การน้อม...มาไว้ที่ศูนย์กลางกาย
#1
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 07:42 AM
ตอนนี้กำลังสับสนว่าจะน้อมอะไรไว้กลางกาย ระหว่างดวงแก้วกายสิทธิ์ กับองค์พระบรมพุทธเจ้า
แล้วจะแตกต่างกันอย่างไรบ้างคะ
#2
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 10:09 AM
but on the other hand if you chose องค์พระบรมพุทธเจ้า then you will get
Buddtha nu sa tii
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ

#3
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 10:32 AM
อย่างนี้ดีมั้ยค่ะ ลองน้อมดวงแก้วดูถ้าได้ความรู้สึกหยุดนิ่งได้อย่างสบายก็นึกถึงดวงแก้ว
แต่ถ้ายังรู้สึกว่าไม่นิ่งไม่สบายก็ลองเปลื่ยนเป็นองค์พระ แต่ถ้าไม่สบายทั้งสองอย่างก็ไม่
ต้องนึก ทำใจนิ่งๆ เฉยๆ พอ จะได้ไม่เครียดไม่สับสนค่ะ
เคยได้ยินพระอาจารย์ที่สอนเด็กๆนั่งสมาธินะค่ะ ว่าให้นึกถึงน้ำแข็งบ้าง ผลไม้ที่ชอบบ้าง
นึกอะไรที่ง่ายๆ ที่เราจำได้ ที่ทำให้ใจเราหยุดนิ่งได้ง่าย
การนึกระหว่างดวงแก้วกายสิทธิ์ กับองค์พระบรมพุทธเจ้า แล้วจะแตกต่างกันอย่างไร
เอ.. อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ แต่ไม่ว่าจะนึกอะไรถ้าใจหยุดนิ่งได้ ก็มาเริ่มต้นที่จุดเดียวกันใช่มั้ยค่ะ
การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ก็จะได้อานิสงค์ หลายอย่าง สิ่งดีๆของท่านก็จะถ่ายทอดมาสู่ตัวเรา
แต่จะแตกต่างกับดวงแก้วอย่างไร ผู้รู้ท่านอื่นช่วยเข้ามาทำให้กระจ่างด้วยค่ะ
............................
จากผู้รู้น้อยๆ
#4
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 10:41 AM
#5
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 03:37 PM
#6
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 05:22 PM
#7
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 06:01 PM

ทำแบบชาวโซโลมอนสิครับ บอกให้เค้าทำอะไร เค้าก็ทำ อย่างนี้จะหยุดใจได้ง่ายนะครับ
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#8
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 07:03 PM
แล้วนิมิตต่างๆที่เราเห็นนั้น (ไม่ใชดวงแก้วหรือองค์พระน่ะค่ะ) มันหมายความว่าเราได้ปฏิบัติธรรม ไปถึงขั้นไหนแล้วค่ะ
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"

#9
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 07:39 PM
นิมิตต่างๆ นั้น ล้วนเป็นเพียงอุบายให้ใจ "หยุด" เท่านั้นเองครับ (เพราะของจริงมีอยู่แล้วภายใน) ไม่เกี่ยวกับว่าตัวคุณปฏิบัติได้ถึงขั้นไหน
#10
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 12:25 AM
ning-ning, nhum-nhum, nan-nan...
at the center of the body...
then you will find out...
Anumothana..
#11
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 11:06 PM
#12
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 04:07 AM
#13
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 02:50 PM
#14
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 08:22 PM
ดีจังเลย
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#15
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 08:55 PM
ก่อนอื่นต้องใช้การทดลองก่อนครับ...
คุณ..Muralath ต้องทดลองว่า
1. ระหว่างดวงแก้วกายสิทธิ์ แล้วเห็นแสงสว่างหรือไม่
2. องค์พระบรมพุทธเจ้า แล้วเห็นแสงสว่างหรือไม่
เพราะการฝึกสมาธิแบบวิชชาธรรมกาย อาศัยอโลกสิน กสิณแสงสว่าง" เป็นบทแรกครับ ก่อนที่จะเข้าไปเจริญวิปัสนากรรมมัถฐาน ..เมื่อเห็นแสงสว่างแล้วจึง.ทำตามครูบาอาจารย์ที่ท่านได้อบรมสั่งสอนเราครับ..
.............................................................................................
การปฏิบัติธรรมตามแนววิชชาธรรมกาย คือ อาโลกกสิณ (กสิณแสงสว่าง) โดยกำหนด นิมิตเป็นความสว่างซึ่งมีลักษณะกลมใส (ดวงแก้วกายสิทธิ์ และ องค์พระบรมพุทธเจ้า อย่างใดอย่างหนึ่งหรือพร้อมๆกันตามจริตที่ ใสๆๆใสในใส ครับ) โดยน้อมไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด (กลางท้อง) ครับ
..............................................................................................
ถ้าคุณ..Muralath เกิดเห็นนิมิต ก็จะมี 2แบบคือ
1. อุคหนิมิต คือ นิมิตที่ยังไม่แน่นอน เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวหาย
2. ปฏิภาคนิมิต คือ นิมิตที่สามารถนึกให้ขยายใหญ่ได้ เล็กได้
ถ้าคุณ..Muralath กำลังสับสนว่าจะน้อมอะไรไว้กลางกาย ระหว่างดวงแก้วกายสิทธิ์ กับองค์พระบรมพุทธเจ้า ก็ทดลองใช้สติปัฐฐาน4 คือการนึกนิมิตให้ได้ตลอดเวลา ทั้ง นั่ง นอน ยืน เดิน ทุกอิริยาบท
(สุดท้ายก็วกกลับเข้ามาเข้าโรงเรียนฝันในฝัน และทำการบ้าน 10 ข้อล่ะครับ)
...อนุโมทนาบุญ..ขออวยพรให้เข้าถึงพระธรรมกายนะครับ..สาธุ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#16
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 05:33 PM
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#17
*ชาย*
โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 01:07 AM
องค์พระ หรือ ดวงแก้ว เป็นเพียงเครื่องมือให้ใจหยุดเท่านั้น เมื่อเข้าถึงธรรมะภายใน บริกรรมนิมิตรก็ไม่ได้ใช้อีกต่อไป เพราะเข้าถึงของจริงแล้วไม่ใช่ของสมมุติ
หากถามว่า นึกอย่างใดจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า ขึ้นอยู่กับความชอบ ความคุ้น ความง่ายในการนึก เพราะหากกังวลว่า นึกถึงพระได้บุญมากกว่าหรือไม่ ใจก็จะไม่หยุด เพราะเกิด วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย เป็นนิวรณ์อย่างหนึ่ง
นึกพระ ดวงแก้ว หรือ มะพร้าว อะไรก็ได้ หรือไม่นึก ก็เข้าถึงได้หาก ได้หยุดใจอย่างต่อเนื่อง
ทานข้่าว ทานก๋วยเตี๋ยว หรือทานขนมจีน ก็ิอิ่มเหมือนกัน สำคัญแค่อิ่ม
แม่น้ำแม้มีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน ต่างสถานที่ ทุกสายย่อมไหลลงมหาสมุทรฉันใด นิมิตร องค์พระ ดวงแก้ว หากทำถุกวิธี และต่อเ้นื่องย่อมเข้าถึงได้ ฉันนั้น
ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิชชาธรรมกาย มีเพียงหนึ่งเดียว คำภาวนาแม้ไม่ใช่สัมมาอะระหัง นิมิตรแม้เป็นสสารวัตถุใดๆก็ตามมีความสว่าง หรือไม่มี ใสหรือไม่ใส หรือแม้กระทั่งเป็นของที่วิญญูชนไม่เคารพบูชา เช่นมะพร้าว กระโถน หากนำมาไว้ภายในกลางกาย มีสติสบาย สมำ่เสมอ ก็สามารถเข้าถึง สภาวะธรรมภายในได้
ตัวอย่างคือคุณยายทองสุก ท่านขัดกระโถนจนถึงธรรมคับ
เข้าถึงธรรมแล้ว ทราบได้ด้วยตนเอง เช่นรับประทานข้าวผัด เราก็รู้ได้ด้วยตนเองว่ารับรสข้าวผัดอยู่ ไม่ใช่ ก๋วยเตี๋ยว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมายืนยันคับ คุณครูสอนมาอีกทีคับ
#18
โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 05:50 PM
ลึกจังเลย
ขอบคุณมากๆค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#19
โพสต์เมื่อ 02 February 2006 - 03:43 PM
"การบรรลุธรรมของหลวงพ่อสด ในระหว่าง มัชฌิมยามกับปัจฉิมยามติดต่อกัน ท่านได้รำพึงว่า ธรรมเป็นของลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ใครจะไปคาดคะเนเอาได้ พ้นวิสัย ของความตรึก นำ คิด ถ้ายังตรึก นึก คิด อยู่ก็ไม่ถึง ที่จะเข้าให้ถึงต้องทำให้รู้ตรึก รู้นึก รู้คิด นั้นหยุดเป็นจุดเดียวกัน แต่พอหยุดก็ดับ แต่พอดับแล้วก็เกิด ถ้าไม่ดับแล้วก็ไม่เกิด ตรองดูเถิดท่านทั้งหลายนี่เป็นของจริง หัวต่อมีเป็นอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่ถูกส่วนก็ไม่มีไม่เป็นเด็ดขาด"
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#20
โพสต์เมื่อ 06 February 2007 - 02:51 PM