
กลุ้มใจมาก
#1
โพสต์เมื่อ 07 August 2010 - 09:06 PM
คุณพ่อได้เสียชีวิตลงที่ต่างจังหวัดแล้วพึ่งมารับศพ แต่ว่าพวกเราเองไม่ได้ไปเรียกดวงวิญญาณท่านที่ๆท่านเสีย ไม่ทราบว่าจะเป็นอะไรไหมคะ?
คือก็ไม่เคยมีคนที่สนิทๆแบบนี้ เสียมาก่อน แต่ญาติๆที่เสีย ปกติจะเคยได้ยินเสียงหมาหอน แบบว่าเค้ามาหาตอนดึกๆทุกครั้ง
แต่กับคุณพ่อ ไม่แน่ใจว่า พอดีมีญาติมานอนด้วยเยอะรึเปล่า หรือเราไม่ได้ทันสังเกต
จึงไม่ค่อยรู้สึกถึงท่านเลยสักนิด จึงไม่แน่ใจ เกรงว่าดวงวิญญาณของท่านจะวนเวียนอยู่ๆที่ท่านเสียอยู่
(ปล. ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุนะคะ เพียงแค่ไปนอนหลับเสียที่ต่างจังหวัด นอนหลับไปเฉยๆ)
อยากทราบว่า เราคิดวิตกไปเอง หรือพิธีกรรมทางศาสนา มันต้องอย่างไรกันแน่?
แล้วเวลาคนตายไปแล้วนั้น ปกติจะไปอย่างไรต่อคะ?
บางตำรา ก็บอกว่า ดวงจิตจะหลุดลอยไปเกิดใหม่ทันที
บางตำรา ก็บอกว่า จะต้องวนเวียนสักพัก 7 วัน จึงโดนไปพิพากษา
บางตำรา ก็บอกว่า ต้อง 49 วัน หรอกจึงจะไปสู่สุขคติได้
ส่วนบางตำรา ก็บอกว่า แล้วแต่เค้าห่วงอยู่หรือไม่?
ไม่เข้าใจจริงๆค่ะ คือถ้าคิดสะว่า แกนอนตายหลับแล้วหลับเลย เราคงไม่มีห่วงอะไร
แต่พอมาคิดถึงศาสนาแล้ว ก็รู้สึกเป็นห่วงท่าน กลัวยังวนเวียน หรือไปต่อไม่ได้ ฯลฯ
ช่วยแนะนำด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
//ช่วงนี้ที่ผ่านมา ก็ทำบุญ สวดมนต์ แล้วอุทิศแบบเจาะจงให้ท่านคนเดียวอยู่น่ะค่ะ
อีกอย่าง ที่บ้านก็บอกๆท่านไว้ว่า ถ้าจะมาหามาอยู่ก็ได้นะ แต่อย่าทำให้ตกใจ ก็เลยว่า อีกที หรือเพราะคุณพ่อกลัวเราตกใจเลยไม่ได้แสดงตัวอะไรออกมา
แต่อีกที ก็วิตกกังวล อย่างที่กล่าวมาข้างต้นน่ะค่ะ
////ขอขอบคุณทุกๆคำตอบนะคะ เมื่อเช้าก่อนใส่บาตรเราได้กลิ่นธูปอ่อนๆ
สักพักตอนนั่งทำงานอยู่ ได้กลิ่นธูปหนักมาก จนต้องถามที่บ้านว่าจุดหรอ ก็ไม่มีใครจุด ตั้งแต่ตอนแรกเราเข้าใจว่าแม่จุดน่ะค่ะ
แม่สงสัยไปถามข้างๆบ้านหมด ก็ไม่มีใครจุด เราคิดว่าคุณพ่อคงมาบอกเราแล้วว่าไม่ต้องห่วงน่ะค่ะ
รู้สึกดีใจ และทึ่งในการเป็นไปมากๆ ขอบคุณมากๆค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 07 August 2010 - 09:35 PM
#3
โพสต์เมื่อ 07 August 2010 - 10:05 PM
40.ทำไมต้องทำบุญ 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน
คำถามจากทางบ้าน:
การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายตามประเพณี คือ 7วัน 50วัน และ 100วัน ผู้ตายจะได้รับบุญต่างกันไหมคะ และในระหว่าง 7วัน หลังจากเสียชีวิต คนในบ้านควรจะทำอย่างไร ผู้ตายจึงได้รับบุญมากที่สุดคะ
ที่นี่มีคำตอบ:
การทำบุญ 7วัน คือ ช่วงที่กายละเอียดยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ สำหรับกรณีผู้ที่ยังไม่ได้ไปมหานรกนะ หมู่ญาติก็จะได้มีโอกาส 7วันนั้น ทำบุญอุทิศไปให้ได้
การทำบุญ 50วัน คือ ช่วงที่กำลังรอคิวคอยการพิพากษาจากพญายมราชในยมโลก
การทำบุญ 100วัน คือ ช่วงที่ระหว่าง 50 ถึง 100วัน คือ ช่วงพิพากษาและส่งไปเกิด เช่น ไปเกิดในมหานรก ไปยมโลก ไปเป็นมนุษย์ เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือไปเป็นเทวาด เป็นต้น
ทั้งสามช่วงนี้ คือ 7วัน 50วัน 100วัน การละเอียดจะรับบุญได้ นี่คือ หลักการส่วนใหญ่ มักจะเป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ภายใน 7วัน 50วัน หรือ 100วัน ก็ต้องทำบุญทุกบุญให้เต็มกำลัง แล้วอุทิศไปให้ผู้ที่เสียชีวิต
โดย คุณครูไม่ใหญ่ (พระราชภาวนาวิสุทธิ์)
5 สิงหาคม พ.ศ.2546
7 วันหลังความตาย http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=5505
e-book ศึกชิงภพ http://www.kalyanami...df/sukshing.pdf
ฟัง ศึกชิงภพ ๑ http://www.kalyanami...ount.asp?id=979
ฟัง ศึกชิงภพ ๒ http://www.kalyanami...ount.asp?id=980
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#4
โพสต์เมื่อ 07 August 2010 - 11:18 PM
ความวิตกกังวล กลุ้มใจ มีคุณน้อย มีโทษมากกว่านะครับ
ทั้งต้วคุณเอง คนรอบตัว
หรือแม้แต่บิดาที่วายชนม์ หากท่านยังวนเวียน รับรู้ว่า ลูกรัก กลุ้มใจ กังวล
พลอยจะทำให้ท่าน ตัดอาลัยได้ยาก ใจจะไม่ผ่องใส(จากกรรมดีที่ท่านเคยทำและลูกรัก อุทิศบุญให้) และบุญส่งผลไม่เต็มที่ อย่างที่ควรจะเป็น
ฉะนั้น ถ้าเผลอกลุ้มใจ กังวลใจ
ต้องเตือนตนเองให้ ละความกลุ้มใจ กังวลใจ , หมั่นดูแลสุขภาพตนเองด้วยนะครับ
ขยันทำกุศลกรรม อุทิศให้ท่าน ทำความดีอุทิศบุญให้ท่าน แต่เราได้เป็นคนแรกนะครับ
ควรจัดสรรเวลานั่งสมาธิบ้างนะครับ คุ้นเคยวิธีไหน (อาณาปาณสติ , พุทธานุสสติ ฯล) ก็ทำตามอัธยาศัย
วิธีฝึกสมาธิเบื้องต้น หาดาวน์โหลดได้ในเวบนี้ หรือเวบอื่น ก็มีเยอะครับ
ให้เป็นอุธาหรณ์เรื่อง มรณานุสสติ ความตายเป็นสิ่งแน่นอนของมนุษย์ทุกผู้นาม ที่เกิดมานะครับ
สักวันเราเองก็ต้องตาย ซึ่งไม่รู้ว่าวันไหน ? ที่ไหน ? ด้วยสาเหตุใด ? ตายแล้วจะไปไหน ?
ฉะนั้น สมควรดำเนินชีวิตที่ยังเหลืออยู่ด้วยความไม่ประมาท หมั่นละอกุศลกรรม บำเพ็ญกุศลกรรมบท หรือไม่
เชิญพิจารณานะครับ
อนุโมทนาเจ้าของกระทู้ ลูกกตัญญู ด้วยนะครับ

#5
โพสต์เมื่อ 07 August 2010 - 11:25 PM
คนส่วนใหญ่อาจจะไม่เข้าใจว่า เมื่อคนใกล้ตาย โดยทั่วไปจะมีลักษณะอารมณ์ 3 อย่างเกิดขึ้น ปรากฏเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิต ที่จะชักนำให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ
1. กรรมารมณ์ เป็นอารมณ์ของกรรมที่ตน เคยกระทำไว้ มาปรากฏให้เห็นในขณะจิตที่กำลังใกล้ตาย เช่น ถ้าตนเคยฆ่าวัวเพื่อขายเนื้อเป็นประจำ ภาพที่ตัวเองเคยฆ่าจะมาปรากฏ เคยทะเลาะเบาะแว้ง ด่าพ่อว่าแม่ หรือดื่มเหล้าเป็นปกติ ลักขโมยของเป็นปกติ ภาพเหล่านี้จะมาปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนกับที่ตัวเคยทำไว้ไม่ผิด เพี้ยน แล้วจิตก็ยึดเอาภาพเหล่านั้นเป็นอารมณ์ กรรมารมณ์นี้จะมีผลต่อจิตที่จะทำให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ
(รูป)
2. กรรมนิมิตตารมณ์ หากกรรมารมณ์ไม่ปรากฏให้คนที่ใกล้จะตายเห็น ก็จะมีกรรมนิมิตตารมณ์ปรากฏให้เห็น ได้แก่ อุปกรณ์ที่ตนใช้กระทำดีหรือชั่วในอดีตมาปรากฏให้เห็น เพราะตามธรรมดาในการประกอบกรรมทุกชนิด ส่วนมากจะมีอุปกรณ์เครื่องมือ เช่น ฆ่าวัว ก็ต้องมีมีด ค้อน เป็นต้น เป็นเครื่องมือ หรือทำบุญก็จะมีไทยธรรม มีเครื่องใช้ไม้สอยในการประกอบบุญ เช่น ขันใส่ข้าว ทัพพีตักอาหารใส่บาตร เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้จะมาปรากฏเป็นกรรมนิมิตในขณะจิตใกล้จะดับ ซึ่งภาพที่เห็นจะแจ่มชัดเพียงใด สุดแต่ใครจะทำดีชั่วด้วยสิ่งใด บ่อยมากเพียงใด เมื่อจิตยึดหน่วงไว้เป็นอารมณ์ ภาพเหล่านั้นจะมีผลต่อความหมองหรือใสของใจ
3. คตินิมิตตารมณ์ หากกรรมนิมิตตารมณ์ไม่ปรากฏ คตินิมิตตารมณ์จะปรากฏให้เห็น ได้แก่ นิมิต ต่างๆ ที่จะบ่งบอกถึงภพภูมิที่ตนจะต้องไปเกิด ปรากฏให้เห็นเด่นชัด บางทีก็เป็นภาพที่ตนไม่เคยเห็นมาปรากฏ แต่บางทีก็เป็นภาพที่ตนเคยเห็นครั้งที่เป็นมนุษย์มาปรากฏ เช่น ภาพสัตว์หรือมนุษย์ เป็นต้น
ส่วนใหญ่เราไม่อาจจะรู้ได้ว่า ชีวิตหลังความตาย ตายแล้วไปไหน ยกเว้นคนที่เห็นคตินิมิตตารมณ์ ชัดเจน เช่น เห็นภาพที่มืดดำมีไฟลุกโชนเป็นสีดำ มีนายนิรยบาล รูปร่างน่ากลัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ถือเครื่องทัณฑ์ทรมานต่างๆ พอจะคาดคะเนได้ว่า คติของผู้เห็นต้องไปสู่นรก ส่วนจะขุมไหนก็แล้วแต่กรรมของ ผู้กระทำ เมื่อคตินิมิตตารมณ์ปรากฏเช่นนั้น ผู้ที่ใกล้ตาย ก็จะเกิดความสะดุ้งกลัว ตัวสั่น ร้องเสียงดังเอะอะโวยวาย มือไขว่คว้าอากาศ ปัดป้องไปมา ทำท่าเหมือนกลัวอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมาก
หรือบางคนคตินิมิตตารมณ์ เห็นเป็นภาพสถานที่แห่งหนึ่งที่มีความสวยงาม มีผู้คนที่สวยงาม สวม ชุดที่สวยงาม มีเครื่องประดับอันวิจิตรอลังการ มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มเบิกบานอย่างมีความสุข มีเสียงดนตรีที่ไพเราะ ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เมื่อภาพเหล่านี้มาปรากฏ คนใกล้ตายยินดีเพลิดเพลินกับภาพเหล่านั้น ย่อมเกิดความโสมนัส ใบหน้าดูผ่องใส มีรอยยิ้มละไม ตายด้วยอาการสงบ คตินิมิตที่คนใกล้ตายเห็นนั้น ย่อมแสดงว่า ไปเกิดบนสวรรค์
บางคนมีคตินิมิตมาปรากฏหลายอย่าง เพราะทำบุญปนบาป วัดก็เข้า เหล้าก็กิน ทำชั่วสลับดีตาม ประสาชาวบ้านทั่วไป เมื่อใกล้ตาย คตินิมิตจะปรากฏให้เห็นหลายอย่าง ทั้งฝ่ายสุคติ และทุคติ เมื่อเป็น เช่นนี้คตินิมิตที่ปรากฏหลังสุดจะมีกำลังมากกว่า จิตผู้ตายก็จะหน่วงเป็นอารมณ์ แล้วกายละเอียดก็หลุดไปสู่คตินิมิตสุดท้ายที่ปรากฏ
อารมณ์ทั้ง 3 อย่างนี้จะเกิดแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทุกผู้ทุกคน ไม่ยกเว้นว่า จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดียรัจฉาน อารมณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นในขณะจิตที่เร็วมาก ยกเว้นบางคนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตาย จึงกลายเป็นสัมภเวสีที่ล่องลอยไปมาหาที่เกิด แต่ถ้านึกถึงบุญที่ตนเคยทำได้ บุญก็จะนำไปสู่สุคติ หากบาปอกุศลตามมาทัน ก็ต้องถูกยมทูตพาตัวไปให้พญายมราชตัดสินคดีความต่อไป
เมื่ออารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก่อนที่จิตจะออกจากร่าง จะมีอาการหายใจหอบแรงๆ ที่เรียกว่า 3 เฮือกปรากฏให้เห็น บางท่านอาจจะมีอาการเฮือกให้เห็นเด่นชัด บางท่านก็เห็นแบบแผ่วเบา บางท่าน ก็ไม่เห็น ก็แล้วแต่อารมณ์ในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร อาการ 3 เฮือกที่ปรากฏนี้ เป็นอาการของจิตที่จะหลุดออกจากขั้วต่อกาย และจิตกำลังเดินทางตามฐานทั้ง 7 หลุดออกจากกายหยาบ เป็นอันว่า การตายนั้นสมบูรณ์แล้ว ปฏิสนธิจิตก็เกิดเป็นกายใหม่ทันที(รูป)
1.3.3 จิตหมองหรือใส รหัสผ่านเดินทางสู่ปรโลก
นักศึกษาได้เรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรมมาแล้วว่า มีผลต่อการเดินทางไปสู่ปรโลก ทุกการกระทำของคนเราไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา ทางใจ ล้วนมีผลต่อความคิด คำพูด และการกระทำทั้งสิ้น เพราะการกระทำนั้นจะถูกเก็บบันทึกไว้ด้วยเครื่องบันทึกภาพที่ดีที่สุดในโลก มีความจุที่ไม่มีประมาณ คือ ใจของเรานั่นเอง เมื่อใกล้จะหลับตาลาโลก ภาพแห่งการกระทำทั้งหมดจะกรอกลับมาฉายเป็นภาพให้เราเห็นเป็นกรรมนิมิตตารมณ์ ดังกล่าวมาแล้ว ภาพแห่งการกระทำเหล่านั้น มีเราเป็นผู้เห็นเพียงคนเดียว คนที่มาเยี่ยมรอบเตียงผู้ป่วยเป็นเพียงผู้ให้กำลังใจเท่านั้น
ถ้าหากภาพที่มาฉายให้เห็น เป็นภาพแห่งความดีงามที่ได้สั่งสมเอาไว้ครั้งที่ยังแข็งแรง จะทำให้ใจผ่องใส และเป็นเหมือนรหัสผ่านไปสู่สุคติภูมิ ตรงกันข้าม ถ้าภาพที่มาฉายให้เห็น เป็นภาพของการกระทำบาปอกุศล มีผลทำให้ใจเศร้าหมอง เป็นเหตุให้นำไปสู่ทุคติภูมิ ดังพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ใน วัตถูปมสูตร ว่า
จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้
จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้
เมื่อละโลกใจหมองต้องไปอบาย สำหรับผู้ที่ทำบาปตลอดชีวิต ก่อนตายนึกถึงภาพดีๆ ไม่ออกเลย พอกายหลุดออกจากร่าง ก็จะถูกดูดไปภพภูมิที่เหมาะสมแก่กรรมที่ชอบทำตอนเป็นมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ ตายไปขณะจิตที่เศร้าหมอง คตินิมิตดำมืด กายละเอียดจะถูกดูดไปสู่มหานรกขุม 5 ที่มีเปลวไฟนรกดำสนิท มีความร้อนแรงกว่าบนโลกมนุษย์หลายล้านๆ ๆ เท่า สัตว์นรกเปลือยกาย ถูก นายนิรยบาลที่ตัวใหญ่มาก มีผิวดำสนิท จับขึงพืด แล้วกรอกน้ำกรดสีดำร้อนแรงเข้าไปในปาก น้ำกรดนั้นจะกัดกินละลายสัตว์นรกจนขาดใจตาย พอตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ ถูกจับกรอกอย่างนี้ยาวนานเป็นหลาย ล้านๆ ๆ ปี
เมื่อละโลกใจไม่หมองไม่ใสไปยมโลก สำหรับผู้ที่ละโลกแล้วใจไม่หมองไม่ใส คือ ก่อนตายภาพแห่ง ความชั่ว หรือความดี ยังไม่มีฝ่ายใดที่จะส่งผลชัดเจนกว่ากัน เมื่อตายแล้วกายละเอียดก็ออกจากกายหยาบ วนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์ เนื่องจากตนไม่เคยศึกษาเรื่องความจริงของชีวิตหลังความตาย จึงทำอะไรไม่ถูก ก็วนเวียนไปเยี่ยมญาติตามที่ต่างๆ แต่ไม่สามารถสื่อสารกันได้ วนเวียนจนครบ 7 วัน ที่ต้อง 7 วัน เพราะ เป็นระยะเวลาที่เปิดโอกาสให้นึกถึงบุญให้ได้
เมื่อครบ 7 วัน ถ้านึกถึงบุญไม่ออก เพราะว่าใจสับสน หรือไม่ค่อยทำบุญ ผู้ตายก็จะกลับไปที่เดิมที่ตนเองเสียชีวิต เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่จากยมโลกที่เราเรียกว่า ยมทูต มีลักษณะผมหยิก ตัวดำ ตาโปน นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง จะมารับตัวไป โดยวิธีการต่างๆ เช่น ล่ามโซ่ตรวน หรือใช้อาวุธคุมไปเฉยๆ แล้วแต่ความถือตัวของผู้ตาย หากเป็นพวกนายทหารมียศมาก ไม่เชื่อฟังก็จะต้องใส่โซ่ตรวนล่ามไปยมโลก หากดิ้นรนขัดขืน ก็จะถูกทุบตี ทำร้าย อย่างไม่มีปรานี
เมื่อไปถึงยมโลก เจ้าหน้าที่จะให้รอขานชื่อ เพื่อรอรับการพิพากษาตัดสินบุญบาปจากพญายมราช เมื่อได้เวลาตัดสิน ผู้ตายจะมานั่งคุกเข่าหน้าบัลลังก์ ต่อหน้าพญายมราช ขณะที่ตัดสินนั้นภาพกรรมดีและกรรมชั่วจะมาปรากฏหน้าบัลลังก์ ซึ่งผู้ตายไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อพิพากษาแล้ว พบว่ามีบัญชีบุญมากกว่าบัญชีบาป ก็จะตัดสินให้ไปสุคติภูมิ ส่วนใหญ่จะได้ไปภูมิต่ำ หรือถ้าตัดสินว่า บัญชีบาปมากกว่า จะต้องถูกลงโทษในทุคติภูมิ ถ้าโทษไม่หนักมากอาจจะถูกทรมาน ณ ที่ยมโลกนั้นเลย หรือไปเป็น เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน หรือลงมหานรก แล้วแต่ความหนักเบาของบาป
เมื่อละโลกใจใสก็ไปสวรรค์ สำหรับผู้ที่สั่งสมคุณงามความดีอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต แม้จะอยู่บนเตียงผู้ป่วย อาการดูน่าหนักใจ แต่ไม่หนักใจ เพราะใจคุ้นกับความดีที่ตนได้ทำ จะตรึกระลึกนึกถึงบุญได้ ภาพแห่งความดีงามก็จะทำให้ใจผ่องใส ละโลกไปด้วยอาการสงบ เมื่อตื่นขึ้นมากายละเอียดก็จะเปลี่ยนเป็นกายทิพย์ อาจจะไปเกิดกลางวิมาน ในสุคติภูมิ หรือมีราชรถมารอรับกลับไปสุคติภูมิ ก็แล้วแต่กำลังบุญที่สั่งสมไว้
สรุปว่า ปรโลกเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องไป เราไม่ควรปฏิเสธว่า สิ่งที่เรามองไม่เห็น แปลว่าสิ่งนั้นไม่มี ทางที่ดีควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ศึกษาเรื่องเหล่านี้ก่อน หรือแม้บางท่านจะไม่เชื่อจริงๆ ก็ขอให้เผื่อเหนียว ไว้ก่อน แต่สำหรับนักศึกษาผู้มีสัมมาทิฏฐิก็ควรเชื่อผู้รู้อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้เป็นบรมครูของมนุษย์และเทวดา ชีวิตก็จะปลอดภัยและมีชัย ไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานในที่สุด
เรามาศึกษาอัธยาศัยของมนุษย์กันก่อน มนุษย์มีความประพฤติดี หรือกระด้าง หรือประณีต แตกต่างกันออกไป พอจะแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 ชอบใจในการบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ หมั่นทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนาอยู่ไม่ขาด เมื่อใกล้จะละโลกสามารถนึกถึงบุญที่ตนกระทำไว้ได้ง่าย เพราะมีใจชุ่มอยู่ในบุญเป็นปกติ ภาพ กรรมนิมิตก็จะมาปรากฏให้เห็นชัดเจน ละโลกไปแล้วก็ไปสู่สุคติ
ประเภทที่ 2 ชอบทำทั้งกุศลและอกุศลปะปนกันไป วัดก็เข้า สัตว์ก็ฆ่า สุราก็ดื่ม เมื่อใกล้จะละโลก มีสติดี มีคนใกล้ชิดให้กำลังใจ พูดให้ตามระลึกนึกถึงความดีที่ทำไว้ได้ การช่วงชิงภพก็มีโอกาสที่จะเดินทางไปสู่สุคติได้ แต่คนป่วยส่วนใหญ่มักจะมีเวทนากล้า จะนึกอะไรไม่ค่อยออก หากไม่มีญาติพี่น้องให้สติ โอกาส ที่จะไปทุคติก็เป็นไปได้ แต่โดยส่วนมากที่ทำทั้งบุญและบาปก้ำกึ่งกัน มักจะต้องไปยมโลกเพื่อรอตัดสินบุญบาป ดังที่กล่าวมาแล้ว
ประเภทที่ 3 ชอบทำอกุศลมากกว่าทำกุศล เป็นคนประเภทใช้บุญเก่า ไม่เห็นความสำคัญของการ ทำบุญ มีความเชื่อมั่นตนเองว่า ประสบความสำเร็จมาได้ทุกวันนี้ เพราะหนึ่งสมองสองมือ ด้วยความสามารถ ของตนเอง การมีชีวิตอยู่ก็สุขสบาย ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และยังช่วยเหลือทำประโยชน์ให้สังคมด้วย ชีวิตอย่างนี้ก็มีสุขแล้ว ไม่เห็นต้องทำบุญอะไรเลย ก็ทำไปตามประเพณี ทำสงเคราะห์สังคมบ้าง แต่เรื่องศีลก็ไม่ได้สนใจ ยังดื่มเหล้าประจำ สังสรรค์กับเพื่อน ก็มีโอกาสทำอกุศลอย่างอื่นง่าย เพราะไม่ได้สนใจ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอใกล้จะละโลกจึงนึกถึงบุญไม่ออก คนเราถ้าไม่ทำบุญบ่อยๆ จนคุ้นชินโอกาสให้นึกถึงบุญออกนั้นยาก บาปจะได้ช่องแทรกแต่ภาพกรรมนิมิตที่ทำเป็นประจำ แม้หมู่ญาติจะให้สติตอกย้ำระลึกถึงบุญ โอกาสจะนึกได้ก็ไม่ใช่ง่าย เพราะตัวเองไม่เคยมีความเชื่อ โอกาสไปอบายก็มาก
ประเภทที่4 ชอบทำอกุศลอย่างเดียว เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อเรื่องบุญ บาป นรก สวรรค์ กฎแห่งกรรม จึงไม่ขวนขวายในการทำความดี ประกอบแต่กรรมชั่วเป็นนิตย์ ก่อนตายนึกถึงบุญไม่ออก ภาพบาปที่ตนกระทำปรากฏชัดเจน ครั้นละโลกไป จิตก่อนตายย่อมเศร้าหมอง โอกาสจะไปอบายก็มีมาก
นักศึกษาพอจะทราบแล้วว่า อัธยาศัยโดยทั่วไปของบุคคลมี 4 ลักษณะ เราก็กลับมาพิจารณาตัวเองว่า เราอยู่ในประเภทใด และควรจะทำตนเองให้จัดอยู่ในประเภทใด เพราะชีวิตนี้เราเลือกที่จะไปปรโลกได้ เลือกที่จะเป็นชาวสวรรค์หรือสัตว์นรกก็ได้ ต่อไปนักศึกษาจะได้เรียนรู้ว่า เราทำดีได้อย่างไร
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#6
โพสต์เมื่อ 08 August 2010 - 01:49 AM
น่าจะเป็นประโยชน์กับเจ้าของกระทู้บ้างนะคะ เข้าไปโหลดอ่านได้ค่ะ...
...(ขอบพระคุณ สำหรับ link eBook ของคุณDd2683 ด้านล้างค่ะ)...

#7
โพสต์เมื่อ 08 August 2010 - 07:25 AM
ส่งบุญ
คู่มือจัดงานบำเพ็ญกุศลและสลายร่างผู้วายชนม์
เสียดาย...หากญาติผู้ตายไม่ได้อ่าน

http://www.kalyanami...tail.php?id=191
#8
โพสต์เมื่อ 08 August 2010 - 07:54 AM
อนุโมทนาบุญกับคำตอบข้างบนทุก ๆ ท่านเลยค่ะ สาธุ ๆ ๆ
โปรจริง ๆ น่าศึกษาเรียนรู้มาก ๆ
หวังว่าจขกท คงรู้สึกดีขึ้นมากแล้วนะคะ และทำใจใส ๆ ทำบุญให้คุณพ่อค่ะ
คืนนี้(วันนี้) นั่งสมาธิกับหลวงพ่อและหมู่คณะก็จะร่วมอุทิศส่วนบุญให้คุณพ่อคุณ
ด้วยค่ะ เลิกเศร้านะคะ "หม้อที่แตกแล้วเอาคืนไม่ได้ค่ะ สักวันหนึ่งเราก็จะเป็นเช่นเดียวกัน"ค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 08 August 2010 - 04:01 PM

#10
โพสต์เมื่อ 09 August 2010 - 04:51 PM
บางตำรา ก็บอกว่า ดวงจิตจะหลุดลอยไปเกิดใหม่ทันที
บางตำรา ก็บอกว่า จะต้องวนเวียนสักพัก 7 วัน จึงโดนไปพิพากษา
บางตำรา ก็บอกว่า ต้อง 49 วัน หรอกจึงจะไปสู่สุขคติได้
ส่วนบางตำรา ก็บอกว่า แล้วแต่เค้าห่วงอยู่หรือไม่?
ทั้งหมดที่ว่ามาล้วนถูกต้องทั้งสิ้นน่ะครับ ขึ้นบาปหรือบุญที่กระทำมา
หากกระทำบาปหนักไว้มาก หรือ กระทำบุญเป็นประจำสม่ำเสมอ เวลาเมื่อตายแล้ว จิตจะถูกดูดไปยังนรก หรือ สวรรค์ทันทีน่ะครับ
หากกระทำบาปก็ไม่มาก บุญก็ไม่มาก บาปก็ยังไม่พอลงนรกทันที บุญก็ไม่พอขึ้นสวรรค์ทันที อย่างนี้ต้องวนเวียน 7 วัน ก็จะมียมทูตมาเอาตัวไปพิพากษา ช่วงนี้ถ้าทำบุญ 7 วันให้ ยังมีโอกาสเปลี่ยนภพภูมิให้ดีขึ้นได้ครับ
ส่วน 49 วัน ก็เป็นช่วงที่กำลังจะเข้าไปฟังคำพิพากษา
ส่วนถ้ามีห่วงกังวล หากทำบุญไว้มาก แต่ก่อนตายห่วงกังวล ความกังวลก็จะเป็นตัวฉุดไม่ให้ขึ้นสวรรค์สูงๆ ครับ
#11
โพสต์เมื่อ 11 August 2010 - 02:44 PM