**ขณะนี้มีคนสำเร็จเป็น พระอรหันต์ และ โสดาบัน**
#1
โพสต์เมื่อ 27 September 2008 - 07:54 AM
ขอถามหน่อยครับ
ถ้าจะดูด้วย ฌาน หรือ ความสามารถพิเศษ ละก็ผมหมดปัญญาครับ
ถ้าจะสังเกตภายนอก พอจะบอกได้ใหม ว่าต้องดูยังไง ที่พอจะบอกได้ว่า
ท่านผู้นี้ มีโอกาส สำเร็จ เป็นพระอรหันต์ หรือ พระโสดาบัน ช่วยแนะนำให้หน่อยครับ
#2
โพสต์เมื่อ 27 September 2008 - 09:20 AM
ยิ่งศีลท่านบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งใกล้พระอริยะบุคคลมากเท่านั้น เพราะธาตุธรรมในตัวท่าน จะคอยประคับประคองพระท่านให้อยู่ในร่องในรอยแห่งพระธรรมวินัยครับ
พูดง่ายๆ ยิ่งท่านรักษาศีลท่านไม่ให้ด่างพร้อยได้มากเท่าไหร่ ธาตุธรรมท่านก็ยิ่งบริสุทธิ์สูงมากเท่านั้น ในขณะเดียวกันยิ่งธาตุธรรมท่านยิ่งบริสุทธิ์สูงมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ท่านสำรวมมากขึ้น รู้ควรไม่ควรมากขึ้น ศีลก็ยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีก
คุณสาครก็ลองเอาศีลของพระมาศึกษาดูก็ได้ครับ จะได้มีบรรทัดฐาน "ทางโลก" ไว้คอยแยกแยะ ไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ ดีเสียอีก เมื่อคุณสาครศึกษาศีลของพระเป็นอย่างดีแล้ว เมื่อเวลาที่คุณสาครได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยแล้ว คุณสาครจะได้ประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้องได้ทันทีเลยไงครับ เป็นเนื้อนาบุญที่สมบูรณ์ถือว่าเป็นความสว่างของโลกเลยนะครับ
ส่วนเรื่องทางธรรมนั้นขอผ่านครับ เพราะวิสัยแห่งอริยะบุคคลนั้นเป็นเรื่องอจินไตยครับ ต้องรู้เห็นด้วยตนเอง ไม่สามารถบอกเล่าจินตนาการให้เข้าใจได้ครับ
อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
#3
โพสต์เมื่อ 27 September 2008 - 10:03 AM
เพราะฉนั้น.. ก็แนะนำให้คุณสาครสำเร็จเป็นพระอรหันต์ หรือ พระโสดาบัน่อนค่ะ ถึงจะรู้ว่าใครเป็นใครไม่เป็น...
หุหุหุ... แซวเล่นๆ ...แต่พดจริงๆ...อย่าโกรธนะค่ะ..

#4
โพสต์เมื่อ 27 September 2008 - 11:10 AM
เข้าใจสงสัยดีครับผม
#5
โพสต์เมื่อ 27 September 2008 - 12:59 PM
คือ มีญาติโยมที่คุ้นกับท่านมาก มาเยี่ยมท่าน แล้วก็พูดขึ้นว่า "อีฉัน รู้สึกว่าจิตใจตัวเองปลอดโปร่งโล่งเบาสบาย อีฉันว่า อีฉันบรรลุโสดาบันแน่แล้วเจ้าค่ะ
พระรูปนั้นท่านก็ว่า "งั้นเหรอ ดีกว่าสุนัข(แต่ท่านไม่ได้พูดว่าสุนัข แต่ใช้อีกคำหนึ่ง)หน่อยนึง"
โยมคนนั้นโมโหเลยบอกว่า "เอ๊ะ ท่าน มาว่า อีฉันเป็นหมาได้อย่างไร"
พระรูปนั้นก็เลยบอกว่า "พระโสดาบัน ท่านละความถือตัวถือตนแล้ว เธอน่ะ ถูกว่าแค่นี้ก็โกรธ เธอยังไม่ใช่โสดาับันหรอก"
#6
โพสต์เมื่อ 27 September 2008 - 01:55 PM
พระโสดาบัน เคยได้ยินหลวงพ่อทัตตะท่านว่าท่านเคยเจอ เป็นพระป่าอยู่แถวชายแดน ผมจำไม่ได้ว่าที่ไหนเพราะนานมาแล้ว
สำหรับผมวิธีสังเกตุก็ง่ายๆครับ แค่ดูว่าท่านใดมีคุณลักษณะกิริยาท่าทางวาจาตรงหรือเหมือนกับในพระไตรปิฎก คือมีกิริยาสำรวม มีวาจาเป็นสุภาษิต สำรวมในคำพูด พูดน้อยพูดแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์จะไม่พูด ในความคิดผม ท่านนั้นก็เทียบเคียงพระอรหันต์ แค่เทียบเคียงนะครับ ยังไม่ถือว่าใช่
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#7
โพสต์เมื่อ 27 September 2008 - 05:26 PM
ส่วนคนที่เป็น เราก็ยังไม่เคยเจอ หรือเจอแต่ไม่รู้ก็ไม่รู้นะ
#8
โพสต์เมื่อ 27 September 2008 - 05:28 PM
พระท่านนั้นพูดกับโยมจริงๆ หรือคะ แล้วโยมไม่โกรธหน้าเขียว เลิกเข้าวัดไปเลยหรือคะ?
แต่ก็เป็นคำถามที่พิสูจย์ได้จริงๆ แต่ก็นะ.... อันตรายอย่างยิ่งเลยเชียว
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#9
โพสต์เมื่อ 28 September 2008 - 10:03 AM
ผมกลัวจะไปเจอเข้ากับคนที่ยังไม่ บรรลุพระโสดาบัน เดี๋ยวผมนี่แหล่ะที่จะ ทะลุ อิอิ
ก็ขอขอบคุณกับทุกคำตอบครับ
#10
โพสต์เมื่อ 28 September 2008 - 08:54 PM
ขอถามหน่อยครับ
ถ้าจะดูด้วย ฌาน หรือ ความสามารถพิเศษ ละก็ผมหมดปัญญาครับ
ถ้าจะสังเกตภายนอก พอจะบอกได้ใหม ว่าต้องดูยังไง ที่พอจะบอกได้ว่า
ท่านผู้นี้ มีโอกาส สำเร็จ เป็นพระอรหันต์ หรือ พระโสดาบัน ช่วยแนะนำให้หน่อยครับ
ตอบ ในความคิดข้าพเจ้า การที่เรามีภูมิธรรมระดับปุถชนคนธรรมดา ก็เป็นการยากที่จะรู้ว่าใครมีภูมิธรรมถึงไหนแล้ว หากจะเปรียบอย่างเข้าใจง่ายก็เปรียบเหมือน เราเป็นนักเรียนประถมมีความรู้นิดหน่อย จะไปลองภูมิความรู้ ความสามารถ ของคุณครูระดับปริญญานั้น ก็คงจะเป็นไปได้ยาก หากจะสอบถามความรู้ความสามารถของครู ก็คงจะถามได้แต่เพียงความรู้ระดับประถมที่เรารู้เท่านั้น แต่ ถ้าหากครูท่านต้องการจะทดสอบความสามารถของเรา ก็คงจะไม่เป็นการยากที่จะรู้ว่าเรามีความรู้ระดับไหน ในทางธรรมก็เหมือนกันเป็นการยากที่เรามีภูมิธรรมระดับต้นๆ แล้วจะสามารถรู้ว่าใครภูมิธรรมเหนือกว่าเรานั้นเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่จะรู้ได้สำหรับคนที่ระดับเดียว หรือต่ำกว่าเรา บางคนภายนอกดี แต่ ภายในไม่ใช่อย่างนั้น บางคนภายนอกดูไม่ดี แต่ว่า ภายในกลับดี ก็เป็นได้ ดั่งเช่น กรณีของพระสงฆ์สองรูปในสมัยพุทธกาล รูปหนึ่งสงบเสงี่ยมจนชาวบ้านนึกว่าบรรลุพระอรหันต์แล้วแต่ความจริงยังไม่บรรลุ แต่อีกรูปไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไร ชาวบ้านจึงพากันเข้าใจว่ายังไม่บรรลุพระอรหันต์ แต่ความจริงท่านได้บรรลุแล้วเพราะฉะ นั้นการที่เราจะพอสามารถรู้ว่าใครมีโอกาสบรรลุธรรมขั้นสูงๆนั้น จะดูแต่เพียงผิวเผินไม่ได้แต่ ต้องคลุกคลีอยู่ร่วมด้วยกับคนเหล่านั้นเป็นเวลานาน แล้วสังเกตุดูซึ่งอุปนิสัยตลอดถึงวัตร การปฏิบัติต่าง ๆของบุคคลนั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่แน่นอน ซึ่งถ้าหากจะให้แน่นอนนั้น เราก็ต้องบรรลุธรรมเท่ากับหรือสูงกว่าบุคคลนั้น ผู้ซึ่งเราต้องการรู้ภูมิธรรมเสียก่อน และสุดท้ายนี้ขอฝากบทสนทนาระหว่าง หลวงปู่ชา สุภัทโทกับอุบาสกคนหนึ่ง เพื่อเป็นข้อคิดเล็กน้อยให้กับผู้ที่สนใจ
1.โสดาบัน 2.สกิทาคามี 3.อนาคามี 4.อรหันต์) ด้วยความดีใจแบบสุดๆ จึงรีบเข้าไปหา หลวงปู่ชา
เล่าอาการให้ท่านฟัง แล้วถามท่านว่า
อุบาสก: หลวงพ่อครับ อาการนี้ดีมากเลยครับ ผมคงบรรลุขั้น อนาคามี แล้วใช่ไหมครับ หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ: อ๋อ….อนาคามี เหรอ…………มันก็ดีกว่าหมาขี้เรื้อนหน่อยเดียว แค่นั้นแหละ!!!
อุบาสก: (โกรธ) ทำไมท่านพูดแบบนี้ล่ะครับ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ไปล่ะครับ !
เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของพระลูกวัด จึงถามหลวงพ่อชา หลังจากที่ชายคนนั้นจากไปแล้ว
พระลูกวัด: หลวงพ่อทำไมพูดกับเขาแรงแบบนี้ครับ
หลวงพ่อ: พระอนาคามี ที่ไหนโกรธง่ายขนาดนี้ล่ะ เจ้าว่าจริงไหม
ส า ธุ กั บ คำ ถ า ม ที่ ใ ห้ ค ว า ม รู้ ค รั บ



* * * * * * * * * * * * * * *
ใ ค ร เ ชิ ด. . .ใ ค ร ชู. . .ช่ า ง เ ข า
ใ ค ร เ บื่ อ. . .ใ ค ร บ่ น. . .ท น เ อ า
ใ จ เ ร า. . .ร่ ม เ ย็ น. . .เ ป็ น พ อ
. . .|2@|<_|3( )( )|\| @ |-|()T/\/\@I|_.C()/\/\. . .




















#11
โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 09:50 AM
ซึ่งสิ่งที่ท่านเทศน์สอนนี้ตรงตามที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกที่ว่า ครั้งหนึ่งมีพระรูปหนึ่ง บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ท่านสงบสำรวมมาก พระสารีบุตรท่านปรารถนาจะสงเคราะห์ให้เข้าถึงธรรมจึงจะไปเทศน์โปรด ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสบอกพระสารีบุตรว่า พระภิกษุองค์นั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว
.....คิดดูนะคะว่าขนาดพระสารีบุตรซึ่งเป็นพระอรหันต์เอตทัคคะผู้เลิศทางด้านปัญญา ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า พระรูปใดเป็นพระอรหันต์แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่เราจะไปสืบถามว่าพระรูปใดบรรลุธรรมขั้นใด....ทำตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอน...คือ...แสวงหาพระอรหันต์ในตัว....ดีกว่าค่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 10:04 AM
ท่านที่บรรลุ ท่านคงได้อภิญญา 6 เสด็จแว๊บไปแว๊บมา และถ้าเรามีโอกาส (บุญโอกาส)ได้เห็น พระพักตร์ หรือ องค์ท่าน ราศรีของท่านคงงามน่าดูนะคะ
สาธุค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 12:26 PM
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)
#14
โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 05:06 PM
สังโยชน์ หมายถึง เครื่องผูกมัด เครื่องล่าม คือ ผูกไว้กับกิเลส ผูกไว้กับทุกข์
1. สักกายทิฏฺฐิ ความเห็นอันประกอบด้วยขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเรา ของเรา มีตัวเราใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
2. วิจิกิจฺฉา ความหลงผิด ความสงสัยในหลักธรรมคำสอน ความสงสัยในการประพฤติปฏิบัติ และผลของการปฏิบัติ
3. สีลพฺพตปรามาสฺ ความเข้าใจผิดในศีล เช่นการถือศีลเพื่อหวังผล
4. กามราค ความหลง ความยินดีในกามคุณทั้งห้า "รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส"
5. ปฏิฆะ ความละกิเลส อย่างหยาบ ความไม่พอใจ ความไม่สบายใจ เช่น ความโกรธ ความหงุดหงิด ความรำคาญ
6. รูปราคะ ความพอใจในรูปฌาณ
7. อรูปราคะ ความพอใจในอรูปฌาณ
8. มานะ ความถือดี ความถือว่าดีกว่า เหนือกว่า
9. อุทธัจจะ ความผิดปกติของจิต เช่นการฟุ้งซ่าน เป็นต้น
10. อวิชชา ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ในทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ และหนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์
อนึ่งในหนังสือพุทธธรรมได้กล่าวถึงสังโยชน์ ๑๐ นี้ด้วยว่า
ทักขิไณยบุคคล 8 หรือ อริยบุคคล 8 นั้น อาจแบ่งตามความละกิเลส และความละได้ในสังโยชน์แต่ละขั้น
พระเสขะ(ผู้ที่ยังต้องศึกษา) หรือ สอุปาทิเสสบุคคล (ผุ้ที่ยังมีเชื้ออุปาทานหลงเหลืออยู่)
1. พระโสดาบัน คือผู้ถึงกระแส คือเข้าสู่มรรค เดินทางถูกต้องอย่างแท้จริง หรือปฏิบัติถูกต้องอย่างแท้จริงแล้ว คือทำได้บริบูรณ์ในขั้นศีล พอได้พอประมาณในสมาธิ และทำได้พอประมาณในขั้นปัญญา เป็นผู้ที่ละสังโยชน์ สามได้ คือ สักายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ สีลพฺพตปรามาส
2. พระสกทาคามี คือผู้กลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวก็จะกำจัดทุกข์ได้สิ้น เป็นผู้ทำได้บริบูรณ์ในขั้นศีล พอได้พอประมาณในสมาธิ และทำได้พอประมาณในขั้นปัญญา นอกจะละสังโยชน์สามข้อได้แล้วยังสามารถลด ราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลงได้ด้วย
3. พระอานาคามี คือผู้จะปรินิพพานในที่ผุดเกิดมีขึ้น ไม่เวียนกลับมาอีก เป็นผู้ทำได้บริบูรณ์ในศีล บริบูรณ์ในสมาธิ และทำได้พอประมาณในปัญญา และยังละสังโยชน์ได้อีกสองข้อ คือ กามราคะ และปฏิฆะ (รวมเป็นละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ครบทั้ง ๕ ข้อ)
พระอเสขะ (ผู้ไม่ต้องศึกษา) หรือ อนุปาทิเสสบุคคล (ผู้ที่ไม่มีเชื้อคืออุปาทานเหลืออยู่เลย)
1. พระอรหันต์ คือผู้ควร (แก่ทักขิณา หรือการบูชาพิเศษ) หรือผู้หักกำแห่งสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอาสวะ ทำได้สมบูรณ์ทั้งใน ศีล สมาธิ และปัญญา ละสังโยชน์เบื้องสูงได้อีกทั้ง ๕ ข้อ (รวมเป็นละสังโยชน์ทั้งหมด ๑๐ ข้อ)
สามารถซอยแบ่งออกเป็นระดับคู่ได้ดังนี้
1. พระโสดาปัฏิมรรค เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระโสดาปัฏิผล
2. พระโสดาปัฏิผล
3. พระสกทาคามีมรรค เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระสกทาคาผล
4. พระสกทาคามีผล
5. พระอานาคามีมรรค เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระอนาคามีผล
6. พระอานาคามีผล
7. พระอรหันตมรรค เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพระอรหันตผล
8. พระอรหันตผล
น่าจะพอสังเกตได้พอสมควรอยู่นะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าปรามาสท่านผู้นั้นก็แล้วกัน
#15
โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 10:21 PM
แรงนะเนี่ย คิดว่าอย่าไปทำเลยดีกว่า เดี๋ยวเจอ พระอริยะ จริงๆ เข้า จะเป็นกรรมหนักมาก