
สภาพและสถานะของคนที่จะเข้าวัด
#1
โพสต์เมื่อ 08 August 2007 - 11:47 PM
คนทุกคนเกิดมาย่อมมีสภาพเป็นไปตามกรรมของตน สภาพภายนอกแตกต่างกันแน่นอน แต่ภายในเหมือนกันไม่แตกต่างกัน
ไม่เคยได้ยินหรือที่พระพุทธเจ้าเคยบอก
การกำหนดถึงความใหม่ในเสื้อผ้า แบบเสื้อผ้าที่จะสวมนั้น อ่านดูแล้วรู้สึก....
นี่เคยไปวัดนะ ไปเห็นมาแล้ว มีทั้งคนรวย คนจน คนจนที่สุด
ดีนะที่ไม่เคยร่วมบุญสร้างวิหารนั่น หากได้ร่วมแม้แต่บาทเดียวแล้วเจอข้อความนั้น คงเสียใจมาก
วัดในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
จากวัดที่ไม่มีอะไร มีได้มากขนาดนี้ ถือว่าดีมาก
แต่วัดเริ่มมีกฎระเบียบหยุมหยิม เริ่มมีมาตรฐาน
แค่ขอชุดขาวก็น่าจะพอแล้ว
วัดเริ่มจะเป็นของกลุ่ม ๆ หนึ่ง ไม่ใช่ของคนทั้งประเทศหรือ
หลวงปู่สด คุณยายอาจารย์จันทร์ หลวงพ่อ เป็นของคนทั้งโลกนะ
อย่าหลงไปเปลือกนอก ไม่งั้นก็ต่างอะไร กับพวกที่กินเจ แต่งชุดขาว ในภาคใต้
ตัวอย่างการนั่งสมาธิ หลวงพ่อบอกว่านั่งแบบไหนก็ได้ สุดท้ายก็จะได้ธรรมกายทั้งนั้น เพราะหลวงพ่อไม่อยากให้แบบการนั่งของวัดเป็นอุปสรรคในการเจริญสมาธิ อะไรก็ได้ขอให้เป็นการนั่งสมาธิ
ขอยกตัวอย่างของตัวเอง
เมื่อก่อนจะนั่งแบบกำหนดลมหายใจ แต่เมื่อมานั่งกับกลุ่มของวัดนั่งไปพร้อมกับเสียงนำของหลวงพ่อ นั่งไปนั่งมา สุดท้ายก็ลืมการนั่งแบบการกำหนดลมหายใจ แต่กลับทำตามการนำของหลวงพ่อ เปลี่ยนมาเป็นการนั่งตามการนำของหลวงพ่อ โดยไม่รู้ตัว
ให้นึกถึงคนที่มีบุญเก่ามาน้อยบ้าง ที่เขาอยากสร้างบารมี
กลับไปอ่านประวัติของคุณยายอาจารย์อีกรอบก็ดีนะ
#2
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 01:23 AM
ผมไม่ทราว่าคุณเข้าวัดมานานแคไหนแต่ขออนุญาตชี้แจงสิ่งที่คุณโพสข้างต้นนี้นะครับ
การสวมชุดขาวๆมาวัดนั้นเป็นการแสดงออกถึงการเคารพต่อพระรัตนตรัยอย่างสูงสุดดังที่ในกระทู้ที่คุณได้เปิดอ่านได้แสดงไว้นะครับ รวมทั้งตอนนี้วัดเราได้ถ่ายทอดงานบุญต่างๆที่ทางวัดได้จัดขึ้นทางจานดาวธรรม ไปทุกมุมทวีปทั่วโลก ชาวไทยเองและชาวต่างชาติไม่น้อยที่ต่างเกิดศรัทธาจากการแต่งกายด้วยชุดสีขาวๆอย่างพร้อมเพรียงและยากที่จะเกิดขึ้นนี้ หันมาศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ จนสามารถเข้าถึงความสุขภายในที่เป็นที่พึ่งอันสูงสุดแก่ตนเอง และเผยแพร่บอกต่ออีกมากมายทำให้ศาสนาของเรารุ่งเรืองเช่นทุกวันนี้
วัดของเราเน้นสอนเรื่องการปฏิบัติสมาธิภาวนา โดยพยายามสร้างวัดให้เป็นสัปปายะ เป็นที่ที่พร้อมต่อการเข้าถึงธรรมโดยการมีวัดอยู่ใจกลาเมืองโดยไม่ต้องเข้าป่าเพื่อปลีกหาความวิเวก แต่เราพยายามสร้างบรรยากาศแทน การแต่งชุดขาวมาวัดก็เป็นการสร้างบรรยากาศต่อการเข้าถึงธรรมได้อย่างดีไม่ใช่เหรอครับ หรือคุณคิดว่าการใส่ชุดมาวัดหลากหลายลวดลายและสีสันมาวัดจะก่อให้เกิดภาพความพร้อมเพรียงของชาวพุทธ
ชาวพุทธเราต้องแสดงถึงความเข้มแข็งและเป็นหนึ่งเดียวกัน การจะมีชุดขาวๆและแต่งมาวัดในงานบุญสักชุดไม่ใช่เป็นเรื่งที่ยากอะไรมากมายแลยนะครับ เราลองคิดกันอย่างง่ายๆว่าเพียงแค่เราไปงานศพ เราก็พยายามแต่งชุดสีขาว หรือสีดำไปเพื่อเป็นการเคารพศพ นี่แค่งานศพนะครับ แล้วงานบญละครับเราจะมีชุดสีขาวๆสักชุดไว้เพื่อการสร้างบามีนั้นผมว่ามันคุ้มสุดคุ้มนะครับ
เพราะเวลาเราเห็นชุดสีขาวๆเอาไว้ที่บ้านใจเราก็ใสสว่างได้ เพราะชุดนั้นคืออาภรณ์ของการสร้างบามี คือชุดที่นำพาเราสู่หนทางแห่งพระนิพพาน น่าปลื้มม้ยละครับ
การมีชุดที่ขาวๆ ไม่รัดรูป หรือมีรูปแบบเหมาะสมเป็นสิ่งที่ชาวพุทธพึงมีพึงปฏิบัตินะครับ
วิหารที่สร้างนั้นเพื่อการบูชาธรรมและประกาศคุณงามความดีของท่านนะครับ การจะได้มีส่วแห่งบุญนี้เป็นเรื่องยากที่สุดเพราะต้องอาศัยสิ่งต่างๆมากมาย บัดนี้วิหารหลวงปู่ และวิหารของคุณยายได้เสร็จลงเรียบร้อย สง่างามแล้ว อานิสงส์ก็เป็นของท่านผู้ที่มีส่วนในการสร้างมหาวิหารนี้ คุณไม่มีศรัทธาก็ไม่เป็นไร เพราะบุญไม่มีขายอยากได้ก็ต้องทำเอง กรุณาอย่าพิมพ์ข้อความอันกระเทือนต่อศรัทธาที่มีต่อมหาปูชนียาจารย์ทั้งสองเลย เพราะอาจเป็นวิบากที่อาจจะยากที่จะหนีเงื้อมมือของผลกรรมนั้นได้
คุณกำลังทำลายศรัทธาของพวกเขานะครับ เป็นสิ่งที่ชาวพุทธที่ดีไม่ควรกระทำเป็อย่างยิ่ง เราควรยังศรัธาที่ถูกต้องแก่ขา มากกว่าทำลายศรัทธาของเขา
หลวงปู่สด คุณยายอาจารย์จันทร์ หลวงพ่อ เป็นของคนทั้งโลกนะ
วัดจะไม่เป็นของใครทั้งสิ้น เพราะวัดเป็นของศาสนาอย่างเดียวชาวพุทธมีหน้าที่รักษาสมบัติของพระศาสนาและใช้ประโยชน์จากวัดอย่างรู้คุณค่าเพื่อการพัฒนาตนเองเพื่อการไปสู่ที่สุดแห่งธรรมและก้าวล่วงสังสารวัฏนี้ครับ
เราพยามช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยการเป็นกัลยาณมิตรที่ดีแก่ชาวโลก แต่ทุกท่านก็ต้องพยายามดูแลตัวเองและยอมรับกฏเกณฑ์ที่จะทำให้ศาสนาของเราเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาแก่ชาวโลกด้วยนะครับ เพื่อความรุ่งเรืองในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กระผมอาจชี้แจงไม่ดีเท่าที่ควรนะครับเพราะไม่เก่งเรื่องการชี้แจง
หากเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกระทู้ที่ตอบนี้ก่อต้องขออโหสิด้วยนะครับ
เพื่อความเจริญรุ่งเรือของธรมะอันบริสุทธิ์ของพระบรมศาสดาของเรา
หากผ่านมาอ่านกระทู้ที่ท่านตั้งไว้อีกครั้งก็พยายามรักษาใจกลางๆใสๆนะครับ
หมู่คณะของเราต่างเป็นวงบุญพระโพธิสัตว์ที่ทำหน้าที่ปราบมารประหารกิเลสและนำหมู่สัตว์ไปสุ่ที่สุดแห่งธรม เมื่อเรามาเป็นหมู่คณะเพราะฉะนั้น ว่าอย่างรก็ต้องว่าตามกันนะครับ
วอนผู้รู้ที่ผ่านมาช่วยแก้ไขเพิ่มด้วยนะครับ จากผู้พยายามเป็นทนายแก่พระศาสนา
#3
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 06:28 AM


#4
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 06:58 AM
#5
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 07:45 AM
วัดมีคนมาเป็นจำนวนมากนะคะ การจะรักษาศรัทธาชาวพุทธก็ต้องมีกฏระเบียบนะคะ
การแต่งชุดขาวเพื่อแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัยหรือหลวงปู่ก็ดีนี่คะ เราก็ได้บุญที่แสดงความเคารพด้วย คุณ usr17412 คงหมายถึงว่าทำไมต้องกลายเป็นชุดอุบาสก อุบาสิกา แบบนี้แค่ตัวอย่าง เพราะสาธุชนที่มาวัดก็ยังเป็นผู้ฝึกตน ถ้าไม่ร่างระเบียบ เราก็จะเห็น ชุดบาง ชุดเอวลอย ดูไม่เหมาะสม เป็นที่ขัดตาแก่สาธุชนท่านอื่นๆมาก(รวมถึงสาธุชนอายุกลางๆอย่างดิฉันด้วย)
สวมก็สวมชุดขาวมาวัดก็ดีอีก เพราะดูดีมีพลังชาวพุทธดีออก
เรื่องการสร้างวิหาร ดิฉันกลับคิดว่า เสียด๊าย เสียดาย ที่มีช้าไป และทำน้อยไป ตอนนี้วิหารเสร็จแล้ว ก็ไม่มีการสร้างใหม่แล้ว อาจเหลือแต่บุญบำรุงรักษาแล้ว พูดตามตรงด้วยความเขินว่าดิฉันยังไม่เคยเข้าไปหลังจากเปิดให้เข้าสักการะหลวงปู่ได้เลย แต่เวลาผ่านวิหารที่ไร เห็นแค่ต้นไม้ ยังปลื้มเลย
และยิ่งเราคิดว่า เรามีบุญน้อย อุปสรรคในชีวิตมาก ก็ยิ่งต้องเร่งสร้างบุญบารมี ให้อุปสรรคลดลงค่ะ อย่าให้ความคิดน้อยเนื้อต่ำใจของเรา เอาชนะเราได้นะคะ คนที่มาวัดมีหลากฐานะจริงค่ะ และไม่ควรเอามาตรฐานของผู้ที่ทำทานเก่ามามากๆๆๆๆเป็นมาตรฐานของทุกคน ดูเจ้าหญิงปลาทูเป็นตัวอย่างค่ะ
#6
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 08:17 AM
#7
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 09:05 AM
ตัวดิฉันเองอยู่ต่างจังหวัด เมื่อมีโอกาสมาทำ ธุระการงานที่กรุงเทพ ฯ และตรงกับเวลามหาวิหารหลวงปู่เปิดก็จะหาโอกาส
เข้ากราบนมัสการท่านโดยสวมกางเกง และ เสื้อ สีขาว แบบปกติทั่วไป ก็สามารถเข้าได้ มิได้ถูกห้ามแต่อย่างไร
บางครั้งก็นำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหากงานที่เราจะติดต่อ หรือ ไปธุระมาก่อนต้องใส่ขุดที่มีสีสันอื่น ๆ
สถานที่หลายแห่งมีการกำหนดการแต่งกายไว้ เช่น ที่วัดพระแก้ว ไม่อนุญาติผู้ที่สวมกางเกงขาสั้นเข้า
รวมทั้งสถานบันเทิง ร้านอาหาร ระดับสูงก็ยังมีกฎระเบีบบ เช่น ห้ามสวมรองเท้าแตะ ต้องใส่รองเท้ามีส้นเท่านั้น ต้องแต่งตัวให้หรูหราเหมาะสมกับงาน เป็นต้น
#8
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 09:20 AM


#9
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 09:30 AM
พี่ก็มาทบทวนภาพทั้งหมดในใจ ภาพการสร้างบารมีก็ผุดๆ ขึ้นมา พี่ก็เลยเข้าใจ เวลาพี่เห็นภาพงานบุญชุดที่ใส่นี่มีผลนะมันเป็นหนึ่งดี มีพลังมาก เราก็จำได้ว่าบุญอะไร พอเราจำได้ภาพในตัวก็ยิ่งชัดใสสว่างขึ้นไปอีก บุญในตัวก็ทับทวีไปอีก
ทีนี้ พี่ก็มาคิดต่อไปอีกว่า แล้วทำไมต้องขาวๆ คนที่มีขาวขุ่นทำไง ภาพชุดขาวในงานอันเชิญหลวงปู่ 7ก.ย.49 ก็ผุดขึ้นมา คนเยอะมาก รู้สึกว่ามีพลังมาก แต่สีชุดสิ พี่รู้สึกว่าใจมันสะดุด ภาพมันสะดุดอยู่ตรงความไม่สม่ำเสมอของสีชุด แทนที่เวลาเรานึกถึงบุญใหญ่ขนาดนั้น จะรู้สึก smooth ปลื้มอย่างต่อเนื่อง เราเองที่รู้สึกสะดุด พี่เลยเข้าใจว่า ทำไมต้องขาวเหมือนกัน พี่เลยเข้าใจความสัมพันธ์ของหยาบและละเอียดมากขึ้น
และยิ่งเราถ่ายทอดภาพงานบุญต่างๆไปทั่วโลกผ่านdmc พลังแห่งความเป็นหนึ่งของความพร้อมเพรียงของ
พุทธศาสนิกชน และความละเอียดภายในใจของผู้คนที่มองผ่านdmc จะยิ่งเพิ่มขึ้นในใจเขาโดยเขาและเราไม่รู้ตัวเลย พอพี่เข้าใจพี่ก็เลย อ่ะ! ว่าไงก็ว่าตามกัน แค่ใส่ชุดขาวๆ บุญก็เพิ้มขึ้นขนาดนี้ ชุดขาวอื่น กับจักรแก้ว ไว้ใส่วันธรรมดา หรือ อาทิตย์ธรรมดา หรือ ใส่อยู่บ้านก็ได้หววววววะ
อย่างนี้ไงจ๊ะ อย่าเพิ่งตัดพ้อนะจ๊ะ น้องเป็นคนน่ารักนะ อย่างน้อยก็ยังนึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงวันที่นั่งสมาธิกับหลวงพ่อ
นึกถึงคำสอนของคุณยาย อย่างนี้ดีมาก มันจะทำให้เราไม่หลุดจากหมู่คณะ เพราะเรื่องต่าง ๆที่มากระทบใจ
#10
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 09:43 AM
คุณเจ้าของกระทู้อย่าลืมนึกถึงเด็กวัยรุ่นสมัยนี้นะครับและไม่ใช่แค่เด็กวัยรุ่นเท่านั้น แค่ชุดขาวน่าจะพอแล้ว ถ้ากำหนดแค่นี้แล้วเขาใส่สายเดียวเกาะอกสีขาวไปล่ะ คุณเจ้าของกระทู้คิดว่าสมควรหรือไม่ใส่แบบนี้เข้าวัด อ้าว ก็ชุดขาวล้วนอย่างที่คุณเจ้าของกระทู้บอกไง ผมเคยเห็นนะครับ ตอนที่ผมไปยืนเข้าแถวถวายปัจจัยหลวงพ่อ มีหลายคนแต่งชุดขาวล้วนก็น่าจะพอแล้วอย่างที่คุณเจ้าของกระทู้บอก แต่เป็นเสื้อกางเกงรัดรูปเอวเกือบลอย หน้าตาสวยเสียด้วย อีกคนเป็นผู้ใหญ่หน่อย ชุดขาวทั้งชุดเหมือนกัน แต่เป็นเสื้อลายดอกห่างๆซึ่งมองเห็นได้ถึงข้างใน และเท่าที่ผมเห็นทุกวันนี้ก็ยังมีใส่กันอยู่ คุณเจ้าของกระทู้คิดว่าชุดขาวอย่างเดียวก็น่าจะพอ ถ้าเป็นแบบนี้จะสมควรไหมล่ะครับ
ที่สำคัญ การใส่ชุดขาวนั้น ไม่ได้แสดงถึงความพร้อมเพียงแค่อย่างเดียวนะครับ หากคุณเจ้าของกระทู้ได้ฟังหลวงพ่อตอบปัญหา จะได้รู้และเข้าใจว่าทำไมทางวัดถึงอยากให้ใส่ชุดขาวมาวัด เป็นกุศโลบายในการฝึกใจอย่างหนึ่งด้วยครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#11
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 09:52 AM

#12
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 10:59 AM
คนที่สวมชุดขาวแต่*ข้างในขุ่น*ทำคนที่พึ่งมาหมดศรัทธา ถ้าเค้ามาวัดครั้งแรกแล้ว
ถูกแบ่งแยกก็ยากที่เขาจะเข้าใจความปราถณาดีของหมู่คณะที่จะสืบอายุพระศาสนา
อย่าแบ่งแยกอย่ารังเกียจคนเขาชุดไม่ขาว(เขาอาจไม่มีตังซียาซักผ้าขาวหรือสบู่กรด)
เพียงแต่ว่าคนเขามาไกลมาครั้งแรกอาจไม่รู้ แต่คนที่รู้แล้วก็ทำไปซิ ทำเป็นตัวอย่าง
ทำให้เขาประทับใจ เขาจะได้ทำตามท่าน ไม่ใช้ตัวเองทำได้แล้วไปเปรียบเทียบ
วัยรุ่นอีก มีทั้งมีสมองดูกาละ มีทั้งไม่มีคนอบรมถ้าเขาผิดก็อภัยและให้คำแนะนำซิ
ไม่ใช้บอกว่าไม่ต้องมาถ้าจะใส่สายเดียว(ตอนผมมาวัดครั้งแรกผมก็ใส่เสื้อสีอืื่นกางเกงยีนส์)
บุคคลากรภายในต่างหากที่ต้องปรับปรุง สมัยผมมาแรกๆวัดยังไม่ใหญ่ขนาดนี้ คนในเรียบร้อย
คนนอกก็ประทับใจ ไม่ใช่เอาใจกันจนเป็นการแบ่งแยกชนชั้น
#13
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 11:45 AM

ขอมองอีกมุมเพื่อให้เข้าใจ การแต่งกายชุดขาว ได้มากขึ้นน่ะครับ
ก่อนอื่นขอบอกว่า สิ่งที่เจ้าของกระทู้กล่าวมานั้น ผมก็เห็นด้วยครับ
ในเรื่อง
สภาพภายนอกแตกต่างกันแน่นอน แต่ภายในเหมือนกันไม่แตกต่างกัน
2 ) ไม่เคยได้ยินหรือที่พระพุทธเจ้าเคยกำหนดถึงความใหม่ในเสื้อผ้า แบบเสื้อผ้าที่จะสวม
เพราะเรื่องความเลื่อมใส ศรัทธา การเป็นคนดี หรือคนชั่ว ใจสะอาด หรือเศร้าหมอง
รวมถึงการเป็นผู้ทรงศีล ทรงธรรม ไม่ได้อยู่ที่รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ รวมถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
เรื่องนี้ผมมองว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นเรื่องสากลครับ
ทั้งนี้เพราะสาธุชนมากขึ้น และต่างก็ยังมีกิเลสกันมากบ้างน้อยบ้าง มีอัธยาศัยที่ติดมาจากบ้านต่าง ๆ กัน
เมื่อมาอยู่รวมกัน ใช้สถานที่ร่วมกันก็ต้องมีกฎ มีระเบียบบ้างครับ
เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่ง จากความไม่ได้ดั่งใจของมนุษย์แต่ละคน
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะถูกใจทุกคนหรอกนะครับ
แต่โดยส่วนรวมเป็นเรื่องที่ดี เหมาะสม สากลยอมรับกันได้ครับ
ยกตัวอย่างเรื่อง การเข้าแถว
ที่ไหนในโลกมีคนเยอะมาใช้สถานที่รวมกัน ก็ต้องมีระเบียบในการเข้าแถวทั้งนั้น
เช่น ในโรงเรียน ค่ายทหาร สถานีรถไฟ ร้านอาหาร ห้องน้ำ จุดจ่ายเงิน ฯล
ทีนี้ถ้ามองย้อนไปถึงสมัยพุทธกาล ไปศึกษาที่มาของวินัยของภิกษุสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์
เราจะเห็นได้ว่า ในยุคเริ่มพุทธกาล มีเพียงภิกษุสงฆ์ ที่หมดกิเลสแล้ว แก้ไขนิสัยไม่ดีหมดแล้ว
และในช่วงแรกมีจำนวนภิกษุอรหันต์ ไม่มากนัก
ดังนั้นพระบรมศาสดา จึงยังไม่จำเป็นตั้งกฎ หรือ วินัยสงฆ์ขึ้น
แต่ต่อมาเมื่อมีจำนวนภิกษุมากขึ้น มีภิกษุปุถุชน ที่ยังไม่หมดกิเลส
และยังคุ้นเคยกับอัธยาศัยสมัยเป็นฆราวาส อุปมาเหมือน ปลามันคุ้นน้ำ
แล้วนำนิสัยไม่ดีมาใช้ แล้วกระทบกระเทือนหมู่สงฆ์และศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
พระบรมศาสดาจึงจำเป็นต้อง ตั้งกฎ หรือ ทรงบัญญัติ วินัยสงฆ์ขึ้น
ในด้านภิกษุณีสงฆ์ ก็เช่นกันครับ แต่เดิมมีเพียงกฎ ระเบียบ แค่คุรุธรรม ๘ ประการเท่านั้น
แต่ต่อมา ๆ ทรงบัญญัติ วินัยของภิกษุณีสงฆ์ ถึง ๓๑๑ ข้อ
ถามว่า พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งกฎหยุมหยิมเกินไปไหม
เรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงปรารภประโยชน์ที่ทรงประสงค์ ในการทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสงฆ์สาวก ดังนี้ครับ
วัตถุประสงค์ในการบัญญัติวินัย ๑๐
(เหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงปรารภหรือประโยชน์ที่ทรงประสงค์ ในการทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสงฆ์สาวก
— reasons for laying down the course of training for monks;
purposes of monastic legislation)
ก. ว่าด้วยประโยชน์แก่สงฆ์หรือส่วนรวม
๑. สงฺฆสุฏฺฐุตาย (เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ คือ เพื่อความเรียบร้อยดีงามแห่งสงฆ์
ซึ่งได้ทรงชี้แจงให้มองเห็นคุณโทษแห่งความประพฤตินั้นๆ
ชัดเจนแล้วจึงทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นไว้โดยความเห็นร่วมกัน
— for the comfort of the excellence of the unanimous Order)
๒. สงฺฆผาสุตาย
(เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ — for the comfort of the Order)
ข. ว่าด้วยประโยชน์แก่บุคคล
๓. ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย
(เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก คือ เพื่อกำราบคนผู้ด้าน ประพฤติทราม
— for the control of shameless persons)
๔. เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย
(เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งเหล่าภิกษุผู้มีศีลดีงาม
— for the living in comfort of well-behaved monks)
ค. ว่าด้วยประโยชน์แก่ความบริสุทธิ์ หรือแก่ชีวิต ทั้งทางกายและทางใจ
๕. ทิฏฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย
(เพื่อปิดกั้นอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในปัจจุบัน คือ
เพื่อระงับปิดทางความเสื่อมเสีย ความทุกข์ ความเดือดร้อน ที่จะมีในปัจจุบัน
— for the restraint of the cankers in the present;
for the prevention of temporal decay and troubles)
ง. ว่าด้วยประโยชน์แก่ประชาชน
๗. อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย
(เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
— for the confidence of those who have not yet gained confidence)
๘. ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย
(เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
— for the increase of the confidence of the confident)
จ. ว่าด้วยประโยชน์แก่พระศาสนา
๙. สทฺธมฺมฏฺฐิติยา
(เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัทธรรม — for the lastingness of the true doctrine)
๑๐. วินยานุคฺคหาย
(เพื่ออนุเคราะห์วินัย คือ ทำให้มีบทบัญญัติสำหรับใช้เป็นหลักเกณฑ์จัดระเบียบของหมู่
สนับสนุนความมีวินัยให้หนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น
— for the support of the discipline)
Vin.III.20; A.V.70. วินย.๑/๒๐/๓๗; องฺ.ทสก.๒๔/๓๑/๗๔.
กลับมาดูวัดพระธรรมกายบ้าง หากเรามองด้วยใจที่เที่ยงธรรม
การที่วัดพระธรรมกายมีการเจริญเติบโต มีการพัฒนาในเรื่องต่าง ๆ มากมาย
การตั้งกฎ หรือ ระเบียบของวัดพระธรรมกาย
ก็ได้นำแบบอย่างมาจาก วัตถุประสงค์ในการบัญญัติวินัยของพระบรมศาสดานั่นเองครับ
จากกฎ ระเบียบ 10 ข้อ ที่คุณยายอาจารย์ตั้งไว้เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ปัจจุบันก็จำเป็นต้องมีมากขึ้น
เพราะคนเยอะขึ้น พื้นที่วัดมากขึ้น scale งานเผยแผ่พระพุทธศาสนากว้างขึ้น
ยิ่งเดี๋ยวนี้สภาพสังคมโลกเปลี่ยนเร็วมาก ผู้คนรักสบาย เอาแต่ใจตนเองมากขึ้น
เราเองก็อยู่ในโลก ก็ต้องปรับตัวบ้าง จำเป็นต้องมีกฎมากขึ้นเป็นธรรมดาสากลครับ
#14
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 12:43 PM
ก็ไม่ได้ตั้งกฎเพื่อกีดกัน ปิดกั้นใครหรอกนะครับ
แต่เป็นเรื่องของ
เป็นเรื่องของการแสดงออกอย่างหนึ่งให้ทราบว่า
ผู้เข้ามาในเขตพุทธาวาส นั้นให้ความเคารพในสถานที่และให้เกียรติเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสถานที่
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่อง ความดีสากล ที่ชนทั่วโลกเขายอมรับกันนะครับ
เช่น ถ้าจะไปนมัสการสังเวชนียสถาน ๔ จะไปโบสถ์คริสต์ หรือ มัสยิดของเพื่อนชาวมุสลิม หรือ
เข้าชมพิพิทธภัณฑ์ เข้าชมพระบรมราชวังในประเทศต่าง ๆ
เราก็ต้องทำตามกฎระเบียบของสถานที่นั้น ๆ เช่น
เรื่องการแต่งกาย ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้า ห้ามนำอาหาร เครื่องดื่มเข้า ห้ามถ่ายภาพ(ถ้ามี) เป็นต้น
ถ้าเรามองเพียงด้านเดียวว่า การตั้งกฎ ระเบียบในการไปในสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก
เป็นเรื่องกีดกัน ปิดกั้นคนมีสตางค์น้อย คนที่นับถือศาสนาไม่เหมือนเรา ฯล
ถามว่า จริงไหม
ผมขอตอบว่า ก็จริง แต่ถ้ามองภาพรวมแล้วเกิดประโยชน์มากกว่าและเป็นวัฒนธรรมสากล
ผมคิดว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วครับ ที่สถานที่สำคัญต่าง ๆ ทั่วโลกตั้งกฎระเบียบนั้นขึ้น
เพราะกฎระเบียบ ต่าง ๆ ก็เอื้อประโยชน์แก่ส่วนรวมทั้งนั้น เช่น
รักษาประเพณี วัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่น , รักษาสภาพสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ,
ถนอมวัตถุโบราณ เช่น ภาพสีผนังโบราณ ภาพวาดของศิลปินที่ตายไปแล้ว
หรือวัตถุธาตุ ต่าง ๆให้เสื่อม สลายช้าที่สุด เท่าที่ทำได้ เป็นต้น
ผมมีข้อคิดอย่างนี้ครับว่า
ในโลกนี้จะมีอะไรที่ถูกใจมนุษย์ที่ยังมีกิเลสทุกคนเล่าครับ
การสถาปนาหรือการสร้าง วัฒนธรรมที่ดีของชนชาติต่าง ๆ / ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น
ในช่วงเริ่มต้น การสร้างศาสนสถาน เทวสถาน พระราชวัง และประเพณี วัฒนธรรม ต่าง ๆ นั้น
ล้วนต้องมีการเสียสละกันทั้งนั้น ตั้งแต่ความสะดวกสบายส่วนตน ทรัพย์ ความเข้าใจที่ต่างกัน
ที่สำคัญต้องใช้ เวลา พอสมควรกว่าที่จะเห็นผลดี เห็นคุณค่า เห็นคุณประโยชน์ที่ยั่งยืน
ดูอย่าง การตั้งกฎ ระเบียบ การเลิกทาส เลิกกินหมาก สิครับ
ผมว่าคนในยุคกระโน้นก็ต่อต้าน คัดค้านกันมาก แต่พอผ่านไปสัก 10 ปี 50 ปี 100 ปี
เราก็เห็นกันอยู่ว่า เป็นเรื่องที่ดีงาม ถูกต้องทางศีลธรรม และสุขภาพ
เป็นอัจฉริยะภาพของผู้ริเริ่มสถาปนา สร้างกฎระเบียบนั้น
ผมไม่เชื่อว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อ จะตั้งกฎนี้ขึ้นมาเพื่อ กีดกัน ปิดกั้นใคร ๆ
หรือ จะตั้งกฎนี้ขึ้นมาเพื่อขายชุดขาว อย่างที่ใครพูดกัน เพราะทางวัดไม่ได้ขายชุดขาว อย่างที่ข่าวลือนั้น
ยังจำที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทัตตชีโว เคยกล่าวว่า
มีโยมน้องสาว ต่างมารดาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ธัมมชโย
อยากเข้ามาเป็นอุบาสิกาที่วัดพระธรรมกาย รักษาศีล ๘ ช่วยงานพระพุทธศาสนา
แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ธัมมชโย ท่านปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะกระทบ การปกครอง
คือ คนอื่นอาจคิดว่า ท่านนี้ เป็น น้องสาว ต่างมารดาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
หากทำอะไรผิดพลาด จะไม่มีใครกล้าตักเตือน ชี้แนะ เพราะเกรงใจพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ท่านจึงบอกให้โยมน้องสาว ขยันมาวัด ขยันปฎิบัติธรรม เอาก็แล้วกัน
นี่คือ วิสัยทัศน์ การมองไกลของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ทั้งที่สิ่งที่โยมน้องสาวต่างมารดา ขอเข้ามาเป็นอุบาสิกาในวัด ก็เป็นเรื่องบุญกุศล
แต่ท่านต้องยอมขัดใจโยมน้องสาวบ้าง เสียสละประโยชน์คนใกล้ตัว เพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ดังนั้น วัฒนธรรมการแต่งกายด้วยชุด ขาว ๆ ในดำริของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ณ. วันนี้ อาจมีเสียงคัดค้าน ด้วยความเข้าใจไปต่าง ๆนานาบ้าง แต่ต่อ ๆ ไปไม่นานนัก
คุณประโยชน์ยั่งยืนที่มีต่อส่วนรวม ต่อพระพุทธศาสนาจะเป็นที่ประจักษ์แก่มหาชนเองครับ
ท้ายนี้ ขอขอบคุณ เจ้าของกระทู้ ที่แสดงความคิดเห็นและแสดงออกถึงความห่วงใยในพระพุทธศาสนา
ในคำสอนและปฏิปทาของหลวงปู่ฯและคุณยายอาจารย์
และคณะผู้ก่อตั้ง บุกเบิกสร้างศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย มาณ. ที่นี้ด้วยครับ สาธุ
#15
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 12:54 PM
#16
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 05:59 PM
สำหรับหนูเสียใจมีกมากที่ไม่ได้ร่วมบุญตรงนี้ เสียใจอย่างแรง
#17
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 08:36 PM
หนูPungpa ก็เห็นด้วยกับทุกๆความเห็นนะคะ
หนูก็เป็นเยาวชนคนหนึ่งคะ ที่น๊าน นานจะมาวัดสักที แต่มาวัดก็มาด้วยความศรัทธา และทำตามกฎระเบียบของวัด หลวงพ่อว่าอย่างไร ก็ว่าตามกัน "หลวงพ่อว่าจะไปดุสิต จะไปที่สุดแห่งธรรม เราก็จะไปด้วยกัน" ชุดขาวใส่ไว้เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี มีครั้งหนึ่งมาวัดวันคุ้มครองโลก (ปีนี้) ขนาดหลวงพ่อย้ำว่าใส่ชุดขาว ทำหน้าที่อาสาสมัครไปดันไปเห็นคนใส่ชุดขาว แต่ไม่ขาวหมด (ในที่นี้หมายถึงเห็นเนื้อหนังข้างในด้วย เพราะบางมากๆ) เห็นแล้วสะดุด อยากให้รู้ว่านี้คือวัด หากรู้กาละเทศในการแต่งตัวก็ควรปฎิบัติให้ถูกคะ บางคนอาจเห็นเป็นแฟชั่น แต่แฟชั่นเราไว้ใสข้างนอกดีกว่าค่ะ ในวัดเรามีแฟชั่นกลางกาย กลางใจ กายใส ใจใส ค่ะ เครื่องแต่งกายก็ต้องแบบใสๆ ขาวๆ ไม่รัดรูป ไม่บาง ด้วยค่ะ (แต่ถ้าอยากให้บาง ให้เห็นถึงข้างใน ไว้เวลาหลับตาดีกว่านะคะ) อิอิ
หนูก็ไม่อยากพิมพ์อะไรมาก เพราะทุกๆความเห็นของPungpa ทุกๆท่านได้พิมพ์ไปหมดแล้วคะ
หยุดนั่นเองเป็นตัวสำเร็จ
ทั้งทางโลกและทางธรรม สำเร็จหมด
#18
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 09:51 PM
สงสัยว่าอะไรทำให้คุณ usr17412 ไม่พอใจ เพราะแค่เรื่องการใส่ชุดขาวไม่น่ามีปัญหา
ท่าทางเขาจะสะดุดใจกับประโยคนี้อะคะ

แต่คุณ usr17412 ดูจะพูดแรงไป
คิดว่าคุณ usr17412 น่าจะเป็นคนใหม่นะคะ
ก็ให้อภัยเขาด้วยละกันคะ
อนุโมทนาบุญกับทุกคนด้วยนะคะ
#19
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 10:25 PM
ถิ่นกาขาว
ชาวศิวิไล
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#20
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 10:50 PM

เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)
#21
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 11:07 PM
#22
โพสต์เมื่อ 09 August 2007 - 11:46 PM
ถิ่นกาขาว
ชาวศิวิไล
?????
#23
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 12:24 AM
any how sathu with all the other replys kah

1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ

#24
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 01:15 AM
แต่เรื่องบางอย่างควรระมัดระวังในการแสดงออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่กระทบใจคน
บางอย่าง เราอาจจะมองไม่ชัด ควรจะมองหลังจากจิตใจสงบนิ่งแล้ว ก็จะชัดขึ้นครับ
















#25
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 08:54 AM
- ในคนหมู่มาก วินัยเป็นตัวกำหนดแนวทาง ไม่ให้เกิดความสับสนอลหม่าน เพราะท่าน จขกท.ทราบแล้วไม่ใช่หรือว่า"คนทุกคนเกิดมาย่อมมีสภาพเป็นไปตามกรรมของตน สภาพภายนอกแตกต่างกันแน่นอน แต่ภายในเหมือนกันไม่แตกต่างกัน"วินัยอาจเป็นส่วนหนึ่งที่นำสภาพภายในที่เหมือนกันมาปรับสภาพภายนอกซึ่งแตกต่างกันให้ใกล้เคียงกัน อย่างน้อยก็ให้ความเป็นหนึ่งเดียวกัน
สภาพและสถานะของคนที่จะเข้าวัด ยังคงเป็น ผู้ปรารถนาการสร้างบุญบารมี
ขอขอบคุณกับข้อเสนอและมุมมองของท่าน จขกท.
ไฟล์แนบ
#26
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 11:59 AM
#27
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 01:20 PM
#28
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 04:30 PM
เราอยู่ในรุ่นบุกเบิกครับ อีกร้อยปีหรือพันปีต่อไป....คนรุ่นหลังเขาคงไม่ถามแล้วว่าทำไมต้องแต่งชุดขาวมาวัด มาเจดีย์ มาวิหารหลวงปู่ วิหารคุณยายของพวกเรา เพราะตอนนั้นทุกคนคงแต่งขาวกันหมดแบบสืบต่อกันมาโดยไม่ต้องถามหารากเหง้าของเหตุผล ....ดังนั้น รุ่นบุกเบิกต้องทำใจ ต้องอดทนกว่ารุ่นตามหลังครับ
ยกตัวอย่างมุสลิมที่ไปฮัจ ที่ซาอุ เค้าทำมาเป็นพันปี โดยทุกคนทั่วโลกนั่งเครื่องบิน ลงเรือ ขึ้นรถ เดินไป แต่งตัวชุดขาวไปตั้งแต่เดินทางแล้ว พอไปอยู่ในพิธีก็จะเห็นขาวไปหมด ถ่ายทอดภาพออกไปทั่วโลก คนในโลกเห็นเค้าจะนึกถึงศรัทธา ความพร้อมเพรียง ความศักดิ์สิทธิ์ คนบนโลกน้อยรายมากๆ ที่เห็นภาพแบบนั้นแล้วมานั่งถามว่าทำไมมุสลิมเหล่านั้นสวมชุดขาว ....เพราะมันเลยจุดนั้นมานานแสนนานแล้ว
ผมว่าเจ้าของกระทู้กลับไปอ่านประวัติคุณยายอีกรอบก็ดีนะครับ
#29
โพสต์เมื่อ 10 August 2007 - 10:56 PM
แค่เรื่องใส่ชุดขาวยังทำกันไม่ได้...
แล้วเรื่องดีดีอื่นๆอีกมากมายมีหรือจะทำได้เนี่ย..คนเรา
กฏระเบียบเพื่อการสร้างคนให้เป็นคนดี ทำดีอย่ามีข้อแม้
น่าลองทำกันดูนะ
ไฟล์แนบ
#30
โพสต์เมื่อ 11 August 2007 - 01:23 PM
ถ้าจะไปด้วยกัน ว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามกันนะคะ
หยุดนั่นเองเป็นตัวสำเร็จ
ทั้งทางโลกและทางธรรม สำเร็จหมด