
ดูดวงได้จริงหรือเปล่า
#1
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 01:24 PM
1. ดูได้จริงหรือเปล่า เขารู้ได้ยังไง ถือเป็นการหลอกลวงหรือไม่
ถ้าดูมั่ว ๆ แล้วจะมีวิบากกรรมอะไร
2. ยึดเป็นอาชีพเหมาะสมหรือไม่ ถือเป็นสัมมาอาชีวะหรือไม่
ขอบคุณค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 01:51 PM
001-81-80-3388-8839
I can speak thai.
#3
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 03:50 PM
ไฟล์แนบ
#4
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 04:12 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#5
*ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 04:25 PM
ศาสตร์พวกนี้ก็เหมือนกันครับ เอาข้อมูลมาเทียบกับ database แล้ว query ฟิลด์ที่ต้องการออกมาครับ ไม่งั้นคอมก็คงพยากรณ์ไม่ได้หรอกครับ
#6
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 06:13 PM
สาธุ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#7
*ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 10:50 PM
#8
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 11:31 PM
ขอแก้เป็น มีวิบากกรรม เนื่องจากเป็นการเบี่ยงเบนให้ผู้อื่นมีความเห็นที่ไม่ถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง และยังเป็นเหตุให้มีเชื้อแห่งความลุ่มหลงงมงาย คือ โมหะ ทำให้ยึดมั่นถือมั่นในความไม่รู้ คือ อวิชชา อย่างเหนียวแน่น จนเป็นเหตุให้เข้าสู่กระแสเบื้องบน คือ นิพพาน ได้ยากครับ
#9
*ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 11 March 2006 - 12:58 AM
ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถทรงประสูติ ยังให้พวกพรามหณ์มาทำนายให้เลย
แม้แต่ในเรื่องพระเตมีย์ก็มีการทำนายเหมือนกัน
ส่วนตัวแล้วคิดว่า การเชื่อหมอดู ควรเลือกเชื่อเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ
เช่นหมอทำนายว่า ปีนี้จะได้ลาภก้อนใหญ่ ก็จะเร่งขยันทำมาหากิน
ถ้าหมอบอกว่า ปีนี้จะลำบาก ก็จะอดออมและขยันมากขึ้น เป็นต้น
#10
โพสต์เมื่อ 11 March 2006 - 05:47 AM
ฟังมองดูแล้วจะดีจะร้ายแค่ไหน ปรับมาใช้ นำมาใช้ได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่เค้าบอกนะค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 11 March 2006 - 04:23 PM
แต่ถ้าหมอดู หรือหมอบ้าน ไม่ซื่อสัตย์ในอาชีพก็ย่อมจะใช้ในทางบาปอกุศลเป็นธรรมดาครับ ซึ่งมิจฉาอาชีพนั้นก็มีด้วยกันทุกอาชีพแหละครับไม่เฉพาะแต่อาชีพหมอดูหรอกครับ
ในอดีตผู้ที่มีความรู้ทางโหราศาสตร์ที่เก่งๆ และชำนาญในโหราศาสตร์ก็มีอยู่หลายองค์ทีเดียว เพียงแต่ท่านไม่ติดในวิชชานั้น เพราะวิชชาในการดูดวงดาวนั้นเป็นวิชาหนึ่งในศาสตร์ของวิชชาดูจักวาลครับ แต่ท่านจะใช้ในการดูว่าเวลาใดจะมีเหตุเภทภัยใดๆ หรือไม่เท่านั้นเพื่อความไม่ประมาทครับ และเพื่อสงเคราะห์โลก ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะครับ
เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี),สมเด็จพระยาปวเรศ วริยาลงกรณ์, ร.4 , สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทัย)วัดสระเกศ,สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวิชรญาณวโรรส
ในอดีตผู้ที่จะเรียนวิชาโหราศาสตร์ได้นั้นจะมีอยู่เพียง 2 วรรณะคือ วรรณกษัตริย์ และวรรณะพราหมณ์ เท่านั้น โดยเฉพาะวรรณะกษัตริย์ถือเป็นวิชาภาคบังคับให้ต้องศึกษา จะละทิ้งเสียมิได้แม้เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อทรงพระเยาว์ก็ได้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในศิลปศาสตร์ 18 แขนง ดังนั้นปัจจุบันนี้การที่จะมีผู้นำวิชาความรู้ไปใช้ในทางที่ผิดก็ย่อมต้องมีบ้างเป็นธรรมดา ไม่เฉพาะวิชาโหราศาสตร์หรอกครับ วิชาดีมีอยู่เสียแต่คนมันเลวมองไม่เห็นคุณค่าของวิชาใช้วิชาไปในทางที่ผิดเท่านั้นแหละครับ
ในวิชาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย คณิต การตลาด บัญชี วิศวะ สถาปัตย์ โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น ถ้าศิษย์คนใดทำเลวนำวิชาไปใช้ในทางที่ชั่วแล้วจะไปโทษวิชาว่าไม่ดีได้อย่างไรหละครับ จะไปว่าครูผู้สอนไม่ดีได้หรือ? ความคิดตำหนิครูบาอาจารย์แบบนี้ศิษย์ที่ดีเขาคิดกันไม่ได้หรอกครับ นอกเสียจากศิษย์นอกครูไม่มีความรู้แล้ววิจารย์ไปเท่านั้นแหละครับ อุปมาเหมือนคนไม่รู้รสแกงเที่ยววิจารณ์รสแกงนั่นแหละครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#12
โพสต์เมื่อ 11 March 2006 - 08:09 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ

#13
*ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 12 March 2006 - 12:20 PM
ปัจจุบันหมอดูเป็นที่นิยมเพราะปุถุชนขาดที่พึ่งบางกลุ่ม ต้องการไขปริศนาตัวเอง โดยเชื่อว่าหมอดูเป็นสื่อกลางในการให้คำตอบแก้ปัญหา แต่ที่จริงเป็นการพอกโมหะจริตของทั้งสองฝ่ายดังที่เพื่อนๆกล่าว โดยไม่รู้ตัวหรืออาจรู้เพียงแต่บางคนยังเห็นแก่ลาภจนลืมตัว
ถามว่าเป็นสัมมาอาชีวะหรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่
ครั้นกัลยาณมิตรนำความรู้ไปสงเคราะห์ให้หมอดู ก็มักจะยากที่จะเปิดใจรับ เพราะเกรงว่าตนจะเสื่อมลาภสักการะ
ศาสตร์ของหมอดูปัจจุบันอาจแตกต่างจากโหราจารย์ในพุทธกาลที่ท่านร่ำเรียนไตรเพท เพื่อนำความรู้มาใช้ตามหน้าที่ให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ
เราเองเคยได้ยิน 2เรื่องคร่าวๆ เกี่ยวกับหมอดู
เรื่องแรก เป็นหมอดูซึ่งมีวิชา เมื่อนำมือเคาะกระโหลกคนตายจะทราบทันทีว่าคนเหล่านั้นตายแล้วไปอยู่ภพใด ภายหลังเคาะกระโหลกหนึ่งปรากฎว่ามืดแปดด้านไม่ทราบว่าเจ้าของกระโหลกนี้ไปอยู่ภพใด ครั้งทราบภายหลังว่าเจ้าของกระโหลกนี้เป็นพระอรหันต์เจ้าหมดซึ่งกิเลส จึงรู้ว่าวิชาของตนนั้นยังไม่ถึงที่สุด จึงเผาตำราหมอดูทิ้ง ลาออกบวชศึกษาพระธรรม
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องหมอดูทำนายสามเณรรูปหนึ่งว่า จักต้องสิ้นชีพก่อนตะวันตกดินในวันนี้ สามเณรนั้นก็บำเพ็ญสมณะธรรมตามปกติ ช่วงบ่ายเดินออกไปตามคันนา เจอปลาหนึ่งตัวดิ้นอยู่ในหนองน้ำที่ใกล้แห้งเหือด เห็นแล้วจึงนำขันช้อนปลาไปปล่อย หลังปล่อยจึงใช้ขันครอบศีรษะเนื่องจากอากาศร้อนมาก ระหว่างเดินกลับวัดเดินผ่านต้นไม้ งูบนต้นไม้จึงพุ่งลงมากัดที่ศีรษะแต่ไปกัดขันแทน สามาเณรจึงรอดจากภยันตรายในครั้งนี้เพราะปลาที่ตนไปปล่อยเป็นปลาโพธิสัตว์จึงได้ผลบุญปัจจุบันทันตาเห็น ภายหลังหมอดูทราบว่าตนทายผิดจึงขอลาออกบวช
เราเองก็ไม่ชำนาญทางปริยัติ หากกัลยาณมิตรท่านใดค้นคว้าเรื่องเล่านี้ได้ โปรดสงเคราะห์และช่วยแก้ไขหากข้อความไม่ตรงด้วย
#14
*ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 12 March 2006 - 07:49 PM
#15
โพสต์เมื่อ 12 March 2006 - 08:56 PM
อารามรุกขฺเจตฺยานิ มนุสฺสา ภยตชฺชิตา
เนตํ โข สรณํ เขมํ เนตํ สรณํมุตฺตมํ
เนตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
โย จ พุทธญฺจ ธมฺมญจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ
ทุกฺขํ ทกฺขสมุปฺปาทํ ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ
อริยญฺจฏฐํคิกํ มคฺคํ ทุกฺขูปสมาคามินํ
เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ
เอตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
ย่อมยึดเอาภูเขาบ้าง ป่าบ้าง อารามบ้าง ต้นไม้ที่เป็นเจดีย์บ้าง
ว่าเป็นที่พึ่ง นั่นไม่ใช่สรณะอันเกษม นั่นไม่ใช่สรณะอันอุดม
เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้นแล้ว ไม่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ส่วนผู้ใดยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง
เห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบของตน
คือ เห็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ
ซึ่งยังบุคคลให้ถึงความสงบแห่งทุกข์
สรณะนั่นแลเกษม สรณะนั่นแลอุดม
เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ท้ายที่สุดนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพึงอาศัยสรณะอันสูงสุดเกษมศานต์อย่างไม่มีอื่นใดยิ่งกว่า เป็นนิยยานิกธรรมนำพาตนเองและหมู่สัตว์ให้ล่วงพ้นจากบ่วงแห่งมาร อีกทั้งเครื่องร้อยรัดทั้งหลายในสังสาร และพึงเป็นผู้ถึงพร้อมบริบูรณ์ด้วยพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ญาณรัตนะ อันขึ้นตรงต่อธรรมภาคขาวที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทินโดยส่วนเดียว ทั้งในภพนี้และตลอดไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญฯ
ไฟล์แนบ
#16
โพสต์เมื่อ 13 March 2006 - 02:54 PM
ดูดวงไปก็ฟุ้งซ่าน เพ้อฝันหรือกังวลกับสิ่งที่ไม่แน่นอน นั่งสมาธิดีกว่า ดีแน่นอน
#17
โพสต์เมื่อ 13 March 2006 - 09:57 PM
ภาพสวยจังเลยค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#18
โพสต์เมื่อ 14 March 2006 - 09:47 PM
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#19
โพสต์เมื่อ 15 March 2006 - 06:50 PM
เช่นหมอทำนายว่า ปีนี้จะได้ลาภก้อนใหญ่ ก็จะเร่งขยันทำมาหากิน
ถ้าหมอบอกว่า ปีนี้จะลำบาก ก็จะอดออมและขยันมากขึ้น เป็นต้น
มีวิธีอื่นอีกมากที่เสริมสร้างกำลังใจ อยู่ที่ปัญญาว่าจะใช้อย่างไร อย่านำความหวังไปฝากไว้กับสิ่งที่เลื่อนลอยนะครับ มันมีวิบากกรรม ตามที่คุณเกียรติก้องธรณินทร์บอกครับ
วิชาโหราศาสตร์ ก็มีเจ้าของวิชาของเขาอยู่ โดยเป็นทั้งศาสตร์การคำนวณและพยากรณ์ครับ โดยนำวิบากกรรมที่เราทำไว้มาคำนวณ แต่ยังอย่ในกระแสแห่งโมหะอยุ่
พระรัตนตรัยดีที่สุดครับ คุณก็มาเจอวิชาแก้ดวง แก้กรรมที่ดีที่สุดในโลกแล้วนี่ครับ จะไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ทำไมครับ
#20
โพสต์เมื่อ 16 March 2006 - 10:00 AM
#21
โพสต์เมื่อ 29 June 2007 - 01:09 PM