
ไม่อยากขี้อิจฉา
#1
โพสต์เมื่อ 28 May 2010 - 05:26 PM
#2
โพสต์เมื่อ 28 May 2010 - 07:11 PM
แค่คุณมีสติระลึก พิจารณากิเลศ หรือสิ่งที่ไม่ดีของตนเองได้ นั่นแหละ แสดงว่าคุณได้แล้ว ได้รู้จักใช้ธรรมพิจารณาธรรมแล้วครับ นับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความเจริญแล้วครับ
การขี้อิจฉา การมีอภิชฌา เพ่งโทษผู้อื่น การมีนิสัยขี้เบื่อ ขี้หงุดหงิด และกิเลส นิสัยเสียเรื่องอื่นๆ
จะแก้ไขได้ด้วยการพยายาม ขัดเกลา ไงครับ ขัดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เกลาเข้าไปๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
พระพุทธพจน์ตรัสว่าการขจัดขัดเกลากิเลศ ทำเนืองนิตย์ จนเรารู้สึกว่ากิเลศเราเบาบางลง เสมือนนายช่างค่อยๆถากไม้จนไม้เรียวลงๆ ครับ
ใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา ขัดเกลา พิจารณากิเลส พัฒนาตนเอง ไปสู่ความเป็นอริยะ
โดยเฉพาะข้อ เมตตา ให้อภัย สามัคคี เสียสละ
ที่สำคัญที่สุด 072 บ่อยๆ เรื่อยๆ หยุดคิดปรุงแต่งเข้าไว้ครับ

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 28 May 2010 - 07:12 PM
มั่วมาคิดแต่เรื่องขุ่นหมอง ดูจะผิดที่ผิดทางผิดเวลา
สิ่งง่ายๆทำได้ง่าย แก้ใจสิ่งง่ายๆแบบนี้ก่อนก็จะเป็นทางเร่ิมต้นแห่งความเจริญก้าวหน้านะคับ
เลือกเอา ใจใสๆ
#4
โพสต์เมื่อ 28 May 2010 - 10:02 PM
- รักษาศีล ถ้าขี้อิจฉานี่รู้สึกว่าศึลด่างพร้อยนะคะ
- เจริญภาวนา ก็คือนั่งสมาธินั่นแหละ
- ฟังธรรม ศึกษาธรรมะ ดูการสำรวมอินทรีย์ คือไม่ปรุงแต่งจิตน่ะค่ะ พอเริ่มคิดก็ให้หยุดคิด ให้รู้เท่าทันความคิด
- ดูการสำรวมอินทรีย์ ได้ใน http://dmc.tv/forum/...showtopic=23099
- อธิษฐานจิต
จะสังเกตุได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร ก็จะมีคนแนะนำแนวๆ นี้ ----เพราะอะไร เพราะมันคือสูตรสำเร็จไงคะ บางคนก็ได้ปฏิบัติมาแล้ว ได้ผลดี บางคนก็เห็นการปฏิบัติของคนข้างเคียง
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#5
โพสต์เมื่อ 28 May 2010 - 10:32 PM
...แม้การนั่งจะไม่บรรลุธรรม ใช่ว่าการบรรลุธรรมจะเกิดจากท่านั่งเพียงท่าเดียว พระอานนท์นั่งเท่าไหร่ก็ไม่บรรลุธรรม แต่พอจะเอนกาย ด้วยใจสบายๆอยากพักผ่อนเท่านั้น ก็บรรลุธรรมไปตามลำดับได้ทันที หยุด นิ่ง สบาย เป็นจุดหมายที่ดีที่สุด หลายๆท่าน ดวงผุด องค์พระผุดตอนขัดห้องน้ำ เช็คโคม ล้างภาชนะ ถูบ้าน ฯลฯ เรียกว่า ใจบาย หยุดถูกจุด ตรึกระลึกแบบเบาๆ ได้เฮแน่นอน
#6
โพสต์เมื่อ 29 May 2010 - 12:34 PM
ซึ่งความเห็นของดิฉัน ก็จดๆ จำๆ ครูบาอาจารย์ และ เพื่อนๆ กัลยาณมิตรมาอีกทีนะคะ
จะมีบ้างก็ได้อ่านพระธรรมเพื่อหาคำตอบเพิ่มเติม
ส่วนคำตอบที่ถูกต้องขอให้อ่านและฟังจากคำสอนของครูบาอาจารย์ ด้วยตนเอง ย่อมเป็นผลดีมากยิ่งๆขึ้นค่ะ
----------------------------------------------------------------
ความอิจฉา ริษยา นั้น
ต้องแก้ด้วยการเจริญ "มุทิตา" (พลอยยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดี) บ่อยๆ ค่ะ
แต่บางทีมุทิตาก็เกิดได้ยาก หากไม่มีธรรมอื่นๆ ค้ำจุน
มุทิตามีเพื่อนอีก 3 ค่ืะ คือ เมตตา กรุณา (มุทิตา) อุเบกขา อันคือ พรหมวิหารธรรม หรือ พรหมวิหาร 4
ซึ่งทั้ง 4 ต้องทำไปด้วยกันทั้งหมด จึงจะสมบูรณ์
และ พิจารณา โลกธรรม 8 คือ ความเป็นไปตามธรรมดาของโลก ก็จะทำให้มองเห็นทุกอย่างไปตามความเป็นจริง
ทั้งนี้ต้องใช้กำลังสมาธิที่มากเพียงพอ จึงจะช่วยละสิ่งไม่ดีต่างๆ เหล่านั้นให้เบาบางลงจากใจได้
นอกจากนั้นสมาธิยังเป็นบาทฐานทำให้เข้าใจพระสัทธรรมที่ลึกซึ้งได้ลุ่มลึกไปเป็นลำดับอีกด้วยค่ะ
นอกจากบุญและบาป สิ่งที่ติดตัวเรามาอีกอย่างคือ "นิสัย ทั้งดีและไม่ดี"
หากยิ่งเป็นนิสัยที่ไม่ดีสิ่งที่สะสมมานาน หลายชาติ ก็ย่อมต้องใช้เวลาและความพยายามมากให้การละให้ขาดไปจากศูนย์กลางกาย
ในพระไตรปิฎกก็มีเรื่องนิสัยที่ไม่ดีที่ติดตัวข้ามชาติมาของพระอรหันตสาวก หลายพระองค์แม้ชาติสุดท้าย
เมื่อไม่สามารถที่จะขจัดให้หมดไปได้โดยง่าย การเห็นมันทีไรก็ทุกข์ทุกที ย่อมทำให้จิตหมองเศร้าลง ขาดกำลัง
หรือบางทีเราอาจจะ "เพียงแค่มองดูมัน" แล้วบอกมันว่า "ฉันจะกำจัดแกให้หมดไป แม้ไม่ได้หมดเกลี้ยง ก็จะทำให้ลดลงมากที่สุด"
การอธิษฐานจิต(อธิษฐานบารมี) จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการล้างธาตุธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ของเรา
ก็ขอเป็นกำลังใจนะคะ
ตัวดิฉันเอง ก็คงมีความรู้สึกอิจฉาบ้าง ก็เพราะยังเป็นปุถุชน
สิ่งที่ตัวเองทำคือ
รู้ตัว และ มองหาข้อดีของเขาเพื่อให้เห็นความดี และ "ความเก่ง" และ เปลี่ยนเป็นความชื่นชม(กรุณา) ทั้งตัวเขา และตัวเรา
เพราะ เขาก็เก่งบางอย่างมากๆๆๆๆๆ แต่บางอย่างเราก็เก่งกว่าเขามากๆๆๆๆ นี่นา... เืมื่อคิดถึงตรงนี้ก็สามารถแผ่เมตตาให้ตัวเอง และ ตัวเขาได้อย่างบริสุทธิ์ใจมากขึ้น(เมตตา)
แล้วก็รีบรวมบุญอธิษฐานว่าขอให้ตัวเองอย่าได้อิจฉาใคร ขอให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ อย่าได้ทำร้ายใคร และ ใครอย่าได้มาทำร้ายเรา
และยังคิดต่ออีกว่า
การมีคนเก่งคนละด้านอยู่ด้วยกันจะได้สร้างสังคมให้พัฒนา ดีออกจะตายไป (แม้แต่พระอัครสาวก พระอสีติมหาสาวก ก็ยังมีความเก่งกันไปคนละด้าน พระพุทธศาสนาจึงได้รุ่งเรือง) ยกเว้นเราคิดว่าเรานี่มันไม่เก่งอะไรสักอย่าง oh no ไม่จริงหรอก เราคงไม่แย่ขนาดนั้น
แล้วดิฉันก็สอนตัวเราเองว่า เราก็ต้องหมั่นแก้ไขความไม่ีดี เพิ่มความดีให้ตัวเอง (ที่ตอนนี้ยังมีน้อยอยู่ ^^')
เพื่อให้เก่งและดีได้ในด้านของเรา อย่างแท้จริง
ส่วนเขาก็เก่งในแบบของเขาไป.. เราก็ยินดีด้วย
เหล่านี้คือ ความเห็นและสิ่งที่ดิฉันคิดค่ะ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#7
โพสต์เมื่อ 29 May 2010 - 06:01 PM
http://www.dmc.tv/pr...iles/510426.wmv
ทำอย่างไรเมื่อถูกใส่ความด้วยเรื่องเท็จ, โทษของคนขี้อิจฉาและวิธีแก้ไข
http://www.dmc.tv/pr...iles/480131.wmv
ย่อๆ จากพระธรรมเทศนา
เพราะมีคุณงามความดีในตัวน้อยกว่าคนอื่น แล้วอยากได้ดีเท่าเค้า หรือมากกว่าเค้า
ไม่คิดแก้ไข กลับคิดในทางร้าย กลายเป็นอิจฉาริษยา
เมื่อรู้ว่าต้นเหตุมาจากไหน?.....ใจก็จะมีแต่ความเศร้าหมอง คิดแต่จะทำลาย คิดจะทำร้ายคนอื่นร่ำไป
เมื่อใจเศร้าหมอง แม้คำพูดก็พูดแต่เรื่องเศร้าหมอง พ่นพิษออกมา ไม่มีภาษาดอกไม้ เมื่อเป็นแบบนั้นก็จะเลยไปจนถึงการกระทำทางร่างกาย กระทบกระเทียบกัน หน้านิ่วคิ้วหมวด
เมื่อมีอาการอย่างนี้ อะไรจะเกิดขึ้น.....ความดีเก่าก็มีอยู่น้อย ความดีใหม่ก็ไม่คิดทำเพิ่ม ทำแต่ความร้ายๆ ก็มีแต่
ครั้งใดที่ใจคิดแวบไป รีบติดเบรค ....เออ..ที่เรายังต้องตกต่ำอยู่อย่างนี้ เพราะว่าชาติที่แล้ว สั่งสมคุณงามความดีมาน้อย เมื่อบุญน้อยก็ต้องเติมบุญ
๑. เรื่องการทำงาน เลี้ยงชีวิต ในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย จากครอบครัว หมู่คณะ ให้ทำให้สุดฝีมือ และยังต้องปรับปรุงให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ถ้ายังสู้เค้าไม่ได้ ก็ทำยังไง? ...ก็ไปกราบเท้าเค้า ขอความรู้ ย่นเวลาตั้งแยะ จากนั้นก็หันหน้าเข้าวัด ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ก่อนหน้าไม่เคยทำบุญทำทาน ก็ทำบุญเสีย ก่อนหน้าไม่เคยรักษาศีล ก็รักษาศีลเสีย ไม่เคยนั่งสมาธิ ก็นั่งสมาธิเสีย
ทาน ทำให้รวย ศีลทำให้สวย สมาธิทำให้มีสติปัญญา จากนั้นก็ค่อยๆ ศึกษาเพิ่มเข้าไปในรายละเอียด
เช่น เออเราก็มีอะไรพร้อม แต่ที่อิจฉา ก็เพราะมีบริวารน้อย
เช่น ทำไมคนไม่รักเรา เที่ยวไปโกรธคนที่เค้าไม่รักเรา ก็ให้ตั้งคำถามใหม่ว่า เราไม่น่ารักตรงไหน แล้วก็เริ่มสำรวจตรวจสอบตัวเอง แล้วก็ไปถามหลวงพ่อ วิชาเจ้าเสนห์มีอยู่ ๔ ข้อ
๑. หมั่นให้ทาน มีอะไรก็ปันกันกิน ปันกันใช้ รวมทั้งปันกันดังด้วย ไม่ใช่ดังคนเดียว
๒. จะพูดกับใคร ก็ต้องพูดเพราะๆ เพราะพูดเพราะๆ ไม่ต้องลงทุนอะไร สิ่่งที่ให้กำลังใจคน ไม่มีอะไรเกิดการพูดเพราะ สิ่งที่ลดทอนกำลังใจคนก็ไม่เกิดคำพูด
๓. ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ช่วยใครได้ก็ช่วยๆ ไป
๔. ไม่ว่าคบกับใครก็มีแต่ความจริงใจ ไม่แทงใครข้างหลัง ไม่ว่าใครลับหลัง มีแต่ความจริงใจ ความปลอดภัย
ถ้าทำทั้ง ๔ ข้อนี้แล้ว ไม่มีใครรักก็ให้รู้ไป
- ที่มีพี่น้องอิจฉาริษยา เพราะตัวลูกขาดบุญที่สงเคราะห์ญาติ และขาดบุญมุทิตา คือการแสดงความยินดีด้วยความจริงใจต่อญาติที่ประสบความสำเร็จ
นรอ. ดินสอแห่งธรรม กล่าวว่า
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#8
โพสต์เมื่อ 29 May 2010 - 09:22 PM
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#9
โพสต์เมื่อ 31 May 2010 - 11:06 AM
แนะนำให้มาบวชครับ มาฝึกตัวเป็นหมู่คณะ ขัดเกลากิเลสให้ออกไปจากใจ... ระเบียบวินัยของธรรมทายาท ช่วยท่านได้
#10
โพสต์เมื่อ 31 May 2010 - 02:36 PM
#11
โพสต์เมื่อ 22 July 2010 - 07:03 PM
#12
โพสต์เมื่อ 22 July 2010 - 10:46 PM
ถ้าหากมั่นใจว่าเก็บอาการได้ ปราถนาจะฝึกหัดขัดเกลาตนเองตามพระวินัย และไม่ตรึกในกามวิตก บวชได้นะครับ
ผมก็เห็นนะครับ ที่ท่านมีจิตใจเป็นเกย์ แต่ท่านบวชแล้วท่านเคร่งครัด สำรวม ไม่ฝักใฝ่ในกาม แต่อาจจะมีบุคคลิกออกเหนียมๆอยู่บ้างเล็กน้อย อิอิ
ส่วนคนที่ผ่าตัดแปลงเพศ หรือมีสองเพศ หรือว่าอาการผิดเพศหนักมากๆ แบบนี้ท่านเรียกว่า คนอาภัพพะ บวชไม่ได้นะครับ
ยิ่งผู้ที่บวชเข้ามาแล้ว แต๋วแตก แขกเตื่อน แบบนี้คงต้องรีบให้ทำปัพพาชนียกรรม (ให้สึกทันที)
เรื่องจิตใจผิดเพศนี้ศาสนาพุทธอธิบายไว้ว่าเป็นเรื่องของเศษกรรมปรุงแต่ง แต่ก็มิใช่สิ่งที่ชั่วร้ายอะไร ผิดกับศาสนาอื่นๆเช่นศาสนาเทวนิยมบางศาสนา เขาบอกว่าเป็นคนบาป ถูกพระเจ้าสาป ซาตานแช่ง ต้องเอาหินขว้างให้ตาย ...กำ....

ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย