ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

สอนวิธีจับผิด


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dhamma Bot

Dhamma Bot
  • Members
  • 477 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 02:57 PM

สังคมไทยเดี๋ยวนี้เป็นสังคมแห่งการจับผิด ที่ผมบอกได้เช่นนี้ก็เพราะผมเคยอาศัยอยู่ในสังคมต่างประเทศซึ่งมีบรรยากาศแตกต่างกัน คนไทยส่วนมากอาจไม่ทันสังเกตเรื่องนี้ เพราะไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำเสีย ก็อยู่จนคุ้นเคยไป แต่ถ้าเมื่อใดได้มีโอกาสไปอยู่ในสระน้ำที่ใสสะอาด ก็จะรู้ทันทีว่ามันต่างกันมากมาย

การจับผิดของสังคมไทยนั้นถูกสื่อออกมาทางสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ รายการโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต และอื่นๆ เช่นละครทีวี และสื่อเหล่านี้เองก็ถูกผลิตโดยมันสมอง และดวงใจหมองๆ ของคนที่จ้องจับผิด ผู้รับสื่อจึงเรียนรู้การจับผิดผ่านกระบวนการสื่อสารอย่างไม่รู้ตัว และเกิดติดเป็นนิสัยขึ้นมากันทั่วประเทศ

สำหรับ "วิธีจับผิด" ที่ผมเรียนมาจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศนั้น อาจารย์ฝรั่งท่านสอนมาอย่างนี้ครับ

1. นำกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น
2. ลากเส้นคั่นกลางหน้ากระดาษ
3. ข้างซ้ายเขียนว่า "ข้อดี" ข้างขวาเขียนว่า "ข้อเสีย"
4. ให้เราคิดออกมาให้ได้มากที่สุดว่าเรื่องที่เราจะวิเคราะห์นั้น มีข้อดีอะไรบ้าง ข้อเสียอะไรบ้าง ใส่มาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะคิดออก
5. หากคิดคนเดียวไม่รอบคอบพอ ให้รวมกลุ่มกันกับเพื่อนเพื่อระดมความคิด เพราะเราคนเดียวอาจมีอคติต่อหัวข้อนั้น
6. พิจารณาดูจากข้อดีข้อเสียที่ได้ในหน้ากระดาษเพื่อหาข้อสรุปต่อไป

หลายปีต่อมา ผมกลับมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ปรากฏว่าการเรียนการสอนไม่มีแนวความคิดเรื่อง ข้อดี ข้อเสีย แบบนี้ครับ ส่วนมากแล้วผู้สอนจะใช้วิธีชี้นำและฟันธงบอกนักศึกษาว่าอะไรถูก หรือผิดตามความเห็นและประสบการณ์ของตน ซึ่งแน่นอนว่า อคติมีย่อมมีอิทธิพลต่อการหาข้อสรุปแบบนี้

หากคุณอยากทราบว่าสังคมไทยเป็นแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า ลองคลิ๊กเข้าไปอ่านหนังสือพิมพ์ไทยสักฉบับก็ได้ครับ แล้วลองสังเกตดูว่า ข่าวสารนั้นเป็นการนำเสนอข้อมูล แบบข้อดี ข้อเสีย แล้วจึงสรุป หรือว่าชี้นำและฟันธง happy.gif

#2 บุญหลาย

บุญหลาย
  • Members
  • 159 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 03:27 PM

สุดยอดเลยครับ ชอบมาก สะท้อนสังคมไทยจิงๆ
ขอเสียงสาธุการครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
"พรุ่งนี้โลกก็เปลี่ยนแปลงแล้ว"


#3 Sareochris

Sareochris
  • Members
  • 207 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:-
  • Interests:-

โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 04:04 PM

โครงการบ้านแสงสว่าง เป็นโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขข้อนี้ของสังคมไทยครับ
เพราะขนาด คนในครอบครัวเดียวกันยังมองไม่เห็นคุณความดีกันเองเลย
แล้วยังจะหวังให้ไปเห็นคุณความดีของคนอื่นในสังคมได้อย่างไรกันครับ

#4 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 04:29 PM

จับผิดจะจับไปทำไมอ่าครับ ต้องจับถูกสิครับถึงจะน่าจับหน่อย เอิ้กๆๆ ^ ^
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#5 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 05:20 PM

สังคมไทย เป็นเช่นนี้จริงๆ แล้วก็จะเป็นสังคมี่ไม่ให้เกียต บุคคลใกล้ชิด หรือบุคคลในครอบครัว
ต่างจากสังคมที่พัฒนานมานานแล้ว ที่จะให้เกียตบุคคลใกล้ตัวก่อน

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#6 เด็กน้อย...หัดเดิน

เด็กน้อย...หัดเดิน
  • Members
  • 237 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 05:31 PM

โอ้โฮ.......
แจ่ม


#7 อริย 072

อริย 072
  • Members
  • 440 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 August 2008 - 04:26 PM



ไม่ใช่ปัญหา เรื่องนั้นอย่างเดียวจ้า ยังมีอีก..
จริงๆ โพสต์ไว้ให้แล้วในห้อง กระทู้ บทความดี๊ดีจากสมาชิก แต่เห็นว่าคุยเรื่องนี้อยู่ เอ้า อ่านกันจ้า คนไทยทุกท่าน


มุมมองต่างชาติกับการทำงานแบบไทย


เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า:

1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง
คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี
2. การโต้แย้ง
เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า "ขี้เกรงใจ" แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร
4. ความรับผิดชอบ
4.1 ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า ทั้งๆที่งานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนานก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร
4.2 ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก

5. วิธีแก้ไขปัญหา
คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายครั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อนแล้วค่อยทำตาม ถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด
6. บอกแต่ข่าวดี
คนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ
6.1 จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้ จึงค่อยเข้ามาปรึกษา
6.2 จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่า จะทำงานเสร็จทันเวลาไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย
7. คำว่า "ไม่เป็นไร"
เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า "ไม่เป็นไร" มาแก้ปัญหาแทน
8. ทักษะในการทำงาน
8.1 ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกัน บางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า
8.2 ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด
8.3 พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม
9. ความซื่อสัตย์
พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน
10. ระบบพวกพ้อง
คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง
11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว
คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร
1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน
2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงาน
3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที่
4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ
5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย

12. นับถือระบบอาวุโส
คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่อายุมาก เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท
เขาเป็นกระจกสะท้อนเรา อะไรไม่ดี ก็ช่วยกัน แก้ไขกันนะ เพราะเราคือคนดีไงล่ะ
โบราณท่านว่า ...
คนดีจะ แก้ไข คน...จะแก้ตัวจ้า...


#8 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 16 August 2008 - 01:21 PM

ทำไมเราไม่จับดีครับ จับผิดกันทำไมน่าาาา
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#9 kasaporn

kasaporn
  • Members
  • 870 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 August 2008 - 10:57 PM

วัฒนธรรมของคนไทยก็มีส่วนดีอยู่เหมือนกันนะคะ อย่ามองด้านเดียว ดิฉันทำงานกับบริษัทฝรั่งต่างชาติมาตลอด ก็มีส่วนเสียมากเช่นกันค่ะ ขอให้มองทั้งสองด้านนะคะ คนไทยถึงแม้จะชอบนินทากันแต่ดิฉันก็เห็นคนที่นินทาเขาเนี่ยเวลามีเหตุต่างๆเขาก็ช่วยเหลือกันนะคะ หรือระบบพวกพ้องบางครั้งก็ทำให้โลกทัศน์แคบก็จริงอยู่แต่มันเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามของเราหากจับในจุดที่ดีๆอย่างมีเหตุผลตามหลักพุทธวิธี ค่ะ

#10 ~เด็กวุ่นวาย~

~เด็กวุ่นวาย~
  • Members
  • 156 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 August 2008 - 02:44 PM

มาจับดีกันดีฝ่าพี่น้องคร๊าบ
ความรักก็เหมือนการจับไฟนั่นแหละ ทางที่จะไม่ให้มือพองเพราะไฟเผามีอยู่ทางเดียว คืออย่าจับไฟอย่าเล่นกับไฟ
ทางที่จะปลอดภัยจากรักก็ฉันนั้น มีอยู่ทางเดียวคืออย่ารัก

#11 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 20 August 2008 - 11:32 PM

โดยส่วนตัวนี้ ที่แสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นแนวทางในการสำรวจตัวเอง และปรับปรุงแก้ไขค่ะ ว่าเรานั้นเป็นอย่างที่เค้าว่าหรือไม่?

เพราะนิสัยบางอย่างของคนไทย อย่างที่ดิฉันกล่าวข้างบน คือไม่ให้เกียริตคนใกล้ตัว ยิ่งสนิทยิ่งไม่ค่อยเกรงใจ อันนี้ดิฉันเจอกับตัวเองบ่อยมากๆ และเมื่อก่อนตัวเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว แต่ลูกพระธัมฯ ทุกๆ ท่านคงไม่มีนิสัยเช่นนี้ ดิฉันแน่ใจค่ะ เพราะพวกเราได้เกิดใหม่กันแล้วทุกๆ ท่าน

ปล. ขอโทษนะคะ ถ้าจะทำให้กระทู้บานปลายออกไป จากเรื่องที่ควรเป็น
ปล.สอง เห็นไม่สมควรอย่างไร กรุณาลบความเห็นได้ทันทีทันใดค่ะ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป