
เรื่องจริง
#1
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 01:45 PM
#2
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 02:12 PM
ยังไม่หมดกิเลส
เพราะถ้าหมดกิเลสแล้ว ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ เข้าพระนิพพานไป ไม่เกิดอีก
คนเข้าวัด ใช่ว่าจะหมดกิเลส กาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์แล้ว
เราต้องให้โอกาสเขา มองเขาด้วยความเมตตา เพราะใช่ว่าเราเองก็จะหมดกิเลส
ให้นึกเสียว่า ยังดีนะที่อย่างน้อย เขาก็เข้าวัด เขายังยอมรับว่าตนเองก็ยังต้องปรับปรุงแก้ไข เขาจึงมาเข้าวัด บางคนฝึกได้ง่าย บางคนก็ฝึกตนได้ยาก บางอย่างดีชั่ว รู้หมด แต่อดไม่ได้ก็มี
ลองคิดว่า ถ้าหากเขาไม่เข้าวัด อาจจะหนักกว่านี้ก็ได้นะคะ เพราะฉะนั้น อย่าไปคาดหวังอะไร และไม่ควรใช้คำที่ทำให้อาจเกิดความเข้าใจผิด เช่น ผู้นำบุญ ทำไมเป็นอย่างนี้ คนวัดทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะอาจทำให้ภาพรวมเสียไปด้วยนะคะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#3
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 02:21 PM
#4
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 03:26 PM
แต่ในทางกลับกัน คนที่ไม่เข้าวัด ไม่ปฏิบัติ เพราะไม่รู้จักหนทางดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ซ้ำร้ายยังไม่รู้ด้วยว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่มันมีโทษมหันต์ แบบนี้สิน่าเป็นห่วง
ปล.กรุณาอย่าใช้คำว่า คนวัด หรือว่าเหมารวมทั้งองกรนะครับ เพราะคนดีๆในวัดยังมีอยู่มากทั้งพระและฆารวาส บางท่านอาจมีคุณธรรมสูงอาจเป็นถึงพระอริยะเจ้าก็มี
#5
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 06:02 PM
- เมื่อทุกคนได้พัฒนาจิตให้หยุดให้นิ่งแล้วก็จะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆนั้นให้บรรเทาเบาบางได้
- ความไม่ดีของใครก็ตามล้วนเป็นวิบากกรรมของเขาเอง ไม่ใช่ภาพสะท้อนของกลุ่มบุคคลหรือองค์กรทั้งหมดหรอกนะ
ไฟล์แนบ
#6
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 08:24 PM
#7
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 08:53 PM
Except, Prahariyaja.....
#8
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 09:40 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#9
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 11:58 PM
ที่คิดว่าใช้ชื่อคณะบุคคล เหมารวมไม่เหมาะสม
*** เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเฉพาะบางคนเท่านั้นค่ะ***
ปัจจุบันยังไม่มีข้อยุติ
ก็พาเข้าวัดกันทั้ง 3 คนเลยค่ะ ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน
#10
*usr21054*
โพสต์เมื่อ 03 December 2007 - 10:03 AM
แต่ทั้งๆที่รู้ว่าบาป แต่ก้อยังอยากทำ เพราะกิเลสมันบังคับให้ทำ
แล้วเราจาไปสนใจอารายเขาล่ะว่าเขาจาทำอย่างไร ทำอาราย ทำทำไม (ซึ่งคนๆนั้นอาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกะเราก้อได้)
เราอย่าไปยึดติดกะใครเลย ยึดติด ก้อผูกพันธ์ แล้วก้อเป็นทุกข์
สนใจตัวเองดีกว่า สนใจในหน้าที่ของเรา
การที่เราคิดว่าทำไมคนๆนั้น ถึงเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เอาเวลามคิดว่าเราจะเป็นอย่างไรดีกว่า เสียเวลาเท่ากัน แต่เรามีความสุขกว่านะครับ
#11
โพสต์เมื่อ 03 December 2007 - 10:08 AM
ถึงแม้จะเป็นผู้ที่เข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีกิเลสในตัว เพราะคนเหล่านี้ยังไม่ได้เข้าถึงซึ่งธรรมกายอรหันต์นะครับ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาเหล่านั้นจะยังมีกิเลสอยู่ในใจ
อย่างในสมัยพุทธกาล ทุกท่านคงทราบดีว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปโปรดพระญาติของท่านจนได้เป็นพระโสดาบันกันทุกคน แต่ถึงกระนั้นเหล่าบรรดาพระญาติของท่านก็ยังไม่หมดกิเลสยังมีทิฐิอยู่ในใจในเรื่องของชนชั้นวรรณะ จนเป็นเหตุให้ถูกฆ่าล้างวงศ์ ถึงขนาดถูกเอาเลือดของวงศ์มาล้างบันไดประสาทเลยทีเดียว แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จไปห้ามปรามถึง6ครั้งด้วยตัวของพระองค์เองก็ตาม จนถึงครั้งที่7พระองค์ทรงเห็นว่าไม่สามารถหยุดยั้งการฆ่าล้างตระกุลของพระองค์ได้ จึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม นี่ขนาดเป็นพระโสดาบันแล้วนะครับ
ไม่ใช่ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่เห็นไม่รู้และไม่เชื่อบุญและบาป แต่เพราะกรรมเก่าทำให้เกิดกิเลสในใจครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#12
โพสต์เมื่อ 03 December 2007 - 11:49 AM
#13
โพสต์เมื่อ 03 December 2007 - 04:20 PM
#14
โพสต์เมื่อ 07 December 2007 - 10:21 AM