย จึงได้รับตำแหน่งสืบทอดกิจการจากนางสารวดีผู้เป็นมารดาของเธอ (หนุ่มๆ ก็มาเมียงมองเธอกันอย่างนี้ เธองาม..)

เธอต้องคอยรับแขกที่มีทรัพย์ประเภทตระกูลกษัตริย์ เศรษฐี หรือพวกอำมาตย์ โดยมีค่าบริการวันละหนึ่งพันกหาปณะ

(เพราะเธอยังเป็นเด็กสาวอยู่ และก็แม่ก็ถ่ายทอดวิทยายุทธให้ แล้วปลูกฝังว่า ลูกสิริมา ลูกจำไว้ ลูกอย่าเอาหัวใจมอบให้ชายหนุ่มใดๆ ทั้งสิ้น ลูกจงคิดแต่เงิน เงิน เงิน อย่างเดียวเท่านั้น และลูกพยายามทำตัวให้น่ารัก พูดจาหวานๆ ไม่ขัดคอ ยอตะบัน รับรองพันกหาปณะเนี่ยจะได้บ่อยๆ และจะได้ทิปต่างๆ อีกเยอะแยะ ก็สอนวิทยายุทธวิธีเอาอกเอาใจ ตั้งแต่ถอดรองเท้า ถอดถุงเท้า อะไรเรื่อยไปเลย)

ooooooooooooooooooooooooooo

นี่ก็เป็นเรื่องราวการกำเนิดสิริมา ส่วนนางสิริมานั้นจะบรรลุโสดาบันได้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป


เนื้อเรื่องจาก DMC Channel
Reference Link :
http://www.dmc.tv, http://www.kalyanamitra.org



ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#2 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 03:39 PM

นางสิริมา
หญิงโสเภณีผู้บรรลุโสดาบัน


ตอนที่ 2 นี้อาจจะมีความยาวมากเกินไปซักหน่อย แต่เนื้อหาดีมากเลย อยากให้ติดตามอ่านให้จบจนหยดสุดท้ายจริงๆ ค่ะ

แนะนำการอ่านชื่อกันสักนิด เพื่อจะได้อ่านกันได้ถูกต้องค่ะ

ปุณณเศรษฐี อ่านว่า ปุน-นะ-เศรษฐี

อุตรา อ่านว่า อุด-ตะ-รา

ราชคหเศรษฐี อ่านว่า ราด-ชะ-คะ-หะ-เศรษฐี

กหาปณะ อ่านว่า กะ-หา-ปะ-นะ
(เป็นสกุลเงินที่ใช้กันในสมัยพุทธกาล)

oooooooooooooooooooooooo


ตอนที่ 2 นางสิริมาบรรลุโสดาบัน


ที่กรุงราชคฤห์ได้มีเศรษฐีอยู่สองตระกูล ตระกูลแรกคือท่านปุณณเศรษฐี มีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ได้มีธิดาสาวคนหนึ่งชื่อว่านางอุตราซึ่งได้บรรลุโสดาบัน บรรลุโสดาบัน

(ก็คือ การที่เธอได้เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น จะมาเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ เธอเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัยโสดาบัน เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน หน้าตักห้าวา สูงห้าวา เธอหลุดพ้นจากความรู้สึกว่า กายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม นี้เป็นตัวตนที่แท้จริง

ความเข้าใจผิดว่า กายมนุษย์ก็ดี ทิพย์ก็ดี พรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดี เป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งมนุษย์ทั่วไปเข้าใจกันว่าอย่างนั้น ว่าตัวเราของเรา แต่ท่านหลุดพ้นจากความรู้สึกอย่างนั้น คือเข้าใจแจ่มแจ้งว่ามันไม่ใช่ เราแค่อาศัยอยู่ชั่วคราว จะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม หรืออรูปพรหม แต่กายธรรมนี่แหละคือตัวตนที่แท้จริง และเป็นพระรัตนตรัยที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันแท้จริง เพราะฉะนั้นจึงหายสงสัยเรื่องที่พึ่งที่ระลึก เรื่องพระรัตนตรัยนี่ หายสงสัย หมดความสงสัยไปเลย แล้วก็จะไม่ทำบาปเลย จะมีศีลห้าเป็นปกติ แล้วข้อวัตรปฏิบัติอย่างอื่นที่งมงาย ที่ไม่ได้เรื่องได้ราว ที่เคยเข้าใจว่าเป็นหนทางไปสู่สันติ ไปสู่การบรรลุ หรือเพื่ออะไรต่างๆ ไม่ประพฤติอย่างนั้น จะมีศีลห้าเป็นปกติ ไม่ทำบาปเลย

ใครมาขู่ฆ่าอะไรก็แล้วแต่ให้ทำบาป ให้ฆ่าสัตว์ ให้ฆ่ามนุษย์ ให้ลักทรัพย์ ให้ประพฤติผิดในกาม ให้พูดปด ให้ดื่มสุราเมรัย อะไรต่างๆ ไม่เอาเลย แม้จะฆ่าให้ตายก็ไม่เอา เพราะว่ากลัวบาป มีหิริ มีโอตตัปปะ เป็นอันเดียวกับองค์พระหน้าตักห้าวา สูงห้าวา ใสบริสุทธิ์ ใสปิ๊ง แต่ยังครองเรือนอยู่เพราะราคะยังไม่สิ้น ยังมีลูกมีเต้าอะไรต่างๆ และก็ไม่ไปตกในนรกเลย จะมาเกิดท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกกับมนุษย์ไม่เกินเจ็ดชาติ จากมนุษย์ไปสวรรค์ จากสวรรค์ไปมนุษย์อย่างนี้ ทำความเพียรแล้วก็จะได้บรรลุอรหัตผล อย่างนี้เรียกว่าโสดาบัน)

ตระกูลที่สองคือท่านราชคหเศรษฐีผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิ และมีบุตรชายอยู่หนึ่งคนซึ่งเป็นมิจฉาทิฎฐิเหมือนกัน

(พ่อลูกเป็นมิจฉาทิฎฐิทั้งคู่)

ทั้งสองตระกูลนี้สนิทกัน แต่ท่านราชคหเศรษฐีได้ขอธิดาของท่านปุณณเศรษฐีให้มาเป็นสะไภ้ในเรือนของตน ปุณณเศรษฐีก็เกรงใจในสหายรัก จึงมอบธิดาให้แก่บุตรชายของท่านของราชคหเศรษฐี

(สัมมาทิฎฐิไปอยู่กับมิจฉาทิฎฐิแล้ว ดูซิอะไรจะเกิดขึ้น)

เมื่อนางอุตราได้มาอยู่ในตระกูลของราชคหเศรษฐี (มาเป็นสะใภ้) นางได้กล่าวกับสามีของตนว่า

จะขออนุญาติรักษาอุโบสถศีลเดือนละแปดวัน วันโกน วันพระ

สามีบอก ไม่ได้หรอก

(แปดวันลบจากสามสิบก็เหลือยี่สิบสองวัน ไม่ได้)

เธอก็มิได้ว่าอะไร

พอถึงตอนช่วงเข้าพรรษา นางก็ยังคิดอีก พรรษานี้เราจะขออนุญาติสามีรักษาอุโบสถศีลตลอดทั้งพรรษา

สามีก็ไม่ยินยอม

จนเวลาผ่านไปเหลืออีกสิบห้าวันก็จะออกพรรษาแล้ว เธอก็ยังไม่ละความพยายาม เหลืออีกสิบห้าวันจะออกพรรษาก็อยากจะรักษาอุโบสถศีล นางจึงได้ส่งข่าวไปถึงมารดาและบิดาของตนว่า ลูกถูกท่านพ่อท่านแม่ส่งมากักขัง อยู่ในตระกูลนี้เหมือนโดนกักขัง ไม่มีเวลาสามารถรักษาอุโบสถศีลได้แม้แต่เพียงวันเดียวเลย ขอให้ท่านพ่อท่านแม่โปรดส่งเงินมาให้ลูกสักหนึ่งหมื่นหน้าพันกหาปณะเถิด ลูกจะนำเงินก้อนนี้มาเพื่อให้ได้รักษาอุโบสถศีล จะหาวิธีใช้ทรัพย์เพื่อรักษาอย่างนี้ ทางบิดามารดาท่านปุณณเศรษฐีก็รีบส่งเงินหนึ่งหมื่นห้าพันกหาปณะไปให้ทันที

นางอุตราเมื่อได้เงินแล้วจึงคิดจะหาตัวแทนมาทำหน้าที่แทนเธอสิบห้าวันในช่วงก่อนออกพรรษา จึงเรียกนางสิริมา ซึ่งเป็นหญิงโสเภณีประจำเมืองมา แล้วก็กล่าวว่า

แม่สิริมา เธอช่วยปรนนิบัติสามีแทนฉันหน่อยเถิด ฉันมีค่าจ้างให้เธอหนึ่งพันกหาปณะสิบห้าวัน รวมแล้วหนึ่งหมื่นหน้าพันกหาปณะ เพราะฉันจะรักษาอุโบสถศีลตลอดครึ่งเดือนหลังนี้ ก่อนออกพรรษา

นางสิริมาจึงตอบตกลง

(โอ้โห มาเป็นภรรยาชั่วคราวของสามี ซึ่งเป็นลูกเศรษฐี เผื่อฟลุ้ก)

ส่วนทางสามีของนางอุตราพอได้ยินว่าจะเชิญหรือเรียกสิริมามาอยู่ ก็ชอบ เพราะกิตติศัพท์สิริมานั้นไม่ธรรมดาเลย (ตั้งสิบห้าวันก็ดีใจสิ) แล้วก็อนุญาติว่าตกลง มีตัวแทนแล้วเธอจะไปรักษาอุโบสถศีลก็ได้ตามแต่ใจเธอในอีกสิบห้าวัน เพราะฉะนั้นสิบห้าวันนี้ฉันจะอยู่กับสิริมา แล้วทั้งสองก็อยู่ร่วมกันในเรือนอย่างมีความสุข จนนางสิริมาลืมไปเลย อยู่ตั้งสิบห้าวัน นึกว่าเป็นสามีของตนเองจริงๆ ตนเป็นเจ้าของเรือน เป็นสะใภ้ในเรือนนี้จริงๆ

ส่วนนางอุตราได้สมาทานอุโบสถศีลโดยทุกๆ วันนางได้จัดเตรียมภัตตาหารด้วยมือของตนเอง แต่เช้าตรู่เพื่อนำไปถวายแด่พระบรมศาสดา ส่วนเวลาที่เหลือก็ระลึกถึงศีลอุโบสถของตนเองที่ตนได้สมาทานเอาได้

ในขณะที่บุตรของเศรษฐีกับนางสิริมาได้เสพสุขกันอยู่บนปราสาทนั้น ก็ได้เปิดม่านหน้าต่าง ได้เห็นนางอุตราเนื้อตัวเปรอะเปรื้อนไปด้วยเขม่าควันในขณะจัดเตรียมภัตตาหารถวายพระ

สามีของนางก็คิดในใจ หญิงคนนี้โง่จริงๆ สงสัยจะมาจากนรกจึงไม่ละสมบัติของตน แทนที่จะอยู่สุขสบายไปทำเนื้อตัวเปรอะเปรื้อนด้วยเหล่าหม้อข้าว วุ่นวายอยู่กับเหล่าทาสี สงสัยจะมาจากนรกแน่ๆ ไม่ชอบความสบาย ชอบลำบากๆ ให้เนื้อตัวมอมแมม (สามีเธอคิดอย่างนี้)

ส่วนนางอุตรา ก็มีความรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ก็เหลือบขึ้นไปเห็นสามี เธอก็ส่งรอยยิ้มให้สามีของตน แต่เธอไม่ได้พูด เธอคิดในใจเช่นเดียวกับสามีของเธอ แต่คิดกันคนละด้าน เธอคิดว่า สามีเราเป็นลูกเศรษฐี แต่ว่าเป็นคนเขลา คงจะคิดว่าสมบัติของตนจะอยู่อย่างถาวร ไม่มีวันหมดสลายไปเป็นแน่ นี่กำลังใช้บุญเก่าอยู่ไม่รู้ตัว (แต่บอกไม่ได้ บอกแล้วเดี๋ยวโดนอัด หรือเปลี่ยนใจไม่ให้ถืออุโบสถศีล คิดกันคนละทาง)

นางอุตราคิดว่าสามีใช้บุญเก่า สามีคิดว่านางมาจากนรก ไม่ยอมสบายคงคุ้นกับนรกที่ลำบาก ทำตัวเปรอะเปื้อน

สิริมาได้เห็นรอยยิ้มระหว่างบุตรเศรษฐีกับนางอุตราที่ส่งยิ้ม จึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบ (เธอลืม) และเกิดความรู้สึกว่า เรานี่เป็นภรรยาของบุตรเศรษฐีจริงๆ เรานี่แหละเจ้าของเรือนหลังนี้ (อยู่มาตั้งสิบห้าวัน)

เมื่อคิดอย่างนี้ และเห็นนางอุตรายิ้มให้กับสามีของนางอุตรา จึงเกิดความหึงหวงขึ้น

(ไม่น่าเชื่อนะ แค่ไม่กี่วันบนเรือนเศรษฐี สุขสบายกว่าบ้านของเธอ ทำให้ลืมไปเลย)

ความหึงหวงทำให้เธอเดินลงมาจากชั้นบน เดินเข้าไปในโรงครัว เอาทัพพีตักน้ำมันเนยใสที่เดือดพร่านในกระทะทอดขนม ด้วยความคิดว่า เราจะเทราดลงไปบนศีรษะของนางอุตรา

ดวงตาเธอจ้องไปที่นางอุตรา มือก็จับทัพพีตักน้ำมันเนยใสที่ร้อนๆ ในกระทะแล้วเดินมา

นางอุตราเห็นนางสิริมาตักน้ำมันเนยใสร้อนๆ เธอก็รู้ว่านางสิริมากำลังจะทำอะไรกับเธอ เธอก็คิดจะทำอะไรตอบกับสิริมาด้วยเช่นเดียวกัน

เธอคิดแผ่เมตตา

(ไม่ใช่พอเห็นถือทัพพีเข้ามาก็คว้าอีโต้ลุยกัน ไม่ใข่นะ นั่นไม่ใช่อุตรา อุตรานี่ส่งยิ้มแล้วก็แผ่เมตตาในใจ)

อุตราแผ่เมตตาในใจว่า สิริมาเธอเปรียบเสมือนกับเป็นสหายของเรา เธอทำอุปการะคุณกับเรามาก จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับพระคุณของสหายของเรานี้มากเหลือเกิน ใส่จักรวาลน่ะไม่พอ แล้วก็สูงส่งกว่าพรหมโลกตั้งเยอะแยะ เพราะเธอให้โอกาสเรา เพราะเธอดูแลปรนนิบัติสามีของเรา

(แต่คนจะคิดได้อย่างอุตรานี่ยากเหมือนกันนะ ที่หาตัวแทนมานี่)

เราได้อาศัยเธอจึงได้มีโอกาสได้ถวายทาน และก็ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้มีโอกาสสร้างบุญใหญ่ที่มีบุญอย่างไม่มีประมาณ เพราะการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่บังเกิดขึ้นได้ยาก เราได้เป็นพระโสดาบันก็เพราะท่าน เพราะฉะนั้นถ้าตอนนี้เรามีความโกรธนางสิริมาแม้เพียงนิดเดียว ของให้เนยใสร้อนๆ ที่เธอกำลังถือมาราดเรานั้น จงลวกเราเถิด แต่ถ้าในใจของเราแม้แต่นิดเดียวไม่มีความขุ่นมัว ไม่โกรธเธอเลย ขออย่าให้เนยใสร้อนๆ นั้นลวกเราเลย

สิริมาก็ไม่พูดอะไรเดินหน้าบึ้งเข้าไป แต่อุตรานั้นส่งยิ้มให้

นางสิริมาก็ราดเนยใสที่เดือดพร่านนั้นลงไปบนศีรษะของนางอุตรา แต่ปรากฎว่าเนยใสร้อนๆ นั้นเหมือนน้ำที่เพิ่งออกมาจากตู้เย็น สบาย ไม่ร้อนเลย

(ก็แสดงว่าในใจของอุตรานั้น มีแต่สำนึกในพระคุณของสิริมาที่ให้โอกาสเธอสิบห้าวันมาฟังธรรม มาถวายทาน มาฟังอุโบสถศีล แม้ว่าจะเป็นการจ้างด้วยเงินหนึ่งหมื่นห้าพันกหาปณะก็ตาม เพราะฉะนั้นความขุ่นมัวไม่มีในใจเลย)

แต่คนขุ่นมัวกลับโดนทาสีของนางอุตราที่เห็นสิริมายังเดินถือทัพพีไปตักเนยในที่เดือดพร่านนั้นอีกก็รู้ว่ากำลังจะไปทำอะไรอีก จึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วทุกทิศทุกทาง ตรงเข้าไปทำร้ายนางสิริมา

นางอุตราก็รีบเข้าไปห้ามเหล่าทาสีของตนว่า

อย่า อย่า ลูกอย่าไปทำสิริมา

แล้วก็เดินเข้าไปถามสิริมาว่า

สิริมาเธอเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วที่เธอตักเนยใสร้อนๆ ในกระทะมาราดเรา เธอทำเพื่อต้องการอะไร บอกเราเถิด เราจะให้ เธออย่าทำอย่างนี้เลย มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี มันจะเป็นบาปของเธอ ปาบแล้วจะไปมหานรก

...เราไม่มีความขุ่นมัวในตัวเธอเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความรักและความสงสารในตัวเธอ นึกถึงพระคุณของเธอ ที่เธอให้โอกาสแก่เราได้มาถวายทาน มาฟังธรรม มารักษาศีล เราไม่ได้คิดเลยว่าเราจ้างเธอมา แต่คิดว่าเธอให้โอกาสเรา และต่อจากนี้ไปเธออย่าทำเลย เลิกเถิด เราไม่โกรธหรอก

แล้วก็ให้โอวาทอย่างนี้ และก็ให้บริวารนำนางสิริมาไปอาบน้ำอุ่น แล้วนำน้ำมันที่หุงอย่างดีแล้วร้อยครั้ง กลั่นแล้วกลั่นเล่า เอามาทาให้เพื่อไม่ให้เกิดฟกช้ำดำเขียว (จากการทดลองวิทยาศาสตร์)

ขณะนั้นนางสิริมาก็รู้ว่า เอ้อ จริงนะ เราเป็นเพียงแค่หญิงภายนอก เป็นโสเภณี เป็นหญิงงามเมือง นางอุตราจ้างเรามาหมื่นห้าพันเพื่อปฏิบัติสามีของเธอ เราไม่น่าจะทำอย่างนี้เลย

เรารดเนยใสที่เดือดพร่านลงบนศีรษะของเธอ เพราะเหตุเพียงสามีชั่วคราวของเราหัวเราะ เราได้ทำกรรมหนักซะแล้ว และเธอยังมีเมตตา ยังไปสั่งห้ามพวกบริวารของเธอไม่ให้มาทำร้ายเราอีก โอ้ เธอดีจังเลย นางอุตรา เธอไม่ได้โกรธเราเลยแถมพูดกับเราดีๆ ด้วย ได้ห้ามปรามทาสี ทาสของเธอไม่ให้ทำร้ายเรา เราได้ทำกรรมหนักแล้วละ โอ้ เราจะทำอย่างไรดีให้เธอยกโทษให้เรา และเราจะได้ไม่มีบาปมีกรรม

หญิงงามเมืองหรือโสเภณีเริ่มมีความสำนึก เพราะความดีของนางอุตรา เหมือนแก่นจันทร์หอมตอบแทนคมขวานที่ฟันไปที่แก่นจันทร์ด้วยความหอม

เธอให้ได้หญิงรับใช้ทำกิจที่งดงามแก่ตัวเรา เอาน้ำมันมานวด อาบน้ำอุ่นให้กับตัวเรา ถ้าเราไม่ขอให้เธอยกโทษให้ ศีรษะเราคงจะต้องแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยงแน่ๆ

ว่าแล้วก็หมอบลงแทบเท้าของนางอุตรา ซึ่งเมื่อสักครู่เพิ่งเอาเนยใสราดบนศีรษะ และกล่าวว่า

แม่คุณขอให้คุณแม่จงยกโทษให้ดิฉันด้วยเถิด ยกโทษให้สิริมาด้วยเถิด

ส่วนนางอุตรานั้นต้องการให้เธอได้รับฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องการโปรดเธอให้พ้นจากฐานะของการเป็นหญิงงามเมือง ยกระดับจิตของเธอให้สูงขึ้น

(นี่คือความคิดของนางอุตราพระโสดาบัน ผู้มีจิตใจที่งดงาม)

เธอจึงได้กล่าวว่า

สิริมา ฉันเป็นหญิงที่มีบิดานะ ถ้าหากบิดาของฉันยกโทษให้ ฉันก็จะยกโทษให้เธอ

(ที่จริงเธอก็ไม่ได้เอาโทษ แต่ว่าเป็นกุสโลบายที่จะให้สิริมาได้ฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรด)

โอ คุณแม่ เรื่องนั้นไม่ลำบากหรอก ดิฉันจะไปกราบแทบเท้าท่านปุณณเศรษฐี บิดาของคุณแม่

นางอุตราบอกว่า

ท่านปุณณะน่ะ ท่านเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดฉันในวัฎสงสารเท่านั้น แต่ว่าบิดาผู้ให้ฉันเกิดและหลุดพ้นจากวัฎสงสารนั่นต่างหาก ฉันต้องการให้บิดาท่านนี้ยกโทษให้เธอ

ใครกันเล่าเป็นบิดาที่กล่าวว่าทำให้ท่านเกิดและหลุดพ้นจากวัฎสงสาร

(สงสัยจะยังไม่เคยได้ยินคำนี้)

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไงล่ะจ๊ะ

โอ คุณแม่ ดิฉันไม่คุ้นเคยกับพระองค์ท่านน่ะ

ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยเธอเอง พรุ่งนี้พระบรมศาสดาท่านจะเสด็จมาพร้อมภิกษุสงฆ์มาที่นี้ เอาอย่างนี้ เธอจงถือเครื่องสักการะตามแต่เธอจะหาได้ แล้วก็มาที่นี่ คือเธอต้องจัดเครื่องสักการะเอง แล้วฉันจะพาเธอเข้าไปกราบและขอให้พระองค์ยกโทษให้

ได้ค่ะคุณแม่

สิริมารับคำ และก็กลับบ้าน ให้หญิงบริวารห้าร้อยของตนที่บ้านเตรียมอาหารอย่างดีมาเลย

วันรุ่งขึ้นก็มาที่บ้านนางอุตรา พร้อมด้วยหญิงรับใช้และเครื่องสักการะ แต่ไม่กล้าใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข แต่จะยืนอยู่ห่างๆ เพราะตนมีความผิด และก็มีความรู้สึกว่าอาชีพที่เธอทำนั้นมันไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปใกล้

(ความรู้สึกมันลึกๆ ในใจเป็นอย่างนั้น)

ซึ่งทั้งหมดอยู่ในสายตาของนางอุตรา เธอเห็นแล้วเธอก็เดินยิ้มเข้าไปรับเอาของเครื่องสักการะจากมือของสิริมาและนำมาถวายแทนให้

พระผู้มีพระภาคเจ้าและคณะสงฆ์ก็รับภัตตาหารและขบฉัน เมื่อภัตตกิจเสร็จแล้วนางสิริมาเห็นว่าพระองค์ทรงเสวย และคณะสงฆ์ขบฉันภัตตาหารของตนด้วย ไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด ก็เลยกล้าเขามากราบ และหมอบกราบใกล้ๆ พระบรมศาสดา และก็กล่าวว่า เธอได้กระทำความผิดต่อนางอุตรา และขอให้พระองค์ทรงยกโทษให้

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ทรงทราบแล้ว แต่ต้องการทำความคุ้นเคยกับนางสิริมาไม่ให้นางรู้สึกเก้อเขิน ให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเอง จึงยกคำถามขึ้นว่า

เธอมีความผิดอะไรหรือ

นางสิริมาก็กราบทูล

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อวานนี้ดิฉันได้ทำร้ายนางอุตราผู้เป็นธิดาของพระองค์ แต่นางไม่ถือโกรธเลย กลับห้ามนางทาสีที่พากันเบียดเบียนหม่อมฉัน ได้ทำอุปการะแก่หม่อมฉันแต่เพียงอย่างเดียว หม่อมฉันรู้สึกถึงคุณของนาง จึงขอให้นางยกโทษให้ นางได้กล่าวว่า หากพระองค์ยกโทษให้ จึงจะงดโทษนั้นให้ด้วย

(พูดอย่างนี้นี่ไม่ใช่แปลว่าสารภาพบาปอย่างเดียว การสารภาพบาปอย่างเดียว บาปยังไม่หมดนะ ต้องล้างบาปด้วยการทำความดีในใจ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา พอใจหยุดก็หลุดพ้น หากใจไม่หยุดไม่หลุดพ้นจากบาปหรอก ให้ใครมาไถ่แทนมันยาก ล้างไม่ได้ เพราะบาปมันอยู่ในใจ นี่เธอมาสารภาพบาปแล้ว แต่บาปยังไม่หมดนะ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะมีวิธีล้างให้ โดยให้เธอฟังธรรม และปฏิบัติธรรม เพราะพอใจหยุดก็หลุดพ้น หลุดพ้นจากบาปอกุศล นี่วิธีไถ่บาปที่ถูกหลักวิชชาเขาทำกันอย่างนี้)

อุตรา ได้ยินว่าสิริมาว่าอย่างนั้นหรือ

อย่างนั้นเจ้าข้า เมื่อวานนี้สิริมาหญิงสหายของหม่อมฉันได้รดเนยใสที่เดือดพร่านลงบนศีรษะของหม่อมฉัน เมื่อเป็นอย่างนั้นเธอคิดอย่างไรล่ะ หม่อมฉันคิดว่า จักรวาลนี่แคบนัก พรหมโลกก็ต่ำเกินไป คุณของสิริมานั้นมากอย่างยิ่งเพราะว่าหม่อมฉันนั้นได้อาศัยเธอมาปฏิบัติหน้าที่ภรรยาชั่วคราวแทน หม่อมฉันจึงได้มีโอกาสได้สั่งสมบุญได้ให้ทานและก็ฟังธรรม ถ้าหากหม่อมฉันมีความโกรธต่อนางแม้แต่นิดเดียว ให้เนยใสที่เดือดพร่านนี้จงลวกหม่อมฉันเถิด แต่ถ้าหากความโกรธไม่มีแม้แต่นิดเดียว ก็จงอย่าลวก และหม่อมฉันก็ได้แผ่เมตตาให้นางสิริมาเจ้าค่ะอุตราได้กราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดีแล้วอุตรา การชนะความโกรธได้อย่างนี้ถูก สมควรแท้ แปลว่าถูกหลักวิชชา

...คนมักโกรธ พึงชนะด้วยความไม่โกรธ

...คนมักด่าและติเตียน พึงชนะด้วยการไม่ด่าตอบ

(คือทำเฉยๆ ปล่อยให้เขาบ้าไปคนเดียว เดี๋ยวเขาหมดแรงก็เลิกด่าไปเอง และคำด่าก็มีจำกัด ไม่มีอะไรใหม่ พจนานุกรมของคำด่ามีไม่เกินสิบบรรทัด เดี๋ยวก็หมดแล้ว ยิ่งด่า ยิ่งเหนื่อย ยิ่งหมดแรง เดี๋ยวก็เลิกเอง)

...คนตระหนี่ ตระหนี่จัด พึงชนะด้วยการให้ของของตนเอง

(คือหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ถ้าตระหนี่หวงแหนเสียดายทรัพย์จงรีบให้ทันที ตระหนี่ตอนไหนรีบให้ ให้สังเกตดูตัวเรา)

...คนมักพูดเท็จ พึงชนะด้วยการพูดคำจริง"

(คือถ้าเราจะเอาชนะอุปนิสัยของการชอบพูดคำเท็จ ให้เปลี่ยนด้วยการหนามยอกเอาหนามบ่ง คือพูดเรื่องจริงไปเลย พูดบ่อยๆ ซ้ำๆ หนักเข้า คำเท็จก็จะหลีกหายไปเลย ล่มสลาย)

เมื่อจบพระธรรมเทศนา ที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม

(นี่เป็นแค่หัวข้อนะ ไม่ใช่ฟังแค่นี้ก็บรรลุ ท่านอธิบายอะไรต่างๆ ไปเรื่อยเลย)

หลังจากฟังสารภาพบาปแล้ว พระองค์ก็ไถ่บาปด้วยการแสดงธรรม แล้วนางฟังธรรม และปฏิบัติตาม (คือปล่อยใจตามกระแสธรรมนั้น)

ในที่สุดนางสิริมา และบริวารห้าร้อย ก็ได้บรรลุโสดาบัน

(ได้เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันหน้าตักห้าวา สูงห้าวา ใสปิ๊ง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระรัตนตรัย)

ooooooooooooooooooooooooooooo


นี่ก็เป็นเรื่องราวการบรรลุโสดาบันของสิริมา โปรดติดตามตอนต่อไป


เนื้อเรื่องจาก DMC Channel
Reference Link : http://www.dmc.tv, http://www.kalyanamitra.org




นางสิริมา
หญิงโสเภณีผู้บรรลุโสดาบัน


ก่อนเริ่มตอนที่ 3 นี้ ขอแนะนำวิธีอ่านคำศัพท์กันอีกสักหน่อยนะคะ จะได้อ่านกันถูกต้อง จดจำคำอ่านไปกล่าวต่อได้อย่างถูกอักขระกันก่อนนะ

หมอชีวกโกมารภัจ อ่านว่า หมอ-ชี-วะ-กะ-โก-มา-ระ-พัด

อสุภ อ่านว่า อะ-สุ-พะ (ซากศพ)

มหาบพิตร อ่านว่า มะ-หา-บอ-พิด (เดิมเป็นคำที่พระสงฆ์ใช้สำหรับแทนพระนามพระเจ้าแผ่นดินหรือพระมเหสี)

กากณิก อ่านว่า กา-กะ-นิก (ชื่อมาตราเงินอย่างต่ำที่สุด)

ว่าแล้วเรามาติดตามเรื่องของนางสิริมา หญิงโสเภณีผู้บรรลุโสดาปัตติผลกันต่อนะ


ooooooooooooooooooooooooooooo

ตอนที่ 3 นางสิริมาบำเพ็ญบุญจน

นางสิริมา
หญิงโสเภณีผู้บรรลุโสดาบัน


ก่อนเริ่มตอนที่ 3 นี้ ขอแนะนำวิธีอ่านคำศัพท์กันอีกสักหน่อยนะคะ จะได้อ่านกันถูกต้อง จดจำคำอ่านไปกล่าวต่อได้อย่างถูกอักขระกันก่อนนะ

หมอชีวกโกมารภัจ อ่านว่า หมอ-ชี-วะ-กะ-โก-มา-ระ-พัด

อสุภ อ่านว่า อะ-สุ-พะ (ซากศพ)

มหาบพิตร อ่านว่า มะ-หา-บอ-พิด (เดิมเป็นคำที่พระสงฆ์ใช้สำหรับแทนพระนามพระเจ้าแผ่นดินหรือพระมเหสี)

กากณิก อ่านว่า กา-กะ-นิก (ชื่อมาตราเงินอย่างต่ำที่สุด)

ว่าแล้วเรามาติดตามเรื่องของนางสิริมา หญิงโสเภณีผู้บรรลุโสดาปัตติผลกันต่อนะ


ooooooooooooooooooooooooooooo

ตอนที่ 3 นางสิริมาบำเพ็ญบุญจนสิ้นชีวิต


นางสิริมาเธอเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ไปยังบ้านของตน เพื่อที่จะได้ถวายทานเป็นอันมาก ได้เริ่มตั้งภัตตาหารประจำไว้แปดที่ นิมนต์พระภิกษุมารับภัตตาหารเป็นประจำทุกวันวันละแปดรูป

นางได้กล่าวว่า นิมนต์พระคุณเจ้ารับเนยใส รับนมสด รับขนม เป็นต้น และก็จัดภัตตาหารจนเต็มบาตรพระภิกษุเหล่านั้นถวายไป ทำอย่างนี้เป็นประจำ อาหารที่ภิกษุรูปหนึ่งได้รับนั้นพอฉันขนาดเหลือเผื่อแผ่พระภิกษุถึง 34 รูป เธอถวายภัตตาหารที่ประณีตอย่างนี้ทุกวันไม่ขาดเลย

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งฉันภัตตาหารในเรือนของนางแล้ว ได้ไปยังวิหารอีกแห่งหนึ่ง (ไปอีกอารามหนึ่ง) ไกลประมาณสามโยชน์ ภิกษุในที่นั้นเห็นไทยธรรมบางอย่าง จึงถามท่านในเวลาเย็นว่า

ผู้มีอายุ ท่านไปรับอาหารมาจากไหนถึงประณีตอย่างนี้ ไปรับที่บ้านใครมา

อ้อ ผมไปฉันภัตตาหารที่เรือนของนางสิริมา

ท่านผู้มีอายุ อาหารของนางเป็นอย่างไร น่าฉันไหม

โอ้ ผมไม่สามารถประมาณภัตตาหารของนางได้ นางถวายประณีตเหลือเกิน แต่การได้เห็นนางนั่นแหละ ยิ่งกว่าอาหารของนางเสียอีก

และภิกษุรูปนั้นก็พรรณนาว่าเธองามอย่างไรบ้าง

พอฟัง ก็เกิดความรักนางขึ้นมา ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็น (ลืมไปเลยว่าเป็นพระ) คิดว่า เราไปดูนางดีกว่า เราอยากเห็นจังเลย จึงบอกจำนวนพรรษาของตนกับภิกษุรูปนั้น แล้วถามว่าวันไหนจะถึงวาระที่ตนจะไปบิณฑบาตบ้านนางได้

พรุ่งนี้ก็ได้ถ้าท่านปรารถนาจะไป ท่านก็ต้องเป็นผู้นำสงฆ์ในหมู่ภิกษุแปดรูปนะ (เพราะว่านางถวายวันละแปดรูป)ท่านนำไปเลย

ก็เร่งวันเร่งคืนเพื่อให้ถึงอรุณ เมื่ออรุณขึ้นแล้วก็ได้สมทบกับภิกษุรวมเป็นแปดรูป เข้าไปคอยอยู่ในศาลาที่นางเตรียมจัดไว้ภายในเขตบ้านของนาง

(แต่เดี๋ยวนี้นางเลิกขายบริการแล้วนะ เป็นพระโสดาบันแล้ว ไปเยี่ยมบ้านที่เป็นอดีตสถานขายบริการ)

ในวันวานที่ภิกษุฉันแล้วก็รีบไป แต่วันนี้นางสิริมาป่วย (สวยหยกๆ อยู่ๆ ป่วย ไม่มีนิมิตหมายการป่วย ป่วยกะทันหัน)นางก็เปลื้องเครื่องประดับออก นอนอยู่บนเตียงลุกไปไหนไม่ไหว (เพลีย)

หญิงรับใช้พอเห็นพระภิกษุมากันครบก็ไปรายงานให้นางทราบ นางสิริมาก็บอกหญิงรับใช้ว่า

พวกเธอจงรับบาตรแล้วก็นิมนต์ให้ท่านนั่ง ให้ท่านดื่มข้าวยาคู ถวายขนมและผลไม้ และเวลาได้ภัตตาหารแล้วก็จงบรรจุบาตรให้เต็ม และก็ถวายแทนฉันหน่อยเถิด ฉันไม่มีแรงเลยวันนี้ ไม่ค่อยสบาย

หญิงรับใช้ก็บอกว่า

ได้ค่ะคุณแม่

แล้วก็นิมนต์ภิกษุทั้งหลายให้เข้ามา ถวายข้าวยาคูให้ดื่ม ถวายขนมผลไม้ ถึงเวลาภัตตาหารจึงบรรจุอาหารเต็มบาตร และได้ถวายพระภิกษุทุกรูปตามคำของนาง แล้วจึงไปรายงานให้นางทราบ

นางสิริมาเธอก็อยากเห็นพระเพื่อจะได้ปลื้มใจเวลาพระให้พร ก็บอกกับหญิงรับใช้ว่า

ช่วยพยุงฉันไปหน่อยเถิด ฉันจะไปไหว้พระคุณเจ้า

หญิงรับใช้ก็พยุงไปใกล้ภิกษุ แล้วก็ไหว้ภิกษุเหล่านั้นด้วยร่างกายที่สั้นเทิ้มเพราะพิษไข้

ทีนี้ ภิกษุรูปนั้นน่ะสิ ไม่ได้ตั้งใจมาบิณฑบาต แต่ตั้งใจมาดูเจ้าของภัตตาหาร พอเจอเข้าเท่านั้น

(โอ้โห สั่นกว่านางอีก สั่นเพราะพิษรัก)

โอ้ นี่ขนาดเป็นไข้ยังสวยขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ป่วยจะสวยขนาดไหน

คิดวนๆ อย่างนี้ กิเลสที่มีอยู่ในตัวก็ฟูขึ้นมาสิ กิเลสที่เคยสั่งสมไว้หลายโกฏิกัป ก็กำเริบขึ้นมา

(ยิ่งมอง ก็ยิ่งสั่นหนักเข้าไปอีก)

ไม่อยากกลับเลย แต่จำต้องกลับ แต่กลับไปแล้วนี่ ทุกย่างก้าวเห็นแต่หน้านางสิริมา ไปถึงที่พักไม่สามารถฉันอาหารได้ มันเห็นแต่หน้านาง แต่ก็อุ้มบาตรกลับที่พัก เดินทุกย่างก้าว สิริมา สิริมา เอาบาตรวางไว้ข้างเตียง สิริมา นอนเพ้ออยู่อย่างนี้ ปูจีวรแล้วก็นอนเพ้อสิริมา

เพื่อนภิกษุเข้าไปหา

อ้าว ท่านทำไมไม่ฉัน ฉันเถิด เดี๋ยวจะหมดเวลาฉันเสียก่อน

ตาค้างมองเพดาน ในใจก็สิริมา

เพื่อนภิกษุก็อ้อนวอนว่า ฉันเถิด แต่ก็ไม่สำเร็จ ภิกษุรูปนั้นอดอาหารเพราะสิริมานี่แหละ

ในเย็นวันนั้นเอง สิริมาทนต่อทุกขเวทนาไม่ไหว (ป่วยมาก ป่วยหนักเข้า หนักเข้า) เธอตาย (เธอตายไปแล้ว) แต่ภิกษุรูปนั้นยังไม่รู้ (สิริมา สิริมาเธออยู่ไหน แต่เธอเดินออกจากร่างกายที่สวยงามนั้นไปแล้ว เข้ากายธรรมพระโสดาบันไปเลย)

ข่าวนางสิริมาเป็นแม่เหล็กดูดของเมืองที่ทำให้เกิดธุรกิจคับคั่ง เพราะทุกคนอยากไปใช้บริการของนาง เพราะฉะนั้นการตายของเธอนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา รู้ไปถึงพระราชาเลย

พระราชาก็ส่งพระราชสารไปถึงพระบรมศาสดาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสิริมา น้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจนั้น เสียชีวิตแล้ว

พระบรมศาสดานั้นเห็นตลอด ท่านก็คิดหนามยอกเอาหนามบ่ง เมื่อภิกษุรูปนั้นกำลังรำพึงถึงสิริมาเพราะติดในรูปที่สวยงามของสิริมา เดี๋ยวเราจะเอารูปที่สวยงามของสิริมาซึ่งตอนนี้แปรปรว
ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#3 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 03:44 PM

ดีจัง อนุโมทนาบุญกับคุณ Boontomak ด้วยนะครับ สาธุ

#4 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 04:37 PM

พระบรมศาสดานั้นเห็นตลอด ท่านก็คิดหนามยอกเอาหนามบ่ง เมื่อภิกษุรูปนั้นกำลังรำพึงถึงสิริมาเพราะติดในรูปที่สวยงามของสิริมา เดี๋ยวเราจะเอารูปที่สวยงามของสิริมาซึ่งตอนนี้แปรปรวนไปแล้ว (เปลี่ยนแปลงไปแล้วเมื่อธาตุเป็นไม่อยู่ เมื่อกายละเอียดของเธอไม่อยู่แล้ว มันเปลี่ยนไป) เอาอันนี้เป็นบทเรียน (เป็นอุปกรณ์ในการสอนพระ เหมือนหนามยอกเอาหนามบ่ง อุปกรณ์ของนางสิริมาเหมือนดอกไม้พระ มันเห็นแล้วชื่นใจ ศพ หรือ ซากอสุภ คือดอกไม้ของพระ พระเห็นแล้วชอบใจสบาย ไม่ฟุ้งเลย)

จึงตรัสว่า

อย่าเพิ่งด่วนเผาศพนางสิริมา ขอให้มหาบพิตรจงทอดร่างของนางสิริมานั้นไว้ในป่าช้าผีดิบ (แปลว่าไม่ต้องเผากันเลย สมัยก่อนเขาวางทิ้งไว้อย่างนี้แหละ และสัตว์ก็จะมากินกัน) ให้รักษาไว้ให้ดี อย่าให้สุนัขและกามากินได้"

พระราชาก็ทรงทำตามที่พระองค์รับสั่ง และก็รับสั่งต่อพวกราชบุรุษให้ทำตามคำของพระบรมศาสดา นางสิริมาถูกหามไปยังป่าช้าผีดิบ

ผ่านไปสี่วัน สรีระของนางก็พองอืด อ้วนขึ้นมาส่งกลิ่นฟุ้ง หนอนตัวโตๆ ได้ไต่ออกจากปากแผลทั้งเก้า หูตาจมูกปากทวารต่างๆ ร่างของนางแตกไปทั่ว หนอนไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

พระราชาก็สั่งให้ตีกลองประกาศไปทั่วพระนครว่า เว้นแต่เด็กๆ ให้เฝ้าเรือน ให้ทุกคนมาดูนางสิริมา ถ้าไม่มาจะถูกปรับแปดกหาปณะ ต้องมากันทั้งเมือง และได้ส่งข่าวไปยังสำนักพระบรมศาสดาว่า

ขอกราบอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอกราบอาราธนาเสด็จมาดูนางสิริมา

(พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่พระวรกายสง่างามนะ งามทีเดียว)

พระบรมศาสดาทรงรับสั่งให้ประกาศในหมู่พระภิกษุว่า

เราทั้งหลายหมดทุกรูปจะไปดูนางสิริมา ให้ทุกรูปไปดูพร้อมๆ กัน

ภิกษุนั้นสี่วันนอนอดอาหารอยู่ ไม่ฟังคำใครทั้งนั้น จำได้แต่ภาพของนางสิริมาที่สวยสดงดงาม แม้กำลังป่วย ยังไม่รู้เลยว่าตาย สิริมา สิริมา แล้วก็ไปขยาย ขยายความคิดออกไป ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ (นี่นะ ถ้านางคุยกับเรานะ อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนู้น ก็ไป ฟุ้งซ่านไปเรื่อย)จนข้าวในบาตรบูด บูดแล้ว

เพื่อนภิกษุรูปหนึ่งก็ไปบอกว่า

อาวุโส พระบรมศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมาน่ะ ท่านจะไปไหม

ภิกษุนั้นพอได้ยินคำว่าสิริมา

สิริมาหรือ

ทั้งๆ ที่หิว ถามว่า (คือหูมันอื้อ)

อะไรนะ

สิริมาไงล่ะ จะพาไปดูสิริมา พระบรมศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมา ท่านน่ะจะไปไหมล่ะ

ไปสิ ไปสิ ทำไมจะไม่ไป

รีบครองผ้า เอาข้าวบูดไปเททิ้ง ล้างบาตร ใส่ถลกบาตร ไปกับเพื่อนภิกษุ มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่านางตายไปแล้ว (ภาพเก่าๆ ยังอยู่)

พระบรมศาสดามีหมู่ภิกษุแวดล้อมได้ประทับยืนอยู่ส่วนข้างหนึ่ง หมู่ภิกษุณี ราชบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ได้ยืนอยู่เป็นส่วน เป็นส่วนๆ กันไป มองเห็นพร้อมกันหมดเลยในบริษัททั้งสี่นั้น พระบรมศาสดาตรัสถามว่า

นี่ใครมหาบพิตร

ท่านเจาะจงไปที่ภิกษุรูปนั้น เพื่อให้เสียงของพระองค์ได้ยินไปถึงภิกษุรูปนั้น

ใครมหาบพิตร

พระราชาก็กราบทูลว่า

น้องสาวหมอชีวก ชื่อสิริมาพระเจ้าข้า

สิริมา นี่ใช่สิริมาหรือ มหาบพิตร นี่ใช่นางสิริมาแน่หรือ

เสียงต้องการให้ภิกษุรูปนั้นได้ยิน ภิกษุรูปนั้นก็ได้ยิน และก็มามั่นใจตอนที่พระราชากราบทูลตอบว่า

ใช่นางสิริมาแน่พระเจ้าข้า

(ตรงนี้สิ ใช่นางสิริมาแน่ โอ้ ความตื่นเต้นหดหาย อับเฉาเหงาหงอยหงอกเข้ามาแทนที่ หมดความตื่นเต้น)

เมื่อพระราชากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

"นี่ใช่นางสิริมาพระเจ้าข้า"

ถ้าใช่ ขอพระองค์จงให้พวกราชบุรุษตีกลองประกาศไปให้ทั่วพระนครเลย และก็ให้ทั่วถึงทุกๆ คน ไม่เว้นแม้แต่เพียงคนเดียว ให้ประกาศว่าใครให้ทรัพย์พันหนึ่ง จงมารับนางสิริมาไป

พระราชาก็ทรงทำอย่างนั้น แต่ผู้ที่ต้องการนางสิริมาและจ่ายทรัพย์หนึ่งพันไม่มีเลย

(หน้าตาของแต่ละคนคิ้วเหมือนติดโบว์ โอ้ อ้า ร้องอื้ออึง)

ชนทั้งหลายไม่มีใครเอาเลยพระเจ้าข้า กราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่มีใครเอาเลยพันนึง มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น ลดราคาลงมา

(วันนี้พิเศษ ลดราคา ลดลงมาเลย ใครต้องการใช้บริการลดลงมา)

พระราชาก็ทรงประกาศลดราคา

หากใครให้ทรัพย์ห้าร้อย จงรับตัวนางสิริมาไปเลย

แต่ไม่มีใครรับไปเลย ลดลงมาเหลือห้าร้อยแล้ว และก็ตีกลองให้เวลาเหมือนประมูล

(นี่ตีกลองประกาศลดราคาลงไปอีก

.

.

สองร้อยห้าสิบ

.

.

.

ผ่าน...

.

.

เงียบ..

.

.

สองร้อย

.

.

.

ร้อย..)

จนเหลือหนึ่งกากณิก เป็นเศษสตางค์ (พูดง่ายๆ ก็เป็นเศษสตางค์)

ไม่มีใครรับซื้อเลย ไม่มีใครรับนางไปเลย ก็เลยประกาศเป็นครั้งสุดท้าย

(เอาอย่างนี้ ให้ฟังให้ดีทุกๆ คน ตีกลองรัวเลย โอ้โห ตีรัวได้ยินทั่วถึงหมด)

ถามว่า

ได้ยินทุกคนไหม หากใครประสงค์ต้องการนาง จงมารับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ แต่ก็ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรับนางไปเลย

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขณะนี้ผู้ที่จะรับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ ไม่มีเลยพระเจ้าข้า

พระบรมศาสดาก่อนจะตรัส พระองค์ทรงตรวจดูจิตใจพุทธบริษัททั้งสี่ เน้นไปที่ภิกษุรูปนั้น แต่กล่าวรวมๆ ว่า

ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงดูหญิงผู้เป็นที่รักของมหาชน ในกาลก่อนชนทั้งหลายในพระนครนี้ให้ทรัพย์หนึ่งพัน จึงจะได้นางไปวันหนึ่งครอบครอง บัดนี้แม้ผู้ที่จะรับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ ก็ไม่มี ร่างที่งามถึงเพียงนี้ ได้ถึงความเสื่อมและสิ้นไปแล้ว ความงามมันประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา แต่ยังไม่มีหนอน แต่สรีระยนต์เหี่ยวเฉามันจะมีหมู่หนอนอย่างนี้แหละ ภิกษุทั้งหลายเธอจงดูอัตภาพอันเปื่อยเน่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะตรัสบ่อยๆ นะว่าร่างกายนี้เป็นของเปื่อยเน่า คือทั้งเปื่อยทั้งเน่า และได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับความไม่เที่ยงของสังขาร ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็เสื่อมสลายไป แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เราสังเกตไม่ออก แต่กาลเวลาผ่านไป พอฟันหัก ผมหงอก ผิวหนังเหี่ยวย่น มีกระ อะไรต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป เราถึงสังเกตเห็น สังขารมันก็เปลี่ยนไปอย่างนี้แหละ และท่านก็พูดไปเรื่อยๆ

ภิกษุรูปนั้นกับมหาชนก็ฟัง แต่ท่านก็จะเน้นไปที่ภิกษุรูปนั้น พอฟังแล้วใจก็สลด พอสลดก็เบื่อหน่าย เกิดนิพพิทา เบื่อหน่าย ไม่มีความรักในร่างกายของตนและของผู้อื่น พอนิพพิทาและก็วิราคะ คือใจที่ยินดีตรงนี้ก็หลุดไป แล้วก็วิมุตติ หลุด คือคลาย พอเบื่อหน่ายก็คลายความกำหนัดยินดี ถ้าไม่เบื่อก็ไม่คลาย พอเบื่อก็คลาย พอคลายก็หลุด พอวิมุตติหลุดแล้วก็วิสุทธิ บริสุทธิ์ ใจก็เกลี้ยง แล้วก็สันติ คือหยุดนิ่ง พอหยุดนิ่ง ก็ดิ่งเข้าไปในนิพพาน ไปนิพพานได้

(มันจะเรียงกันมานะ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน เบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในร่างกายของตนและผู้อื่น แล้วก็หลุดจากความผูกพัน จิตก็บริสุทธิ์ เกลี้ยงๆ ว่างๆ พอบริสุทธิ์ก็หยุดนิ่ง พอหยุด ดิ่งเข้าไปสู่ภายในถึงองค์พระธรรมกายในตัว)

จึงได้บรรลุธรรมกันเป็นแถว รวมทั้งพระภิกษุรูปนั้นซึ่งคลายความผูกพันสิริมาไปแล้ว คลายไปหมดแล้ว เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันหน้าตักห้าวา สูงห้าวา เป็นพระโสดาบันแล้ว

(สาธุ)

oooooooooooooooooooooooooooo


นี่ก็เป็นเรื่องราวของภิกษุรูปนั้น แต่เรื่องราวของนางสิริมายังไม่จบ ยังมีภาคสวรรค์ต่ออีก แต่ว่าตอนนี้ภิกษุรูปนั้นได้ถึงจุดแล้วแห่งความเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น มาเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ก็จะท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเทวโลกกับมนุษยโลก ก็จะสามารถทำนิพพานให้แจ้งได้

นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน เบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายความกำหนัดยินดี ใจก็หลุด เกลี้ยงไม่ผูกพันเลย วิสุทธิบริสุทธิ์ สบายใจเป็นกลางๆ ใจที่แกว่งๆ ก็เป็นกลางๆ หยุดนิ่งดิ่งเข้าสู่ภายในถึงพระรัตนตรัยในตัวด้วยประการฉะนี้


เนื้อเรื่องจาก DMC Channel
Reference Link : http://www.dmc.tv, http://www.kalyanamitra.org




พระบรมศาสดานั้นเห็นตลอด ท่านก็คิดหนามยอกเอาหนามบ่ง เมื่อภิกษุรูปนั้นกำลังรำพึงถึงสิริมาเพราะติดในรูปที่สวยงามของสิริมา เดี๋ยวเราจะเอารูปที่สวยงามของสิริมาซึ่งตอนนี้แปรปรวนไปแล้ว (เปลี่ยนแปลงไปแล้วเมื่อธาตุเป็นไม่อยู่ เมื่อกายละเอียดของเธอไม่อยู่แล้ว มันเปลี่ยนไป) เอาอันนี้เป็นบทเรียน (เป็นอุปกรณ์ในการสอนพระ เหมือนหนามยอกเอาหนามบ่ง อุปกรณ์ของนางสิริมาเหมือนดอกไม้พระ มันเห็นแล้วชื่นใจ ศพ หรือ ซากอสุภ คือดอกไม้ของพระ พระเห็นแล้วชอบใจสบาย ไม่ฟุ้งเลย)

จึงตรัสว่า

อย่าเพิ่งด่วนเผาศพนางสิริมา ขอให้มหาบพิตรจงทอดร่างของนางสิริมานั้นไว้ในป่าช้าผีดิบ (แปลว่าไม่ต้องเผากันเลย สมัยก่อนเขาวางทิ้งไว้อย่างนี้แหละ และสัตว์ก็จะมากินกัน) ให้รักษาไว้ให้ดี อย่าให้สุนัขและกามากินได้"

พระราชาก็ทรงทำตามที่พระองค์รับสั่ง และก็รับสั่งต่อพวกราชบุรุษให้ทำตามคำของพระบรมศาสดา นางสิริมาถูกหามไปยังป่าช้าผีดิบ

ผ่านไปสี่วัน สรีระของนางก็พองอืด อ้วนขึ้นมาส่งกลิ่นฟุ้ง หนอนตัวโตๆ ได้ไต่ออกจากปากแผลทั้งเก้า หูตาจมูกปากทวารต่างๆ ร่างของนางแตกไปทั่ว หนอนไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

พระราชาก็สั่งให้ตีกลองประกาศไปทั่วพระนครว่า เว้นแต่เด็กๆ ให้เฝ้าเรือน ให้ทุกคนมาดูนางสิริมา ถ้าไม่มาจะถูกปรับแปดกหาปณะ ต้องมากันทั้งเมือง และได้ส่งข่าวไปยังสำนักพระบรมศาสดาว่า

ขอกราบอาราธนาพระภิกษุสงฆ์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอกราบอาราธนาเสด็จมาดูนางสิริมา

(พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่พระวรกายสง่างามนะ งามทีเดียว)

พระบรมศาสดาทรงรับสั่งให้ประกาศในหมู่พระภิกษุว่า

เราทั้งหลายหมดทุกรูปจะไปดูนางสิริมา ให้ทุกรูปไปดูพร้อมๆ กัน

ภิกษุนั้นสี่วันนอนอดอาหารอยู่ ไม่ฟังคำใครทั้งนั้น จำได้แต่ภาพของนางสิริมาที่สวยสดงดงาม แม้กำลังป่วย ยังไม่รู้เลยว่าตาย สิริมา สิริมา แล้วก็ไปขยาย ขยายความคิดออกไป ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ (นี่นะ ถ้านางคุยกับเรานะ อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนู้น ก็ไป ฟุ้งซ่านไปเรื่อย)จนข้าวในบาตรบูด บูดแล้ว

เพื่อนภิกษุรูปหนึ่งก็ไปบอกว่า

อาวุโส พระบรมศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมาน่ะ ท่านจะไปไหม

ภิกษุนั้นพอได้ยินคำว่าสิริมา

สิริมาหรือ

ทั้งๆ ที่หิว ถามว่า (คือหูมันอื้อ)

อะไรนะ

สิริมาไงล่ะ จะพาไปดูสิริมา พระบรมศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมา ท่านน่ะจะไปไหมล่ะ

ไปสิ ไปสิ ทำไมจะไม่ไป

รีบครองผ้า เอาข้าวบูดไปเททิ้ง ล้างบาตร ใส่ถลกบาตร ไปกับเพื่อนภิกษุ มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาเลย ไม่รู้ว่านางตายไปแล้ว (ภาพเก่าๆ ยังอยู่)

พระบรมศาสดามีหมู่ภิกษุแวดล้อมได้ประทับยืนอยู่ส่วนข้างหนึ่ง หมู่ภิกษุณี ราชบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ได้ยืนอยู่เป็นส่วน เป็นส่วนๆ กันไป มองเห็นพร้อมกันหมดเลยในบริษัททั้งสี่นั้น พระบรมศาสดาตรัสถามว่า

นี่ใครมหาบพิตร

ท่านเจาะจงไปที่ภิกษุรูปนั้น เพื่อให้เสียงของพระองค์ได้ยินไปถึงภิกษุรูปนั้น

ใครมหาบพิตร

พระราชาก็กราบทูลว่า

น้องสาวหมอชีวก ชื่อสิริมาพระเจ้าข้า

สิริมา นี่ใช่สิริมาหรือ มหาบพิตร นี่ใช่นางสิริมาแน่หรือ

เสียงต้องการให้ภิกษุรูปนั้นได้ยิน ภิกษุรูปนั้นก็ได้ยิน และก็มามั่นใจตอนที่พระราชากราบทูลตอบว่า

ใช่นางสิริมาแน่พระเจ้าข้า

(ตรงนี้สิ ใช่นางสิริมาแน่ โอ้ ความตื่นเต้นหดหาย อับเฉาเหงาหงอยหงอกเข้ามาแทนที่ หมดความตื่นเต้น)

เมื่อพระราชากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

"นี่ใช่นางสิริมาพระเจ้าข้า"

ถ้าใช่ ขอพระองค์จงให้พวกราชบุรุษตีกลองประกาศไปให้ทั่วพระนครเลย และก็ให้ทั่วถึงทุกๆ คน ไม่เว้นแม้แต่เพียงคนเดียว ให้ประกาศว่าใครให้ทรัพย์พันหนึ่ง จงมารับนางสิริมาไป

พระราชาก็ทรงทำอย่างนั้น แต่ผู้ที่ต้องการนางสิริมาและจ่ายทรัพย์หนึ่งพันไม่มีเลย

(หน้าตาของแต่ละคนคิ้วเหมือนติดโบว์ โอ้ อ้า ร้องอื้ออึง)

ชนทั้งหลายไม่มีใครเอาเลยพระเจ้าข้า กราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่มีใครเอาเลยพันนึง มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น ลดราคาลงมา

(วันนี้พิเศษ ลดราคา ลดลงมาเลย ใครต้องการใช้บริการลดลงมา)

พระราชาก็ทรงประกาศลดราคา

หากใครให้ทรัพย์ห้าร้อย จงรับตัวนางสิริมาไปเลย

แต่ไม่มีใครรับไปเลย ลดลงมาเหลือห้าร้อยแล้ว และก็ตีกลองให้เวลาเหมือนประมูล

(นี่ตีกลองประกาศลดราคาลงไปอีก

.

.

สองร้อยห้าสิบ

.

.

.

ผ่าน...

.

.

เงียบ..

.

.

สองร้อย

.

.

.

ร้อย..)

จนเหลือหนึ่งกากณิก เป็นเศษสตางค์ (พูดง่ายๆ ก็เป็นเศษสตางค์)

ไม่มีใครรับซื้อเลย ไม่มีใครรับนางไปเลย ก็เลยประกาศเป็นครั้งสุดท้าย

(เอาอย่างนี้ ให้ฟังให้ดีทุกๆ คน ตีกลองรัวเลย โอ้โห ตีรัวได้ยินทั่วถึงหมด)

ถามว่า

ได้ยินทุกคนไหม หากใครประสงค์ต้องการนาง จงมารับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ แต่ก็ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครรับนางไปเลย

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขณะนี้ผู้ที่จะรับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ ไม่มีเลยพระเจ้าข้า

พระบรมศาสดาก่อนจะตรัส พระองค์ทรงตรวจดูจิตใจพุทธบริษัททั้งสี่ เน้นไปที่ภิกษุรูปนั้น แต่กล่าวรวมๆ ว่า

ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงดูหญิงผู้เป็นที่รักของมหาชน ในกาลก่อนชนทั้งหลายในพระนครนี้ให้ทรัพย์หนึ่งพัน จึงจะได้นางไปวันหนึ่งครอบครอง บัดนี้แม้ผู้ที่จะรับตัวนางสิริมาไปฟรีๆ ก็ไม่มี ร่างที่งามถึงเพียงนี้ ได้ถึงความเสื่อมและสิ้นไปแล้ว ความงามมันประเดี๋ยวประด๋าว เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา แต่ยังไม่มีหนอน แต่สรีระยนต์เหี่ยวเฉามันจะมีหมู่หนอนอย่างนี้แหละ ภิกษุทั้งหลายเธอจงดูอัตภาพอันเปื่อยเน่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะตรัสบ่อยๆ นะว่าร่างกายนี้เป็นของเปื่อยเน่า คือทั้งเปื่อยทั้งเน่า และได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับความไม่เที่ยงของสังขาร ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็เสื่อมสลายไป แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เราสังเกตไม่ออก แต่กาลเวลาผ่านไป พอฟันหัก ผมหงอก ผิวหนังเหี่ยวย่น มีกระ อะไรต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป เราถึงสังเกตเห็น สังขารมันก็เปลี่ยนไปอย่างนี้แหละ และท่านก็พูดไปเรื่อยๆ

ภิกษุรูปนั้นกับมหาชนก็ฟัง แต่ท่านก็จะเน้นไปที่ภิกษุรูปนั้น พอฟังแล้วใจก็สลด พอสลดก็เบื่อหน่าย เกิดนิพพิทา เบื่อหน่าย ไม่มีความรักในร่างกายของตนและของผู้อื่น พอนิพพิทาและก็วิราคะ คือใจที่ยินดีตรงนี้ก็หลุดไป แล้วก็วิมุตติ หลุด คือคลาย พอเบื่อหน่ายก็คลายความกำหนัดยินดี ถ้าไม่เบื่อก็ไม่คลาย พอเบื่อก็คลาย พอคลายก็หลุด พอวิมุตติหลุดแล้วก็วิสุทธิ บริสุทธิ์ ใจก็เกลี้ยง แล้วก็สันติ คือหยุดนิ่ง พอหยุดนิ่ง ก็ดิ่งเข้าไปในนิพพาน ไปนิพพานได้

(มันจะเรียงกันมานะ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน เบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในร่างกายของตนและผู้อื่น แล้วก็หลุดจากความผูกพัน จิตก็บริสุทธิ์ เกลี้ยงๆ ว่างๆ พอบริสุทธิ์ก็หยุดนิ่ง พอหยุด ดิ่งเข้าไปสู่ภายในถึงองค์พระธรรมกายในตัว)

จึงได้บรรลุธรรมกันเป็นแถว รวมทั้งพระภิกษุรูปนั้นซึ่งคลายความผูกพันสิริมาไปแล้ว คลายไปหมดแล้ว เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันหน้าตักห้าวา สูงห้าวา เป็นพระโสดาบันแล้ว

(สาธุ)

oooooooooooooooooooooooooooo


นี่ก็เป็นเรื่องราวของภิกษุรูปนั้น แต่เรื่องราวของนางสิริมายังไม่จบ ยังมีภาคสวรรค์ต่ออีก แต่ว่าตอนนี้ภิกษุรูปนั้นได้ถึงจุดแล้วแห่งความเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น มาเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ก็จะท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเทวโลกกับมนุษยโลก ก็จะสามารถทำนิพพานให้แจ้งได้

นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน เบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายความกำหนัดยินดี ใจก็หลุด เกลี้ยงไม่ผูกพันเลย วิสุทธิบริสุทธิ์ สบายใจเป็นกลางๆ ใจที่แกว่งๆ ก็เป็นกลางๆ หยุดนิ่งดิ่งเข้าสู่ภายในถึงพระรัตนตรัยในตัวด้วยประการฉะนี้


เนื้อเรื่องจาก DMC Channel
Reference Link : http://www.dmc.tv, http://www.kalyanamitra.org




อ่า.. ในที่สุดก็มาถึงตอนที่ 4 กันแล้ว ตอนสิริมาไปบังเกิดเป็นเทพธิดาบนสรวงสวรรค์

ได้อ่าน comment ของคุณฉิม ที่กล่าวว่า คาดว่านางสิริมาคงมีบุญผูกพันกับนางอุตรามาแต่ชาติปางก่อน ไม่งั้นคงจะไม่เป็นกัลยาณมิตรพาไปให้เจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อืมม อันนี้ก็คงต้องไปติดตามเฉลยกันในตอนถัดๆ ไปนะ

ส่วนสามีของนางอุตรา โดยส่วนตัวคาดว่า นางก็คงจะทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้แก่ตัวสามีและครอบครัวฝ่ายสามีจนสำเร็จนั่นแล แต่อาจจะไม่ได้นำมากล่าวในที่นี้

ooooooooooooooooooooooooooo


ตอนที่ 4 สิริมาเทพธิดา


นางสิริมา ตอนนี้เป็นพระโสดาบันแล้ว เป็นพระอริยบุคคลแล้ว เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปบังเกิดในเทวโลก ได้ตรวจตราดูทิพยสมบัติของตนว่าได้มาด้วยบุญอันใด

เทพธิดาใหม่ก็ได้ตรวจที่มาของทิพยสมบัติ ก็พบว่าสมบัติเหล่านี้บังเกิดขึ้นได้เพราะเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เราได้สั่งสมบุญในบุญเขตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



(นี่เป็นเครื่องประดับของเธอนะที่คล้ายๆ ดอกบัวบาน เป็นรัดเกล้า นี่เป็นรัตนชาติทั้งนั้นนะ หลากลีลาทีเดียว เพราะฉะนั้นนี่นะไม่ต้องไปคิดจนกะโหลกบานสติเฟื่อง

...นี่ไปลอกเขามาทั้งหมด และพวกนั้นเขาเอาไว้โชว์นะ แหวนที่นิ้วนี่ มีกี่นิ้วใส่ทั้งหมด แต่ถ้ามาใส่ในเมืองมนุษย์เขาว่าบ้า แต่บนนั้นถ้าใครไม่ใส่เนี่ยเขาว่าเชย เพราะเขาเอาไว้โชว์กัน บนสวรรค์เอาไว้โชว์ เมืองมนุษย์เอาไว้ใช้ และก็มีกรอบบังหน้า เหมือนแปะติด เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดว่าตนเองนั้นสวย ก็ไปเทียบกันดู จะรู้ว่าเรานั้นขนาดไหน

...พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเคยให้พระนันทะเทียบเหมือนกัน ตอนก่อนจะพาพระนันทะขึ้นไปบนสวรรค์

นันทะ เธอเห็นอะไรที่ตอไม้ไหม

เห็นพระเจ้าข้า ภิกษุนันทะ พระอนุชาตอบ

อะไรหรือ

ลิงจุ่นพระเจ้าข้า

จำไว้นะ

และก็พาไปดูเทพธิดาบนสวรรค์ พอเห็นเทพธิดาบนสวรรค์ ท่านถามคำถามเดิม

นันทะ เธอเห็นอะไรไหม

เห็นพระเจ้าข้า

อะไรหรือ

เทพธิดาพระเจ้าข้า

เทียบกับนางชนบทกัลยาณีที่เธอคิดถึงอยู่ตลอดเวลา (เหมือนภิกษุรูปนั้นคิดถึงสิริมาน่ะ) กับเทพธิดานี่ เป็นอย่างไร

โอ้ นางชนบทกัลยาณีที่ข้าพระองค์หลงใหล เหมือนลิงจุ่น

ใครที่คิดว่างาม จงดูซะ ถ้าเราจะแปลงเพศทั้งที แปลงให้ได้อย่างนี้ ถ้าแปลงไม่ได้อย่างนี้ สั่งสมบุญเอาไว้นะ แล้วเราก็ไปเอาดีเป็นผู้หญิงในภพเบื้องหน้า ชาตินี้เราอดทนอดกลั้นเอาไว้ ไม่แปลง แต่ว่าเราเปลี่ยนใจเสียใหม่ สั่งสมบุญกุศลเอาไว้เยอะๆ และเราอยากเป็นผู้หญิงหรือ ไปเกิดเป็นเทพธิดา จะสวยแบบนี้)

แล้วก็ได้เห็นในทิพยจักษุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับยืนอยู่

(นี่กำลังระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเรามีทิพยสมบัติอย่างนี้เพราะพระองค์)

เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับแวดล้อมด้วยเหล่าภิกษุสงฆ์ และมหาชนจำนวนมากต่างมาประชุมพร้อมกันใกล้ร่างของตน

(ใช้คำว่าอัตภาพก่อน ก่อนเธอจะมาเป็นอย่างนี้ เธอเป็นอย่างนั้นก่อน ทีนี้ร่างที่ทอดอยู่เหมือนท่อนไม้ที่ทิ้งไว้ในป่า ให้ใครฟรีๆ ก็ไม่เอาตอนนี้เห็นไหม พอกายละเอียดเดินออกจากกายมนุษย์ เหลือกายหยาบ นี่เทียบกันไม่ได้เลย)

เธอมองเห็นในทิพยจักขุ เธอจึงพร้อมกับนางเทพอัปสรบริวารห้าร้อย และเทวรถอันเทียมด้วยม้าอีกห้าร้อยคัน ลงมาปรากฏกายต่อหน้าพระพักตร์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะนั้นเลย ยืนประคองอัญชลี เมื่อลงจากเทวรถแล้ว ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ยืนอยู่ส่วนข้างหนึ่ง

(เธองามสง่าทีเดียว สวยสดงดงาม)

ขณะนั้นพระวังคีสะเถระ ยืนอยู่ไม่ไกลจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระอรหันต์ ได้เห็นเหล่านางเทพอัปสรนั้นในทิพยจักขุ ด้วยธรรมจักขุ ได้กราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคย์เจ้า ข้าพระองค์ประสงค์จะถามคำถามต่อเทพธิดา

ดูก่อนวังคีสะ ตถาคตอนุญาติให้เธอถามปัญหากับเทพธิดานั้นได้

พระวังคีสะก็ถามเลย ถามเทพธิดาผู้เป็นประธาน ว่า

ดูก่อนนางเทพธิดา เทวรถอันเทียมด้วยม้าทั้งหลายของเธอ ประดับประดาอย่างวิเศษอลังการแล้ว เหาะไปในอากาศ มีกำลังมาก วิ่งได้เร็ว ดูเวลาท่านจะพูดให้เทพธิดาปลื้ม เธอมีเครื่องประดับอลังการ มีรัศมีสว่างรุ่งเรือง ราวกับดวงไฟโชติช่วง เป็นที่น่าดู น่าเลื่อมใส เป็นผู้มีรูปสวยงามทุกส่วน ดูแล้วไม่จืดจางเลย (คือมีรสชาติ ไม่จืด)

...ดูก่อนนางเทพธิดาผู้งามสง่า อาตมาขอถามเธอว่า เธอน่ะ มาจากสวรรค์ชั้นไหน จึงได้มาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครประเสริฐยิ่งกว่า

เมื่อชื่นชมบุญบารมีกันแล้ว จึงถามนางเทพธิดานั้นเมื่อถูกพระเถระถามถึงที่มาของตน ก็ตอบว่า

ดิฉันเป็นเทพธิดาชั้นนิมานรดี สวรรค์ชั้นที่ห้า เป็นเทวดาชั้นที่ห้า เป็นสวรรค์ชั้นที่สามารถเนรมิตทิพยสมบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญตามความปรารถนาของตน

(คือสวรรค์ชั้นนี้เนี่ย เราอยากจะให้วิมานเราเปลี่ยนแปลงหรืออะไรต่างๆ อย่างไร เราเนรมิตเอาเลยตามกำลังบุญของเรา)

...ดิฉันและเหล่าบริวารมาที่นี่ เพื่อนมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ไม่มีใครประเสริฐยิ่งกว่า

พระเถระได้ฟังถึงที่มาของนางแล้ว ประสงค์ให้นางเทพธิดานั้นบอกถึงบุญที่เคยทำในภพก่อน จึงกล่าวว่า

เธอได้สร้างบุญอะไรไว้ในภพก่อน เพราะบุญอะไร จึงทำให้เธอได้มีทิพยสมบัติอันยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ อีกทั้งยังมีรัศมีกายที่รุ่งเรืองสว่างไสวไปทั่วทั้งสิบทิศ (เธอสง่างามจริงๆ)

...ดูก่อนเทพธิดา เธอเป็นผู้มีเหล่าบริวารแวดล้อมสักการะมากมาย เธอมาจากที่ใดจึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก ก่อนจะไปบังเกิดในเทวโลกนั้น อยู่ตรงไหน มาจากไหน ท่านมีศรัทธาในคำสอนของศาสดาองค์ใด จึงได้นำคำสอนนั้นมาปฏิบัติตาม หากเธอเป็นสาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเธอโปรดบอกอาตมาด้วยเถิด

(ไพเราะจังเลย พระวังคีสะ)

เทพธิดานั้นก็ตอบว่า

ตอนเป็นมนุษย์ดิฉันเกิดกรุงราชคฤห์ ที่ปกครองโดยพระเจ้าพิมพิสาร ดิฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญชำนาญด้วยศิลปะฟ้อนรำขับร้อง ท่านทั้งหลายในกรุงราชคฤห์รู้จักดิฉันในนามว่าสิริมาเจ้าค่ะ ดิฉันคือสิริมา

...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ผู้เป็นพระบรมศาสดาของดิฉัน พระองค์ได้ทรงแสดงอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางถึงความดับทุกข์ ที่ไม่คด เป็นทางตรง ทางเกษม ดิฉันได้ฟังอมตธรรมที่เป็นคำสอนของพระตถาคตเจ้า ผู้ไม่มีผู้อื่นประเสริฐกว่า

...ดิฉันสำรวมอย่างดีในศีลทั้งหลาย ตั้งอยู่ในธรรม คือคำสอนอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว (หรือทรงแนะนำแล้ว) ดิฉันรู้ธรรมที่ปราศจากกิเลสที่ไม่มีอะไรทำให้เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงแล้ว

...ดิฉันได้สัมผัสสมาธิจากความสงบในอัตภาพนั้น เกิดความสงบ จนกระทั่งดิฉันได้บรรลุอมตธรรมอันประเสริฐ พ้นจากความเป็นปุถุชน มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอย่างเดียว บรรลุคุณวิเศษขั้นแรก เป็นพระโสดาบัน ไม่เกิดในทุคติอีกต่อไป

...ที่ดิฉันมานี่ก็เพื่อถวายบังคมพระพุทธองค์ผู้ไม่มีผู้อื่นประเสริฐยิ่งกว่า เพื่อมานมัสการเหล่าภิกษุผู้ยินดีในกุศลธรรม เป็นผู้ที่น่าเลื่อมใส

...ดิฉันได้พบพระมหามุนีแล้ว มีใจบันเทิง อิ่มด้วยรสแห่งปีติ ขอถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเป็นสารถีฝึกคนที่ควรฝึก เป็นผู้นำและทำประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก

สิริมาเทพธิดาครั้นประกาศความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว ก็ได้กระทำประทักษิณ คือเวียนรอบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทางขวาตามเข็มนาฬิกา และเหล่าภิกษุสงฆ์ และก็กลับไปสู่เทวโลกแห่งเดิม เทพธิดาสิริมาอรรถกาถาจารย์ก็จบด้วยประการฉะนี้

ooooooooooooooooooooooooooooo


ก่อนจะอ่านเรื่องต่อจากนี้ จะขอทำความเข้าใจกับเพื่อนๆ ที่กันก่อนนะคะ

เนื้อหาที่จะอ่านกันข้างล่างนี้ เป็นการถอดเทปพระธรรมเทศนาของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หลวงพ่อธัมมชโย จากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ที่เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง DMC

เรื่องราวในอดีตชาติของสิริมานี้ ไม่มีกล่าวเอาไว้ในพระอรรถกถาจารย์ แต่ด้วยความเมตตาของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ท่านได้นำเรื่องราวในอดีตชาติของสิริมามาเปิดเผยจากการฝันในฝัน (เป็นคำนิยามในรายการอนุบาลฝันในฝันวิทยา ที่ใช้เรียกแทนการนั่งสมาธิเข้าไปดูเรื่องราวความเป็นจริงต่างๆ) และได้นำมาเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง DMC ซึ่งได้เผยแพร่ไปยังพุทธศาสนิกชน และศาสนิกชนศาสนาอื่นๆ ทั่วโลก เพื่อให้พวกเราได้เข้าใจเรื่องราวของกฎแห่งกรรมมากขึ้น ว่าเหตุจากการกระทำหนึ่งจะส่งเป็นผลวิบากแน่นอน แต่จะช้าจะเร็วเท่าไหร่ เรามิอาจรู้เท่าทันการส่งผลนั้นได้ บ้างก็ชาตินี้เลย บ้างก็ชาติหน้า บ้างก็ชาติถัดๆ ไปอีก เพราะศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ยึดหลักเหตุและผล ทุกอย่างเมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล และทุกผลที่เกิดขึ้นมีเหตุทั้งนั้น

สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่มีความเชื่อเรื่องบุญ-บาป การทำสมาธิได้ฌาณ มีฤทธิ์ เรื่องราวปาฏิหารย์ กฏแห่งกรรม ชีวิตหลังความตาย อดีตชาติ อนาคตชาติ และเรื่องราวเหนือจินตนาการอีกหลากหลายในพุทธศาสนา โปรดอ่านอย่างผ่านสายตา แต่อย่าได้ใช้ความคิด จินตนาการว่าสิ่งที่ได้อ่านนั้นไม่เป็นจริง เป็นไปไม่ได้ ไม่มีจริง และทำการลบหลู่ดูหมิ่นในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อศาสนาพุทธ

ถึงแม้ท่านจะไม่เชื่อ แต่โปรดอย่าได้ลบหลู่เลย ให้ท่านทำใจกลางๆ ให้เผื่อได้ เผื่อเสีย(เพื่อเป็นการดีสำหรับตัวท่านเอง) เอาไว้ ว่า หากเรื่องราวในความเชื่อตามหลักศาสนาพุทธมีจริง ก็จะได้ไม่ติดลบ คือทำบาปทางจิต แต่หากไม่มีจริง หรือไม่เป็นจริง ก็เท่ากับเจ๊ากันไป ไม่มีใครเสีย นะคะ

เนื้อหาด้านล่างนั้น หลวงพ่อธัมมชโย ได้แจกแจงรายละเอียด ซึ่งเป็นการแทรกหลักธรรมะ คำสอนที่เหมาะแก่การเข้าใจ และนำไปปฏิบัติตามได้ดีมาก อยากจะให้เพื่อนได้อ่านโดยละเอียดทุกคำเลยค่ะ

ขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดค่ะ ก็มาอ่านเรื่องราวอดีตชาติของสิริมากันได้เลยจ้ะ


oooooooooooooooooooooooooo


ตอนที่ 5 อดีตชาติของนางสิริมา ตอนที่ ๑ อรรถกโถจารย์


นี่ก็เป็นเรื่องราวอรรถโถจารย์ที่ฝันเป็นตุเป็นตะ และนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา ฟังพอเพลินๆ สบายๆ เพื่อที่เราจะได้มองเห็นภาพของเธอได้ชัดเจนขึ้น

ตอนนี้ท่านเป็นพระอริยบุคคลแล้ว อยู่บนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี สวรรค์ชั้นนี้จะต้องการอะไร ก็เนรมิตตามกำลังบุญที่ตนสั่งสมเอาไว้ตอนเป็นมนุษย์

แต่ว่าตอนก่อนที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านก็เป็นหญิงงามเมือง หรือที่เราคุ้นกับคำว่าโสเภณี และก็มีเหตุการณ์อะไรต่างๆ ทำให้ได้มีโอกาสมารับฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และในที่สุดก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน

วันนี้เราย้อนไปอีก เพราะในอรรถกถาจารย์ไม่ได้บอกเอาไว้ว่าทำไมเธอถึงเป็นหญิงโสเภณี และก็มีหน้าตาสวยสดงดงาม อีกทั้งรวยด้วย และได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ได้กล่าวถึงบุพกรรมตอนนี้ มีแต่เล่าไปอย่างที่ได้เล่าให้ฟัง ฉะนั้นตอนนี้เราก็ต้องมาฝันเป็นตุเป็นตะกันต่อ

-------------

ย้อนอดีตการไปในชาติหนึ่ง ชาตินั้น นางได้เกิดเป็นบุตรชายของพ่อค้าท่านหนึ่ง ซึ่งมีกิจการค้าขายซึ่งต้องเดินทางไปต่างเมืองด้วยกองเกวียนกันอยู่บ่อยๆ พ่อค้าท่านนั้น มีเพื่อนที่เป็นพ่อค้าอยู่ตามเมืองต่างๆ อยู่หลายเมือง เมื่อไปถึงเมืองนั้นก็จะไปพักกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในเมืองๆ นั้น

ต่อมาภายหลังเมื่อบุตรชายเจริญวัยขึ้นมา ก็ได้สืบทอดกิจการจากผู้เป็นพ่อ ให้ทำหน้าที่ดูแลการค้า จึงมักจะต้องเดินทางไปซื้อของเมืองโน้นมาขายเมืองนี้ และบางทีก็ซื้อของเมืองนี้ไปขายเมืองนั้นหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันไปเรื่อยๆ ในการเดินทางไปต่างเมือง ก็ต้องไปพักที่บ้านของพ่อค้าผู้เป็นสหายของบิดาในแต่ละเมืองมีสหายของบิดาเยอะ

กล่าวถึงเมืองๆ หนึ่งซึ่งมีพ่อค้าที่เป็นสหายรักของบิดาท่านหนึ่ง พ่อค้าท่านนี้เดิมก็มีภรรยาอยู่ท่านหนึ่ง (สหายบิดานี่นะ)

แต่ต่อมาภายหลังภรรยาของท่านก็ได้เสียชีวิตลง จึงได้ครองตนเป็นพ่อหม้ายมาตลอด

อยู่มาภายหลัง ได้มีลูกหนี้ที่ได้ยืมทรัพย์ไปแล้วแต่ก็ไม่อาจจะใช้ทรัพย์คืนได้ จึงได้ยกลูกสาวแสนสวยให้กับพ่อค้าท่านนั้นเป็นการใช้หนี้ (เอาลูกมาใช้หนี้แทนเงิน) ซึ่งพ่อค้าก็ดีใจ (ถูกใจมาก เพราะตกพุ่มหม้าย) จึงได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากับหญิงสาวคนนี้

เมื่อพ่อค้าหนุ่มได้เดินทางมาถึงเมืองๆ นี้ ก็ได้มาพักอาศัยอยู่กับพ่อค้าที่เป็นเพื่อนของพ่อ และก็ได้รู้จักกับภรรยาใหม่ของเพื่อนพ่อด้วย

เมื่ออาศัยอยู่ในบ้านนั้นนานๆ เข้า ก็เริ่มรู้จักคุ้นเคยกับภรรยาสาวของเพื่อนพ่อมากขึ้น จึงเริ่มถูกตาต้องใจ เนื่องจากภรรยาสาวนั้นมีหน้าตาสวยงามและก็อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน

(ตรงนี้แหละอกุศลเข้าสิงจิตแล้ว จุดมันเริ่มต้นจากตรงนี้ ตรงไปพึงพอใจภรรยาสาวของสหายพ่อซึ่งอยู่ในวัยใกล้เคียงกัน)

หลังจากนั้นก็ได้วนเวียนมาพักอยู่เสมอ จนกระทั่งครั้งหนึ่งเพื่อนของพ่อนั้นไม่อยู่ ไปธุระต่างเมือง

(มันเริ่มมาจากความพอใจก่อนนะ ถ้าหากว่าไม่ดับมันตอนนั้นด้วยขันติธรรม อดทน อดกลั้นแล้วล่ะก็ มันจะมาต่อ ถ้าไม่ดับไฟที่ปลายหัวไม้ขีด เมื่อมันขีดข้างกลัก มันมีสิทธิ์ไหม้ ลามไปไหม้ที่อื่นได้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้)

ภรรยาสาวเพื่อนพ่อจึงได้ดูแลต้อนรับแทนด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย

(เพราะความคุ้นเคยกันอย่างนี้แหละ)

ในที่สุดก็ได้ลักลอบมีสัมพันธ์ชู้สาวกัน

(นี่มันมาเริ่มตรงนี้ กรรมสำเร็จแล้ว คิดจะทำ ลงมือทำเลยเนี่ย set program เลย ตรงนี้ พอสำเร็จเป็นกรรมแล้ว เมื่อจะคิด พูด ทำ ก็จะ set program เป็นผังสำเร็จ เป็นวิบากไปแล้ว กิเลส กรรม วิบาก กิเลสก็บังคับให้มีความคิด มีสัมพันธ์กัน แล้วก็พูดเป็นสื่อ แล้วก็ลงมือทำ จบปั๊บก็ set เป็นผังไปเลย ทำครั้งหนึ่งก็ไปใช้อีกหลายครั้งนับไม่ถ้วนเลย มีวิบากรองรับ ตรงนี้แหละที่มนุษย์ไม่ให้โอกาสตนเองมาศึกษาความรู้เรื่องกฏแห่งกรรม นึกว่า เอ๊ะ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรเลย มีความพึงพอใจกันก็น่าจะ OK ทำไมต้องมีนรก ทำไมต้องมีสวรรค์ มันไม่ยุติธรรม คนจะคิดกันอย่างนั้น เพราะว่าตกลงปลงใจกัน แต่ทีนี่เนื่องจากเราตกอยู่ภายใต้ Law of Karma กฏแห่งกรรม ตรงนี้สิที่มันมีผล มีภพมีภูมิมารองรับ เพราะผู้ที่เอากิเลสมาบังคับ เขาเป็นผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมาก พญามารเขามีฤทธิ์มาก เขาจึงเอากระแสของโลภะ โทสะ โมหะ เข้ามาบังคับ)

หลังจากนั้นก็ได้มีการนัดแนะลักลอบมีความสัมพันธ์กันบ่อยขึ้น โดยเพื่อนของพ่อไม่ทราบเลย

นอกจากหญิงสาวรายนี้แล้ว พ่อค้าหนุ่มท่านนี้ก็มักจะไปมีสัมพันธ์กับหญิงสาวตามเมืองต่างๆ ด้วย

(ผ่านเมืองไหนก็มีที่นั่น มีไปเรื่อยๆ เลย นั่นคือจุดเริ่มต้น)

ก่อนละโลกก็มีกรรมนิมิต (คือภาพแห่งการกระทำ ก็มาฉายให้เห็นเป็นเรื่องเป็นราวเลย ว่าเจอคนนั้นคนนี้คนโน้น อะไรต่างๆ) และก็มีคตินิมิตที่ดำมืด

คตินิมิตที่ดำมืดก็ดูดเข้าไปสู่ภพของอบายภูมิ มาตกนรกอยู่ที่มหานรกขุม 3 ด้วยกรรมเจ้าชู้นั่นเอง

(ก็มาถูกฉับ เฉือน เชือด ชัวะ ชะ อะไรต่างๆ อีกมาก มุ่งไปที่อุปกรณ์ตรงนั้นแหละ

...นายนิรยบาลที่เกิดขึ้นด้วยวิบากกรรมของสัตว์นรกนั้นก็บังเกิดขึ้น มีทั้งนางนิรยบาลเกิดขึ้น แล้วก็เป็นเครื่องฑันทรมานอยู่ในมหานรกยาวนานทีเดียว

...ตรงนี้ก็มนุษย์เหมือนกัน ไม่ค่อยจะมาศึกษาความรู้ตรงนี้ ว่าหากประกอบเหตุอย่างนี้ จะต้องไปเป็นผลอย่างนี้ เรื่องเหตุเรื่องผลไม่ค่อยได้ศึกษากัน)

พอพ้นจากมหานรกแล้วก็มาอุสสทนรก แล้วก็มายมโลก

(ไปปีนต้นงิ้วที่ยมโลกเมื่อกรรมเบาบางลงไปแล้ว)

และก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตั้งแต่สัตว์ชั้นต่ำ หนอนในห้องน้ำ มด แมลง เป็นต้น ไล่เรื่อย จนกระทั่งสัตว์ใหญ่ขึ้นมา และก็เป็นสัตว์แต่ละอย่างกันนับครั้งไม่ถ้วน

กระทั่งโตเรื่อยๆ ขึ้นมา จนกระทั่งสามสัตว์สุดท้าย ก็เป็นพวกลิงบ้าง เป็นลาบ้าง เป็นวัว เป็นควายบ้าง พวกที่เป็นวัวเป็นควายก็เพราะไปสวมเขา อะไรอย่างนั้น

และก็มาเป็นสุนัขที่สำส่อน สมสู่อย่างสำส่อนอย่างนั้นแหละ

(เห็นอย่างนี้ อุ๊ย น่ารัก แต่ว่ามีวิบากมาทั้งสิ้นนั่นแหละ)

พอพ้นจากกรรมตรงนั้นแล้วเป็นเวลายาวนาน จึงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็มาเป็นหญิง และก็มามีอาชีพเป็นโสเภณี ขายบริการทางเพศ

(กรรมมันจะบันดาลให้เข้าไปสู่เส้นทางนั้นเอง จะสมัครใจ จะถูกบังคับ หรืออะไรก็แล้วแต่ล่อลวง สารพัด ทำให้ต้องไปอยู่ตรงนั้น)

แล้วก็วนเวียนเป็นโสเภณีอยู่หลายๆ ชาติทีเดียว

(เป็นร้อยๆ ชาติ เห็นไหมว่า ทำแค่ไม่นานเท่าไหร่ ไม่กี่ครั้ง เพราะว่าช่วงอายุไม่นานเท่าไหร่ของมนุษย์ แต่ไปใช้ทียาวนานมาก มันไม่คุ้มกันเลย)

เป็นโสเภณีอยู่หลายร้อยชาติ จนในชาติหนึ่ง ได้เกิดเป็นหญิง และก็ได้ไปเป็นโสเภณีในสำนักของหญิงงามเมือง ซึ่งมีหญิงโสเภณีที่เลื่องชื่อประจำเมือง ได้ไปเป็นหญิงโสเภณีสมาชิกของสำนักนี้

หญิงงามเมืองเลื่องชื่อคนนั้นมีความงามมาก และก็มีความสามารถในการฟ้อนรำขับร้อง เป็นดาวเด่นประจำเมือง

(คือ ร้องรำทำเพลงอะไรต่างๆ และก็บริการทุกอย่างเพื่อให้เกิดความพึงพอใจ และก็ได้เงินมา)

จึงมีลูกค้าในระดับมหาเศรษฐี มหาอำมาตย์ และเชื้อพระวงศ์มาใช้บริการอยู่เป็นประจำ ซึ่งเมื่อเปรียบค่าบริการแล้วก็ประมาณหนึ่งพันกหาปณะต่อคืน (คือแพงมากละกันในยุคนั้น) ถ้าใครให้หนึ่งพันกหาปณะก็จะได้ครอบครองเธอหนึ่งคืน

ส่วนโสเภณีอดีตพ่อค้าหนุ่มนั้น เป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง จึงไม่ค่อยมีลูกค้ามาใช้บริการ (ไม่ค่อยสวย อดีตพ่อค้าหนุ่ม มาเป็นโสเภณีแล้วนะ หน้าตาไม่ค่อยสวย)

จะมีลูกค้าประเภทบริวารติดตามเจ้านายมาใช้บริการ ซึ่งได้ค่าบริการไม่มากนัก ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในความอาภัพของตนที่เกิดมาไม่สวยเท่ากับหญิงงามเมืองเจ้านายคนนั้น อาภัพ

คืนหนึ่ง เป็นคืนที่ไม่มีลูกค้ามาใช้บริการเลย เธอก็กลุ้ม

(แทนที่จะสบายเนื้อสบายตัว แต่ว่าเธอกลุ้ม เพราะว่ากรรมมันไปบีบคั้น นอกจากคิดว่ามันเป็นทางมาแห่งทรัพย์แล้ว มันยังมีความกลุ้ม มีความกำหนัดยินดีในกามอยู่ในตัว เพราะวิบากกรรมมันไปบังคับให้เธอคิดหรือรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมา)

จึงนอนไม่ค่อยจะหลับ และก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด ลุกจากเตียงแล้วก็ออกไปเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงประตูเมือง

(ยุคนั้นมีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า)

เช้าวันนั้น พระปัจเจกพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง

(พระปัจเจกพระพุทธเจ้าคือ ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครสอน แต่ก็ไม่สอนใคร คือ ขวนขวายน้อย)

ได้ออกภิกขาจารมาถึงบริเวรประตูเมือง

(คือท่านคงตรวจในญาณเป็นปกติของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า และเข้าไปในข่ายพระญาณของท่านว่า จะต้องมาโปรดหญิงโสเภณีคนนี้)

ก็ผ่านมาทางนั้นพอดี เป็นบุญลาภของเธอ เธอได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วเกิดจิตเลื่อมใส

(ปกติโสเภณีนี่เขินกับพระนะ จะไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ฝากทำบุญอย่างนี้ก็มี แต่จะให้จะจะอย่างนี้ ไม่ค่อยกล้า มีความรู้สึกว่าตัวเราไม่ค่อยสะอาด อะไรแบบนี้ ไม่อยากเจอ)

เห็นแล้วเกิดจิตเลื่อมใส ความเลื่อมใสของเธอทำให้เธอเดินเข้าไปกราบอาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าให้ไปรับภัตตาหารที่เรือนของตน พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รับอาราธนาด้วยอาการสงบนิ่งๆ (แต่ก็รู้กันได้ว่าท่านรับแล้ว)

เธอดีใจมาก รีบกลับไปที่บ้าน และปลุกเพื่อนหญิงโสเภณีอีกคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ด้วยความง่วงนอนของเพื่อน เพราะโดยปกตินางจะต้องัรบแขกในช่วงกลางคืน ในตอนแรกนางจึงปฏิเสธ แต่ก็ทนการรบเร้าชักชวนของหญิงสหายมิได้ (เอ้า ไปก็ไป) จึงจำต้องลุกขึ้น และมาช่วยกันจัดเตรียมภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า

ครั้นเตรียมภัตตาหารเสร็จแล้ว แล้วก็นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้รับภัตตาหารหน้าเรือนของตน

หลังจากนั้นนางทั้งสองก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน โดยหญิงโสเภณีอดีตพ่อค้าหนุ่มจอมเจ้าชู้ก็ได้อธิษฐานว่า

ด้วยผลบุญนี้ ดูดวงปัญญาของเธอนะ ขอให้ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นหญิงโสเภณีที่งดงามที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด และก็มีรายได้ดีที่สุด

(ดวงปัญญาเธอมีอยู่แค่นั้นแหละ กรรมมันไปบีบคั้น ที่เธออธิษฐานเช่นนี้ก็เพราะความคับแค้นใจที่เกิดมาไม่สวย ไม่มีชื่อเสียงเท่าหญิงงามเมืองดาวเด่นคนนั้น พอกรรมมันบีบคั้น บางทีก็ไม่รู้จะอธิษฐานยังไงเหมือนกันนะ ประกอบกับวิบากกรรมกาเมยังส่งผลอยู่ จึงทำให้นางอธิษฐานติดในกามเช่นนั้น ให้ติดในกามเพราะวิบากกรรมเจ้าชู้นั่นแหละมันติด)

แต่ท้ายที่สุด ก็ยังได้อธิษฐานว่า

ขอให้ได้บรรลุธรรมที่พระคุณเจ้าบรรลุ และได้เห็นธรรมที่พระคุณเจ้าได้เห็น

(ก็ยังดี มีช่องแสงสว่างแห่งดวงปัญญาหน่อยนึง ก็มีบุญเก่าที่เคยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาส่งผลให้ นิพพาน ปัจจโย โหตุ)

ส่วนหญิงสหายของนางนั้นใกล้จะหมดกรรมแล้ว จึงทำให้นางอธิษฐานว่า

ด้วยบุญนี้ ขอให้ชาติต่อไปไม่ต้องมาทำงานเช่นนี้อีก

(เห็นไหมว่ามันขึ้นอยู่กับกรรมหนัก กรรมเบา เพราะฉะนั้นคำอธิษฐานจะไม่เหมือนกัน)

...และได้เป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติร่ำรวย ให้ได้เกิดในตระกูลเศรษฐี มีดวงปัญญาคิดได้ และขอให้ได้มีดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกับพระคุณเจ้าด้วย

(เห็นไหม ใกล้จะหมดกรรมเจ้าชู้ กรรมกาเมแล้ว ก็จะอธิษฐานอย่างนี้)

พระปัจเจกพุทธเจ้า

(ท่านเป็นแหล่งแห่งเนื้อนาบุญ เพราะก่อนจะมาบิณฑบาต ท่านก็เข้านิโรธสมาบัติตรวจตรา เป็นบุญของบุคคลนี้ เป็นแหล่งแห่งพลังงานบุญธาตุ บุญธาตุที่จะปรุงให้เกิดความสุขและความสำเร็จในชีวิต ให้ความปรารถนาของผู้ที่มาใส่บาตรนั้นสมหวัง สมหวังดังใจทุกสิ่ง เพราะใจท่านมันสว่างหมด มีพระธรรมกายพระปัจเจกพุทธเจ้าสว่างไสวทีเดียว หมดกิเลสแล้ว หลุดร่อนไปหมดแล้ว กะเทาะหลุดหมดทุกกายไปแล้ว)

ท่านก็นิ่งๆ

พอทั้งสองอธิษฐานจบ ท่านก็กล่าวว่า

ขอความปรารถนาของเธอทั้งสองที่ได้ตั้งใจไว้ด้วยดีนั้นจงสำเร็จทุกประการเทอญ เอวํ โหตุ ให้เป็นเช่นนั้น

ooooooooooooooooooooooooooooo

นี่ก็เป็นเรื่องราวของสิริมาอรรถกโถจารย์ ในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา โปรดติดตามเรื่องราวอดีตชาติของสิริมาต่อ ในตอนต่อไป


เนื้อเรื่องจาก DMC Channel
Reference Link : http://www.dmc.tv, http://www.kalyanamitra.org



ตอนที่ 6 อดีตชาติของนางสิริมาตอนที่ ๒ อรรถกโถจารย์


...หลังจากนั้นเธอก็ได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารตามกำลังบุญ-บาป

(ก็ได้ไปเกิดเป็นโน่น เป็นนี่ เป็นอะไร สารพัดไปเรื่อยๆ

อย่าลืมว่าบุญหรือบาปก็ดี เวลาให้ผลก็ต้องมีเวลาทำงานเหมือนกัน

...บุญจะให้ผลก็ต้องมีเวลาทำงานของบุญ

...บาปเวลาจะให้ผล ก็มีเวลาทำงานของบาป

...เหมือนโรคจะเกิดในกาย มันก็ต้องมีเวลาทำงานของเชื้อโรค

...ยาที่จะเข้าไปรักษาโรค ก็จะต้องมีเวลาทำงานของยา

บุญบาปก็ในทำนองเดียวกัน

ฉะนั้น บางทีเราทำบุญ ก็นึกว่า เอ๊ะ ทำไมมันไม่ส่งผลปุ๊บปั๊บ หรือเราดันตายก่อนอย่างนี้ บางทีมันก็ต้องมีระยะเวลาให้บุญทำงาน หรือการทำบาป เขาทำชั่วอย่างนี้ มันน่าจะส่งผลปุ๊บปั๊บ บาปก็ต้องขอเวลาทำงานเหมือนกัน จนกระทั่งมันเต็มที่ถึงจะส่งผลได้ มันเป็นอย่างนี้นะ)

จนกระทั่งหญิงงามเมือง อดีตพ่อค้าหนุ่มเจ้าชู้ ได้มาเกิดเป็นหญิงที่มีลักษณะงดงาม

(ความปรารถนาของเธอมาสำเร็จตรงนี้แล้ว)

และก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหญิงงามเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด และมีค่าตัวแพงที่สุด

(นี่ยังไม่ใช่ภพสิริมานะ เป็นชาติก่อนนี้ บุญนี่มาส่งผลในระดับตรงนี้แล้ว เป็นหญิงงามเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด มีค่าตัวแพงที่สุด คืองาม เป็นนางงามเมือง)

เพราะความงาม และความดังของเธอ ทำให้ลูกค้าที่ร่ำรวยมีตระกูลสูงในระดับคฤหบดี ขุนนาง รวมถึงเชื้อพระวงศ์มาใช้บริการ

ชื่อเสียงของนางนั้นโด่งดังไปจนกระทั่งไปเข้าหูเจ้าชายที่เป็นรัชทายาท เจ้าชายจึงได้แอบปลอมตัวมาเที่ยว และก็ใช้บริการกับหญิงงามเมืองคนนี้

(เจ้าชายมาเลย ก็เธอเล่นอธิษฐานอย่างนั้นนี่)

จนในที่สุดก็ได้ตกหลุมรักนางจนถอนตัวไม่ขึ้น (พอตกหลุมรัก ถอนตัวไม่ขึ้น ทำอย่างไร) ก็ได้รับตัวนางเข้าไปพักอยู่ในวังด้วยกัน (วังกว้าง มีหลายห้อง อะไรต่างๆ)

แต่ว่า ความลับไม่มีในโลก

ข่าวของเจ้าชายก็ได้รู้ไปถึงพระราชาผู้เป็นพระราชบิดา ท่านก็รู้สึกเป็นห่วง ว่าเจ้าชายจะติดใจหญิงงามเมืองคนนี้มากเกินไปเสียแล้ว อาจจะทำให้เสียโอกาสในการขึ้นครองราชย์ในเบื้องหน้า

จึงได้ไปสู่ขอเจ้าหญิงอีกเมืองหนึ่งซึ่งมีชาติตระกูลเสมอกันมาเป็นพระชายา

(ดู.. เจ้าหญิงอีกเมืองหนึ่ง เธอสวยสง่างามทีเดียวแหละ)

กาลเวลาผ่านไปไม่นาน พระราชาก็ได้สวรรคตลง

(ล้วนตายหมด ไม่ว่าจะเป็นหญิง เป็นชาย หรือไม่ใช่หญิง ใช่ชาย ตายหมด ล้วนแก่ ล้วนเจ็บ ล้วนตาย พระราชา มหากษัตริย์ จนถึงยาจก วณิพก ตายหมด

..ความตายนี่ ไม่เป็นความประสงค์ของเราเลย และก็ไม่ควรจะเป็นความประสงค์ของใครด้วย ก็ยังไม่อยากตายนี่)

เจ้าชายหนุ่มก็ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระราชบิดา พระชายาก็ได้รับการอภิเษกขึ้นเป็นอัครมเหสี

ส่วนหญิงงามเมืองคนนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมเอก เธอมีความทะเยอทะยานและความริษยามาก อยากจะเป็นอัครมเหสีเสียเอง

(คิดอยู่ในใจ ความคิดจึงขยายมาสู่ระบบประสาทกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเธอ จนเป็นอย่างนี้)

เธอจึงวางแผน คือส่งคนรับใช้ที่ไว้ใจได้ของตน เข้าไปเป็นนางกำนัลในตำหนักของอัครมเหสี ต่อมาไม่นาน

นางกำนัลคนนั้นก็ได้เข้าไปทำการประจบประแจงจนเป็นที่รักใคร่และไว้ใจของอัครมเหสี จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดประจำพระองค์

เมื่อเป็นเช่นนั้น นางสนมเอกจึงใช้ให้นางกำนัลคนนั้นใส่ยาพิษที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสลงไปในอาหารวันละนิด ในที่สุดพระอัครมเหสีก็ล้มป่วยด้วยโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ

(ซึ่งเธอก็ต้องมีวิบากกรรมน่ะ)

และก็สิ้นพระชนม์ในที่สุด

(ล้วนตายหมด ตายธรรมดาก็มี ตายไม่ธรรมดาก็มี ตายหมด)

เมื่อสิ้นอัครมเหสีไปแล้ว พระราชาก็โศกเศร้าเสียใจได้ไม่นาน ก็มีอาการอยากแต่งตั้งนางสนมเอกมาเป็นอัครมเหสีแทน

(พระราชามีอาการ ก็ทำให้เหล่าเสนาอำมาตย์มีอาการเช่นกัน)

เหล่าเสนาอำมาตย์ได้ทูลทัดทานโดยให้เหตุผลว่า ชาติตระกูลของนางไม่เหมาะสม เพราะมาจากอาชีพหญิงงามเมือง

(เห็นไหมว่าต่างก็มีอาการเหมือนกัน)

ซึ่งเกรงว่าจะเสียขัตติยราชประเพณี และประชาชนอาจจะไม่ยอมรับ เหล่าเสนาอำมาตย์จึงพร้อมใจกันไปสู่ขอราชธิดาจากอีกเมืองหนึ่ง เพื่ออภิเษกกับพระราชาสืบไป

นางสนมเอก เมื่อไม่ได้เป็นอัครมเหสีก็เกิดความคับแค้นใจ และก็ตรอมใจตาย

(เธอตายเพราะเธอตรอม บุญเธอไม่ถึง)

พอละจากอัตภาพนั้นแล้วก็ได้ไปเวียนว่ายตายเกิดเสวยผลบุญบาปของตน ซึ่งความจริงแล้วเธอต้องไปมหานรก เพราะได้กระทำบาปเอาไว้ แต่เพราะบุญที่เคยทำไว้กับพระปัจเจกพุทธเจ้ามาอุ้มเอาไว้ จึงยังไม่ต้องไปอบาย

(เห็นไหม ทำบุญกับพระมันดีอย่างนี้นะ ทำบุญกับพระไว้ก่อนเถิด คือใส่บาตรพระ หรือทำบุญกับพระ นี่เป็นของสากลนะ ทุกคนทำได้ ถ้าได้ทำ ทำไปเถิด มันได้แต่บุญ ไม่มีบาปหรอก อย่าไปคิดมาก เพราะพระนี่เป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏสังสาร ท่านทำพระนิพพานให
ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#5 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 05:07 PM



(เห็นไหม ทำบุญกับพระมันดีอย่างนี้นะ ทำบุญกับพระไว้ก่อนเถิด คือใส่บาตรพระ หรือทำบุญกับพระ นี่เป็นของสากลนะ ทุกคนทำได้ ถ้าได้ทำ ทำไปเถิด มันได้แต่บุญ ไม่มีบาปหรอก อย่าไปคิดมาก เพราะพระนี่เป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏสังสาร ท่านทำพระนิพพานให้แจ้ง วัตถุประสงค์ของท่านสูงส่ง)

จนมาถึงสมัยพุทธกาลนี้ นางได้มาเกิดเป็นหญิงโสเภณีในกรุงราชคฤห์

(หมดสิทธิ์ไปอบาย เพราะบุญอุ้มเอาไว้)

เป็นผู้มีลักษณะงดงาม และก็เป็นที่รักที่พอใจของมหาชนทั้งหลาย

นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหญิงงามเมืองสืบทอดจากมารดาของเธอ และก็มีค่าตัวแพงที่สุดคือหนึ่งพันกหาปณะ ก็คือมาเป็น สิริมา

จนกระทั่งในที่สุดได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนในที่สุดได้บรรลุโสดาบัน

...การที่นางได้มาเป็นหญิงงามเมืองที่มีลักษณะงดงามที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด และก็มีรายได้ดีที่สุด ก็เพราะแรงอธิษฐานที่ได้เคยทำบุญไว้กับพระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนั้น

...และการที่นางอุตราได้เป็นกัลยาณมิตรให้กับนาง จนกระทั่งนางได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพราะ บุญที่นางได้เคยเป็นกัลยาณมิตรให้กันและกันมาก่อน ในชาติที่เธอทั้งสองได้เป็นหญิงโสเภณี และได้ชวนกันถวายภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า

...การที่นางต้องอายุสั้นและป่วยตายตั้งแต่ยังสาว ก็เพราะกรรมที่เคยให้นางกำนัลวางยาพิษอัครมเหสีของพระราชาพระองค์นั้นจนตาย

...ส่วนภิกษุผู้หลงใหลในความงามของนางสิริมานั้นก็คือ พระราชาผู้หลงรักหญิงโสเภณีในครั้งนั้นนั่นเอง


ตอนที่ 7 สิริมาภาคสวรรค์ อรรถกโถจารย์

นางสิริมาก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีหลังจากตายแล้ว ซึ่งก็ไปแบบหลับแล้วก็ตื่นขึ้นกลางวิมานเลย



(ภาพนี่เราก็สมมุติเอานะ เพราะวิมานมันสวยมาก ภาพนี้เราก็ทำได้เต็มที่แล้ว เอาเป็นว่าพอรู้เรื่องว่าเธอ แว้บ ไปตื่นขึ้นกลางวิมาน และภาพต่อจากนี้ไปก็เป็นภาพสมมุติเอานะ เพราะว่ามันไม่เหมือนของจริงหรอก ของจริงนั้นวาดยาก นี่ก็เอาพอเป็น idea ซึ่งวิมานของเธอนั้นเป็นวิมานแก้ว ประดับด้วยรัตนชาติต่างๆ สวยสดงดงามมาก มียอดเยอะแยะไปหมดเลย เป็นเรือนแสนซึ่งวาดไม่ได้ เนี่ย มันจะมียอดเยอะแยะเลย แบบว่ามันสวยมาก วาดไม่ไหว เอาว่าพอเป็น idea ตอนนี้เธอไปเป็นเทพธิดาแล้ว)

จากอดีตโสเภณี บรรลุธรรมเพราะได้กัลยาณมิตร นางอุตรา และได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเป็นเทพธิดาชั้นนิมมานรดีนี้ มีวิมานที่สวยงามอลังการทีเดียว

ในชั้นนิมมานรดีนั้น จะมีวิมานอยู่ 3 ลักษณะ เรามาขยายความสักนิด

(นี่ก็เป็นภาพสมมุติเอา ให้รู้ลักษณะแค่ว่า อันนี้ทำด้วยอะไร 3 ลักษณะ)

เกิดขึ้นด้วยบุญบันดาล ปุ๊บ สำเร็จเลย

1. ได้แก่วิมานแก้ว เรียกว่า รัตนวิมาน อันนี้เรียกว่าวิมานแก้ว (ก็ไม่ใช่ว่าจะทรงอย่างนี้ทั้งหมดนะ ทรงจะไม่เหมือนกันหรอก ตามกำลังบุญ)



2. วิมานทอง เรียกว่า สุวรรณวิมาน วิมานทอง (ก็จะมีเรือนยอด มีอะไรต่างๆ สวย หลากหลาย ไม่ซ้ำกันตามกำลังบุญ)




3. วิมานเงิน เรียกว่า รัชตวิมาน (นี่วิมานเงิน นี่ก็สมมุติเอานะ เพราะเขามีหลากหลาย)



ซึ่งก็คล้ายๆ กับสวรรค์ชั้นต่างๆ นั่นแหละ คล้ายๆ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ยามา ดุสิต เป็นต้น ที่มีวิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้ว

ทีนี้เราก็เลือกเอาว่าเราจะเอาวิมานอะไร

คำว่า แก้ว คือรัตนชาตินะ สวยกว่าเพชรในเมืองมนุษย์ สวยวูบๆ วาบๆ แล้วก็ไม่ต้องกลัวแสบตาบนนั้น แสงจะเนียนตา ละมุนใจ ปิ๊งปั๊ง ตรงนั้นน่ะ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ส่องไปไม่ถึง ท้องฟ้าก็จะเป็นสีต่างๆ

...ที่เราเคยได้ยินว่าฟ้าสีทองผ่องอำไพ นั่นน่ะ ต้องไปดูบนสวรรค์ แต่ท้องฟ้าในเมืองมนุษย์จะสีฟ้า ฟ้าสีอย่างนี้น่ะ เรียกว่าสีฟ้า แต่ที่นู่น ฟ้าสีอย่างนั้น สีทอง เพราะอะไรเราก็ไปสัณนิษฐานเอาก่อน แตกต่างแต่ว่าในชั้นต่างๆ จาตุมหาราชิกา ยามา ดุสิต ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงรูปทรงของวิมานที่เกิดขึ้นตามกำลังบุญของตนได้ ดุสิตา ยามา ดาวดึงส์ จตุ เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแหละ

...ยกเว้นในกรณีที่ได้บุญเพิ่มจากการอุทิศส่วนกุศลที่ญาติอุทิศจากเมืองมนุษย์ไปให้ ก็จะมีทิพยสมบัติเพิ่มขึ้น วิมานแตกต่างเปลี่ยนแปลงไปตามกำลังบุญที่ได้รับอุทิศมา

แต่สวรรค์ชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นนี้สามารถจะเนรมิตรูปทรงวิมานของตนเองได้ ด้วยอำนาจบุญฤทธิ์ตามความปรารถนาของตน ด้วยบุญและตามกำลังบุญ เช่นวิมานที่มีลักษณะเป็นเรือนยอด ซึ่งมียอดหนึ่งแสนเรียกว่า สตสหัสสถูปวิมาน มียอดถึงแสนยอด

อยู่ๆ ไป เจ้าของวิมานรู้สึกเบื่อ เซ็งๆ ว่าไม่ไหวแล้วทรงนี้ เราอยู่มาได้พุทธันดรหนึ่ง เราเซ็ง อยากจะเปลี่ยนแปลงรูปทรง ไม่ต้องไปจ้างผู้รับเหมาอะไรทั้งสิ้น ก็สามารถเนรมิตเปลี่ยนแปลงรูปทรงวิมานขึ้นใหม่

...เช่น อยากจะลักษณะสูงคล้ายๆ หอคอย สูงเฉียดฟ้า ซึ่งสูงเด่นเป็นสง่า เรียกว่า อัจจุพเพธวิมาน



(นี่ก็สมมุติเอานะ คือมันจะสูงๆ เรือนยอดอาจจะเหมือน Empire State แบบนั้น)

ดังนั้น เทวดาชั้นนี้จึงมีชื่อว่า นิมมานรดี แปลว่า เทวดาที่สามารถเนรมิตทุกสิ่งขึ้นได้ตามความปรารถนาของตนเอง และจะเนรมิตให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ได้ตามกำลังบุญของตัว

เมื่อนางสิริมาไปบังเกิดเป็นเทพธิดาในกลางรัตนบัลลังก์ ในวิมานแก้ว รายล้อมด้วยบริวารหลายโกฏิ

(โกฏิ ก็สิบล้าน ถ้าหลายก็เอาหลายคูณ ไม่งั้นจะมีเรือนยอดเยอะทำไม)

แล้วก็จะมีวิมานของบริวารอีกต่างหาก อีกเยอะแยะ หรืออยากจะเปลี่ยนสวนสระอะไรต่างๆ ถนน พอนึกปั๊บก็เกิดเลย สวย ลวดลายบนท้องถนนนี่ ดูไปแล้ว เปลี่ยนใหม่ ปุ๊บ อย่างนั้นไง หรือเครื่องประดับในวิมาน

...อย่างมนุษย์ชอบรื้อนั่นรื้อนี่ ย้ายโต๊ะ ไม่เสร็จซักที มนุษย์นี่ชอบรื้อจริงๆ รื้อตั้งแต่ผมบนศีรษะ ของในบ้านนี่ก็รื้ออยู่เรื่อย ย้ายไปย้ายมาเพราะขี้เบื่อ เทวดาชั้นนี้ก็ขี้เบื่อ นิมมานรดีนี่ไง

ได้เห็นบุพกรรมที่มาบังเกิดเป็นเทพธิดาชั้นนิมานรดี เพราะพุทธานุภาพ เพราะได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้นำบริวารมายังโลกมนุษย์เพื่อมานมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์

นี่เราก็ย้อนกลับไปอีกทีหนึ่ง ตอนนั้นภาคมนุษย์มาแล้ว แต่ตอนนี้ภาพคิดคำนึงรำพึงบนวิมาน

วืด
.
ลงมา
.
.
เห็นร่างของเธอ สี่วันเท่านั้น มันเปลี่ยนแปลงไป มีพุทธบริษัทสี่ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อได้เห็นร่างของตนเองในอดีตซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงเกิดสลดสังเวชใจว่า อัตภาพร่างกายของเราตอนเป็นมนุษย์ ว่าผ่านไปไม่กี่วันก็เป็นสมบัติของหมู่หนอนไปแล้ว ร่างกายพอง บวม อืด ไม่มีใครปรารถนาร่างกายเราเลย

เราได้ยินที่พระราชาได้สั่งให้ประกาศ ตั้งแต่คืนละหนึ่งพันไล่ลดลงมาเรื่อยๆ ไม่มีใครต้องการสรีระยนต์ของเราเลย ร่างกายไม่เที่ยงจริงๆ เปลี่ยนแปลงได้ ไม่งามเลย เป็นสิ่งปฏิกูล เป็นสมบัติของหมู่หนอน แล้วก็พองอืด เปื่อยเน่า ผุพัง เกิดความสลดสังเวช

แต่ว่าท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ใจท่านก็อยู่ในธรรมมาโดยตลอด อยู่ในกายธรรมพระโสดาบันหน้าตักห้าวา สูงห้าวา เป็นพระไปแล้ว แต่เปลือกนอกเป็นเทพธิดา แต่ข้างในร่อนนะ ไม่ได้ติดเปลือก

กลับมาถึงสวรรค์ชั้นนิมมานรดี นั่งราชรถผ่านมา ปรากฎว่าเหล่าเทพบุตรผู้มีศักดิ์ใหญ่ (ต้องผู้มีศักดิ์ใหญ่ด้วยนะ) ในระดับเทวราช เทวราชาที่มีศักดิ์ใหญ่ต่างๆ ได้ยินกิตติศัพท์ของเธอ ขึ้นมาใหม่ๆ เหมือนมีน้องใหม่ขึ้นมา และรัศมีของเธอก็กลิ่นหอมกับกิตติศัพท์ทำให้เทวบุตรผู้มีศักดิ์ใหญ่ออกจากวิมานมากันเลย มาเลย จะมาจีบเธอ ไม่ใช่มาเยี่ยมเยียนธรรมดา มาเลย



เธอนี่เป็นตั้งแต่เมืองมนุษย์ มนุษย์ก็ชอบ พอมาบนสวรรค์ เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่นี่

(ศักดิ์น้อยนี่ไปไกลๆ เลย แค่ราชรถของเธอมาก็หลบออกข้างทางแล้ว แพ้รัศมีของเธอ ไม่กล้า เพราะฉะนั้นต้องมีเทวดาศักดิ์ใหญ่เทพบุตรเหล่านี้ สุดหล่อกันทั้งนั้นเลย)

เพราะบนสวรรค์ทุกชั้นเขามีไว้โชว์ ถ้าใครไม่ใส่โชว์เขาเรียกว่าเชย ถ้าหากใครไม่อยากเชยก็ต้องใส่แล้วเขาจะชม ชมเชย ไม่ใช่ชมว่าเชย แต่ไม่ใส่ก็จะชมว่าเชย แต่ถ้าใส่ก็จะชมเชยยกย่อง

มาจีบเธอ

เทวดาในระดับเทวราช คือ เทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ มีอำนาจในการปกครองพื้นที่หนึ่งๆ ในสวรรค์ชั้นนั้น คือหัวหน้าเขตของบนสวรรค์ในแต่ละเขต เช่นเป็นผู้ว่า เป็นอำเภอในแต่ละเขต มาเลย แต่งตัวอย่างดี

อย่าลืมว่าสวรรค์ชั้นนี้เนรมิตได้ เทพบุตรสุดหล่อต่างเนรมิตเพื่อให้ต้องตาต้องใจเธอ เรียกว่าเนรมิตเครื่องประดับ ราชรถ อย่าว่าแต่เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ แม้แต่เทวราชาธิบดีผู้ปกครอง คือท้าวนิมมานรดีเทวราช ก็ยังสน ยังชื่นชมเลย มาเลย เนรมิตกายให้สุดหล่อเลย เรียกว่าให้หล่อที่สุด เพราะมีบุญมากกว่าใครทั้งหมด หล่อที่สุด บนชั้นนิมมานรดี

แต่ถึงว่าเทวดาศักดิ์ใหญ่จะมารุมจีบเธอเยอะ แต่เทพธิดาสิริมาไม่ได้มีความรู้สึกพึงพอใจเลย หรือมีอารมณ์ร่วมเลย เพราะว่าวิบากกรรมกาเมของเธอนั้นมันจางไปแล้ว และเพิ่งกลับมาจากโลกมนุษย์เห็นร่างของเธอเป็นอาจารย์ใหญ่สอน เป็นอุปกรณ์ในการสอนพุทธบริษัททั้งสี่ เธอกำลังสลดสังเวชใจ และก็กรรมกาเมของเธอจางลง เป็นพระโสดาบันด้วย

และเป็นเพราะบุญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงใช้ร่างของเธอ มาเป็นครูใหญ่ในการสอนธรรมะ ให้แก่พระภิกษุสงฆ์และมหาชนทั้งหลายบรรลุธรรมมากมาย ใครบรรลุ บุญนั้นก็บังเกิดขึ้นกับเธออีก จิตใจของเธอก็ยิ่งห่างไกลจากกามราคะ ความกำหนัดยินดีในกาม มันจืดจางลงไปเรื่อยๆ คือ รสกามราคะมันเริ่มจืดไป เริ่มไม่ค่อยมีรสมีชาด ไม่เอร็ดอร่อยเหมือนตอนที่ยังมีความกำหนัดยินดีผูกพันไว้

นางจึงปฏิเสธเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทุกๆ องค์ที่มาชอบพอด้วยวิธีที่นุ่มนวล

(เธอมีวิธีปฏิเสธที่นุ่มนวล เธอก็จะบอกว่าตอนนี้ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้แล้ว หม่อมฉันมีความรู้สึกอยากนั่งสมาธิ หม่อมฉันได้เห็นองค์พระภายใน พระองค์ก็ควรจะทำให้ได้ เทวราชาทั้งหลาย ทำง่ายๆ สบายๆ บอกหมดยาวเหยียด บอกอย่าไปหาอะไรที่ไหนเลย ร่างกายแม้เป็นทิพย์มันก็ไม่แน่นอน แค่สวยประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวก็หายไป)

แล้วเธอก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาแต่เพียงอย่างเดียว เสวยอาหารทิพย์แล้วมานั่งเจริญสมาธิภาวนา



(เธอหมดอารมณ์ แม้ยังไม่หมดกามราคะ แต่ก็บรรเทาเบาบางลงไป มันก็ไม่ค่อยจะคิดเรื่องนี้ อยากจะนั่งหลับตาใสๆ)

เทพธิดาสิริมาก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในอนาคตเธอจะได้บรรลุธรรมชั้นอนาคามี เพราะเธอไม่อยากกลับไปในเมืองมนุษย์อีกแล้ว เธอต้องการเลื่อนไปพรหมชั้นสุทธาวาส ไปเป็นพระอนาคามี และก็ไปนิพพานตรงนั้น

(ใจของเธอตอนนี้คิดอย่างนั้นนะ ว่าถ้าลงมาในเมืองมนุษย์นั้นมันเบื่อ เบื่อหน่ายมนุษย์ เบื่อหน่ายกายมนุษย์ทั้งของตนและของคนอื่น)

พอเบื่อหน่ายก็คลาย พอคลายก็หลุด พอหลุดจิตก็บริสุทธิ์ พอบริสุทธิ์ก็หยุดนิ่ง พอหยุดนิ่งดวงกับองค์พระก็เกิดขึ้น คงจะจำกันได้นิพิททา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน คงจำกันได้นะ

ในอนาคตเธอตั้งใจจะทำความเพียรให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งใจ ผูกใจไว้กับชั้นสุทธาวาส จะต้องไปเป็นพระอนาคามี และไปปรินิพพานที่นั่น

ooooooooooooooooooooooooooo

นี่ก็เป็นเรื่องราวของสิริมาภาคสวรรค์ อรรถกโถจารย์


ตอนที่ 8 ผลบุญที่แตกต่างระหว่างนางอุตรากับนางสิริมา


นี่ก็เป็นอรรถกโถจารย์ตอนสุดท้าย

อรรถกโถจารย์ก็คือ หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากัน ก็ฟังพอเพลินๆ กันไปเลย

เธอตั้งใจที่จะให้บรรลุธรรมขั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งใจมาก ไม่อยากจะกลับลงมาเกิดบนโลกมนุษย์นี้อีก เพราะว่าเกิดในโลกมนุษย์นี้มันมีโอกาสที่จะดำเนินชีวิตผิดพลาดได้

เพราะว่าลงมาแล้วมันลืม กิเลสมันบดบังให้มันลืม เพราะความลืมแล้วถ้าไม่เจอกัลยาณมิตรอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตก็อันตราย และการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ใช่ว่าเกิดง่าย กัปหนึ่งบังเกิดได้ไม่เกินห้าพระองค์ เพราะฉะนั้นเราอย่างลงมาดีกว่า

ซึ่งก็มีวิธีเดียวคือ ต้องละกิเลสให้มันมากกว่านี้ จนกระทั่งเข้าไปสู่ในระดับของพระอนาคามี เราก็จะได้จุติจากภพของสวรรค์ กามภพ ไปอยู่บนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ที่มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่มีคู่ ประพฤติพรหมจรรย์อย่างเดียว แล้วก็ไปปรินิพพานบนนั้น ไม่ลงมาในเมืองมนุษย์อีกเลย อยู่บนนั้นอย่างเดียว มีความสุข อยู่ในโลกุตตรฌาณสมาบัติของพระอนาคามี เหลืออีกชั้นเดียวเท่านั้นก็จะเป็นพระอรหันต์แล้ว นั่นคือเธอ

ทีนี่เรามาดูนางอุตราบ้าง ถ้าไม่กล่าวถึงนางอุตราแล้วล่ะก็ เรื่องนี้จะเรียกว่าจบยังไม่บริบูรณ์ เรามาติดตามดูเธอนิดหน่อย

ในวันที่พระพุทธเจ้าเทศนาโดยปรารภเหตุนางสิริมา...

...แต่เดิมเธอได้เป็นพระโสดาบัน วันนั้นนางได้ส่งใจไปกับกระแสของพระธรรมเทศนา จนสามารถบรรลุธรรมเป็นพระสกิทาคามีได้ เลื่อนไปอีกระดับนึง (เข้าถึงธรรมกายหน้าตักสิบวา สูงสิบวา กิเลสตระกูลราคะ โทสะ โมหะ จางลงไปอีกเยอะเลยทีเดียว)

เมื่อสิ้นอายุขัยก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพธิดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

สิริมาไปนิมมานรดีตอนเป็นพระโสดาบัน แต่เธอเป็นพระสกิทาคามีไปชั้นดาวดึงส์ มันน่าศึกษาตรงนี้

(แต่อย่าลืมพระเจ้าพิมพิสารก็เป็นโสดาบัน แต่สมัครใจอยู่ชั้นจตุมหาราชิกา ชอบเป็นยักษ์ หล่อแบบ dark tall & handsome ไม่มีเขี้ยว หล่อทีเดียว ยักษ์หล่อ ตรงนั้น ผิวพรรณดี มันก็เป็นเรื่องแปลกนะ พระเจ้าพิมพิสารก็เป็นพระโสดาบัน แต่สมัครใจไปอยู่ชั้นจตุฯ เพราะเคยอยู่ชั้นนี้มาสิบสองชาติใกล้ๆ มันคุ้น คุ้นกับความเป็นยักษ์)

ทีนี้ คำถามก็อยู่ในใจของเราทุกคนว่า ทำไม นางอุตราบรรลุเป็นพระสกิทาคามี ทั้งยังเป็นกัลยาณมิตรให้แก่นางสิริมาจนบรรลุโสดาบัน ถ้านางสิริมาไม่ได้เธอล่ะก็ ไม่มีทางจะได้ไปฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเมื่อเธอเป็นพระสกทาคามีแล้วแถมเป็นกัลยาณมิตรให้นางสิริมา แล้วทำไมจึงมาอยู่แค่ชั้นดาวดึงส์

คำตอบก็คือ
.
.
.
นางอุตรานั้นเป็นหญิงที่เกิดในตระกูลที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เธอมีความคุ้นเคยกับพระสงฆ์องค์เณร พระเถระ พระมหาเถระเป็นจำนวนมากในวัดพระเชตวัน คุ้นเคย รู้จักหลวงพี่องค์นั้นองค์นี้ และก็รู้ว่าองค์นั้นเป็นเลิศทางไหน เป็นเอตทัคคะทางไหน มีคุณวิเศษทางไหน องค์นั้นเทศน์เก่ง องค์นี้มีฤทธิ์มีเดช องค์นี้แสดงธรรมโดยพิสดารได้ องค์นี้พิสดารแล้วเอามาย่อได้ อะไรต่างๆ อย่างนี้

ดังนั้นเวลาเธอนิมนต์พระมาถวายภัตตาหารที่บ้าน เธอจึงเลือกเฉพาะเจาะจง เช่น นิมนต์องค์นั้น องค์นี้ เป็นประจำ

การกระทำแบบนี้เรียกว่า ปาฏิปุคคลิกทาน ทำทานแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีอานิสงส์มาก ทำให้มีทิพยสมบัติมากมายบนชั้นดาวดึงส์ พอกระทำถูกเนื้อนาบุญ แต่เฉพาะเจาะจงเลือกเอา

แต่ก็เทียบไม่ได้กับนางสิริมาที่ถวายแบบสังฆทาน

สังฆทาน คือ ไม่เฉพาะเจาะจง เหมือนเราทำกฐิน ไม่เฉพาะเจาะจงแก่ภิกษุรูปใด จีวรนี้เหมือนเลื่อนลอยมาจากนภากาศ ตกอยู่ในท่ามกลางสงฆ์ ไม่เฉพาะเจาะจงแก่ภิกษุรูปใด อันนี้น่ะเป็นสังฆทาน

ชีวิตของนางสิริมานั้น เริ่มมาจากไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก่อน ต่อมาภายหลังค่อยได้กัลยาณมิตร คือ นางอุตรา จึงได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ได้บรรลุธรรมโสดาบัน

เธอก็ได้เกิดกุศลศรัทธา เธอก็ทำทาน ได้ถวาย อัฐกภัต คือ อาหารแปดที่ เป็นประจำทุกวัน ไม่เคยขาด คือให้นิมนต์พระมาแปดรูป ไม่เฉพาะเจาะจงแก่ภิกษุรูปใด วันละแปดรูป ใจเธอขยาย หัวใจขยายกว้าง

ในการนิมนต์พระ พระเถระท่านก็จะจัดกันเองมาตามลำดับพรรษา เช่น วันนี้วันจันทร์ ถึงพรรษานั้น พรรษานี้ ชื่อนั้นชื่อนี้ เอ้า เรียงกันไป วันอังคาร ไปบ้านนางสิริมาแปดรูป ถึงองค์นี้ ต่อๆ กันไป ทั่วถึงกันหมด โดยนิมนต์จากพระพรรษามาจนถึงพระพรรษาน้อย เรียงตามลำดับเลย เรียงกันไป

นางจึงมีโอกาสถวายทานแก่หมู่สงฆ์ทุกรูป โดยมิได้เลือกบุคคลใดเป็นพิเศษ โดยได้ตกแต่งวัตถุทานของนางอย่างปราณีต งดงาม และก็มีปริมาณมากถึงสามสี่เท่าตัว ของพระภิกษุที่นิมนต์มา แต่ว่าหนึ่งบาตรนั้นสามารถฉันได้ถึงสามถึงสี่รูป เสมอตลอดมาเลย ดังนั้นทานของเธอจึงได้ชื่อว่าเป็นสังฆทานอันปราณีต ไม่เฉพาะเจาะจงแก่ภิกษุรูปใด เหมือนเรามาถวายที่หอฉันคุณยายอาจารย์ของเราฯ ไม่เฉพาะเจาะจง หมดเลย มีเท่าไหร่ก็หมดเลย นี่ ของเธอวันละแปดรูป

ประกอบกับหลังจากที่นางบรรลุโสดาบันแล้ว นางก็ตัดขาดจากเรื่องกาม เลิกอาชีพโสเภณีอย่างเด็ดขาดเลย ไม่เอา ไม่ว่าจะมีหนุ่มๆ มาออดอ้อนแค่ไหน (จะ please แค่ไหนก็ no) แล้วเธอก็ตั้งใจรักษาศีล เจริญภาวนาแต่เพียงอย่างเดียว

แต่นางอุตรานั้นยังครองเรือนอยู่ร่วมกับสามีตามปกติ ดังนั้นเมื่อนางอุตราละสังขารแล้วจึงไปบังเกิดที่ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมีเบญจกามคุณมากกว่า

ส่วนนางสิริมานั้นไปอยู่ชั้นนิมมานรดี ถึงแม้จะยังมีการเสพกามอยู่ แต่เพียงลูบไล้สัมผัสกายเท่านั้นเอง only touch ไม่มีอะไรเกินไปกว่านั้น แค่แตะๆ พอเกิดปิ๊งขึ้นมาก็เสร็จสมอารมณ์หมาย ถึงจุดที่พึงพอใจสูงสุด แล้วก็แยกจากกัน อย่างนั้นน่ะ คือถึงวิสัญญี คือหลับเลย ยาวไปเลย ถ้าเทียบกับเมืองมนุษย์ นานหลายเดือน นั่นน่ะ คือปราณีตขึ้นไปเรื่อยๆ

เรื่องสวรรค์นี้มีในพระพุทธศาสนาอย่างภาคพิสดารทีเดียว โอ้โห หกชั้นนี่ เราจะเจาะตรงไหนก็ได้ แต่ว่าเราหาภาคพิสดารของสวรรค์จากที่อื่นไม่ได้นะ

บุคคลเช่นนางสิริมาจึงเป็นต้นแบบอันดี สำหรับบุคคลที่เคยดำเนินชีวิตผิดพลาดมาก่อน ที่เรียกว่าต้นคดปลายตรง อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด แล้วก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นสิริใหม่ ที่มีชีวิตงดงามอยู่ในเส้นทางธรรม และก็สั่งสมบุญกุศลอย่างถูกหลักวิชชา ต้นคดปลายตรง

จากเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทุกๆ ชีวิตสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ในทุกๆ ระดับ คนตาบอดสามารถเข้าถึงธรรมได้ คนครึ่งตัวก็สามารถเข้าถึงธรรมได้ หญิงโสเภณี อดีตที่ผิดพลาด ก็สามารถเข้าถึงธรรมได้ จะต่างศาสนิกหรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต จนมาถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวให้มันสูงขึ้น ปราณีตขึ้น แต่ว่าต้องกระทำด้วยตัวของตัวเองเท่านั้น ใครจะมาทำแทนกันไม่ได้หรอก จะบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ ต้องตัวเราเอง ใครจะมาทำให้เราบริสุทธิ์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้มีความตั้งใจดี และทำอย่างสุดกำลังก็จะประสบความสำเร็จในที่สุด เหมือนอย่างนางสิริมาแหละจ้า

ก็จบเรื่องนางสิริมา หญิงโสเภณีผู้บรรลุโสดาบันไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งอรรถกถาจารย์และอรรถกโถจารย์ไปเรียบร้อยแล้ว

oooooooooooooooooooooooooo

ก็จบกันไปเรียบร้อยแล้วนะคะ สำหรับสิริมา ในตอนนี้เราคงได้ความกระจ่างมากขึ้นระหว่างการถวายทานแด่พระภิกษุโดยเฉพาะเจาะจง กับ แบบการถวายทานแบบสังฆทาน

(การถวายสังฆทาน ที่เราได้ยินได้ฟัง และกระทำมากันโดยบ่อยๆ ที่ไปซื้อสังฆทานที่ร้าน ถังเหลืองๆ แล้วไปถวายพระที่วัด แบบนั้นเขาเรียกกันมาผิดๆ นะ จริงๆ ถังเหลืองๆ ที่เราจะไปถวาย ต้องเรียกว่า ไทยธรรม ส่วนการถวายสังฆทาน ก็เป็นการถวายทานแด่พระภิกษุเป็นหมู่แบบไม่เฉพาะเจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง)

เป็นอย่างไรกันบ้างกับเนื้อเรื่องด้านบน ความแตกต่างระหว่างผลบุญของนางอุตรากับนางสิริมา คงทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น

ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#6 ดอกอุบล

ดอกอุบล
  • Members
  • 926 โพสต์

โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 06:43 PM

ในวิดีโอก็มีครับดูแล้ว ก็สาธุ สาธุ สาธุ

#7 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 08:07 PM

สาธุ อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

คุณ Boontomak เล่าสาธยายได้ดีมาก ย่อยละเอียดเป็นธรรมทานที่สอนได้ทุกเพศทุกวัย ทุกสถานะทางสังคม

เจ๋งจริง ๆ ถ้าจะให้ดียิ่ง ๆขึ้นไปอีกมี CD ของวัดเราทำไว้ดีมากด้วย ได้ชมภาพสวยสดงดงาม

ถ้ามีเรื่องอื่น ๆ นำมาเล่าและย่อยรายละเอียดอย่างนี้อีกนะคะ



#8 @--แสงตะวัน--@

@--แสงตะวัน--@
  • Members
  • 723 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Thailand

โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 08:46 PM

สุดยอดมากๆ เลยครับ เนี่ยอุตสาห์ตามไปดูใน youtube เกือบทุกตอนเลยครับ.. ปลงมากๆๆๆๆ :-)
ขอบคุณที่ตั้งกระทู้นะครับ :-)
"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"

#9 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 10:15 PM

...เท่าที่ทราบถ้าจำไม่ผิด เทพนารีสิริมาก็อยู่ชั้นนิมมานนรดีนะครับ แล้วก็เบื่อการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว และเธอก็ทิ้งทุกอย่างแล้ว และไม่อยากต้องมาเกิดเป็นหญิงอีก ก็คิดจะไม่ต้องเกิดอีก ขณะนี้ก็นั่งสมาธิอย่างจริงจังเพื่อหวังจุติสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และตั้งใจจะนิพพานที่ชั้นอรูปพรหม ซึ่งอรรตกโถจารย์กล่าวว่ากำลังบุญเธอน่าจะถึงด้วยแหละ หุหุ เพราะรูปกายเธฮงดงามขนาดนี้เพราะได้ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ กับใครน้อ? ท่านใดสนใจก็หาวีดีโอดูให้ชัดๆได้เลยจ้า
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#10 บ่าวอุบล

บ่าวอุบล
  • Members
  • 632 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 01:22 PM

อนุโมทนาบุญกับธรรมทานครับ

#11 จีวร

จีวร
  • Members
  • 149 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 10:18 PM

ดีจังๆๆ ชอบอ่านครับ เอามาลงอีกเยอะๆ นะครับ สาธุๆๆๆ

#12 รักธรรมะ มากมาย

รักธรรมะ มากมาย
  • Members
  • 65 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 11:25 PM

สาธุ ค่ะ ชอบ

เอา มา อีก นะ ค่ะ
สิ่งที่ต้องสั่งสม คือ บุญกุศล
สิ่งที่ต้องแสวงหา คือ พระรัตนตรัยภายใน
เป้าหมายชีวิต คือ ที่สุดแห่งธรรม

#13 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 08:01 PM

สาธุๆๆๆ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#14 Tree

Tree
  • Members
  • 2076 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 06:28 AM

สาธุ ในธรรมทานนี้ด้วยครับผม

#15 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 21 November 2010 - 08:53 PM

สาธุ มีดีมากมาย ทันสมัย ใหม่เสมอจ้า

#16 Vj-Mac

Vj-Mac
  • Members
  • 123 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 June 2011 - 04:39 AM

อนุโมทนาบุญครับ ได้ทบทวบธรรมะดีจัง

หยุดให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้ ง่ายนิดเดียว เดี๋ยวก็ได้

ทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง นิ่งอย่างเดียว เดี๋ยวก็ได้ ง่ายนิดเดียว

ajvj