นางสุปปิยา
เอตทัคคะในฝ่ายผู้อุปัฏฐากภิกษุไข้
นางสุปปิยา เกิดในตระกูลหนึ่ง ในกรุงพาราณสี เมื่อเจริญวัยแล้วได้สามีผู้มีฐานะใกล้
เคียงกัน นางเป็นผู้มีอุปนิสัยศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแน่วแน่
ต่อมา เมื่อพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร เสด็จจาริกไปยังกรุงพาราณสี
นางได้ทราบข่าวการเสด็จมาจึงเข้าเฝ้าพร้อมกับพุทธบริษัทอื่น ๆ ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วได้
บรรลุโสดาปัตติผล
วันหนึ่งนางได้ไปฟังธรรมที่วัด และก่อนที่จะกลับบ้านได้เดินเยี่ยมเยือนพระภิกษุภายใน
วัดนั้น พบพระภิกษุอาพาธรูปหนึ่ง ได้ถามอาการของท่านแล้วจึงถามต่อไปว่า:-
“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง ?”
“อุบาสิกา อาตมาต้องการอาหารที่มีเนื้อจ้ะ”
“เอาเถาะ พระคุณเจ้า ดิฉันจะจัดมาถวายตามที่พระคุณเจ้าต้องการ”
เฉือนเนื้อตัวเองถวายพระ
วันรุ่งขึ้น นางได้ใช้ให้ทาสีไปหาซื้อเนื้อที่ตลาด ปรากฏว่าวันนั้นทั่วทั้งตลาดไม่มีเนื้อ
เหลืออยู่เลย นางทาสีจึงกลับมามือเปล่า อุบาสิกาเมื่อไม่มีเนื้อจะปรุงอาหารถวายพระก็ร้อนใจ
ว่า:-
“เราได้บอกกับพระคุณเจ้าไว้ว่า จะจัดอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อมาถวาย ถ้าเราไม่มีส่งไป
พระคุณเจ้าก็จะลำบาก ควรที่เราจะส่งเนื้ออย่างใดอย่างหนึ่งไปถวาย”
เมื่อนางคิดดังนั้นแล้วก็เข้าไปในห้อง ใช้มีดเฉือนเนื้อที่ขาของตนเองออกมาก้อนหนึ่ง
แล้วส่งให้นางทาสีจัดการปรุงอาหาร พร้อมทั้งสั่งให้นำไปถวายพระคุณเจ้าที่วัด ถ้าพระคุณเจ้า
ถามถึงก็ให้บอกว่าอุบาสิกาเป็นไข้
นางทาสีก็ทำตามที่อุบาสิกาผู้เป็นนายสั่งทุกประการ
พระบรมศาสดาเมื่อทรงทราบว่านางสุปปิยาไม่สบาย ครั้นวันรุ่งขึ้นจึงพร้อมด้วยภิกษุ
สงฆ์เป็นบริวารเสด็จไปยังบ้านของนางสุปปิยาอุบาสิกา นางเมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จ
มา ได้ปรึกษากับสามีว่า ตนไม่สามารถที่จะเข้าเฝ้าถวายการต้อนรับได้ ขอให้สามีจัดการกราบทูล
อาราธนาพระบรมศาสนาให้ประทับนั่ง ณ ที่อันควรแล้วถวายพระกระยาหาร
พระบรมศาสดา เสด็จมาถึงบ้านของนางสุปปิยา ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่จัดไว้แล้ว
ตรัสถามถึงนางสุปปิยาว่า:-
“อุบาสก นางสุปปิยาไปไหน ?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางเป็นไข้นอนอยู่ในห้อง พระเจ้าข้า”
“จงเรียกนางมาเถิด อุบาสก”
นางสุปปิยา นอนอยู่ในห้องได้ยินพระพุทธดำรัสที่ตรัสกับสามีโดยตลอดจึงคิดว่า “พระ
บรมศาสดา ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณสงเคราะห์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งปวง คงจะทรงทราบเหตุ
เรื่องราวของเราแล้วจึงรับสั่งเรียกหา” เมื่อคิดดังนี้แล้ว เกิดปีติปราบปลื้มลืมความเจ็บปวด จึงรีบ
ลุกขึ้นจากเตียง โดยเร็วด้วยหวังจะเข้าเฝ้า ทันใดนั้น เหตุอัศจรรย์อันเกิดจากพุทธานุภาพ บาด
แผลที่ขาของนางก็หายสนิท ผิวราบเรียบไม่มีร่องรอยของบาดแผล ผิวพรรณผ่องใสยิ่งกว่าเดิม
นางยิ่งเกิดปีติศรัทธามากขึ้น รีบจัดแจงแต่งกายเรียบร้อยแล้วออกมาเข้าเฝ้า กราบถวายยังคมด้วย
เบญจางคประดิษฐ์แล้วนั่ง ณ ที่อันควรแก่นตน
พระพุทธองค์ทรงพระดำริว่า “อุบาสิกานี้ไม่สบายด้วยเหตุอุไรหนอ” ดังนี้แล้วจึงได้
ตรัสถาม นางสุปปิยา ก็ได้กราบทูลเรื่องราวที่ตนกระทำทั้งหมดให้พระพุทธองค์ได้ทรงทราบ
ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุฉันเนื้อมนุษย์
พระบรมศาสดาครั้งเสร็จกิจแล้วเสด็จกลับพระวิหารรับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วทรงตำหนิ
ภิกษุรูปนั้นเป็นอย่างมากแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ต่อมาพระบรมศาสดาขณะประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหาร เมื่อทรงสถาปนา
อุบาสิกาทั้งหลายในตำแหน่งต่าง ๆ ได้ทรงปรารภอุปนิสัยศรัทธาของนางสุปปิยาแล้ว ได้ทรง
สถาปนานางไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่า อุบาสิกาทั้งหลายในฝ่ายผู้อุปัฏฐากภิกษุไข้
เนื้อที่ภิกษุฉันไมได้ ๑๐ อย่าง
๑. เนื้อมนุษย์
๒. เนื้อช้าง
๓. เนื้อม้า
๔. เนื้อสุนัข
๕. เนื้องู
๖. เนื้อราชสีห์
๗. เนื้อหมี
๘. เนื้อเสือโคร่ง
๙. เนื้อเสือดาว
๑๐. เนื้อเสือเหลือง
สัตว์ที่ภิกษุไม่ควรฉัน ๔ ประเภท
๑. สัตว์ที่เห็นเขาฆ่า
๒. สัตว์ที่ได้ยินเขาฆ่า
๓. สัตว์ที่เขาจงใจฆ่าให้ฉัน
๔. สัตว์ที่เลี้ยงไว้เอง
แหล่งอ้างอิง http://www.84000.org/one/4/07.html

นางสุปปิยาเฉือนเนื้อตัวเองถวายพระ
เริ่มโดย ideal, Jun 18 2006 06:47 PM
มี 7 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 18 June 2006 - 06:47 PM

DMC The only one
ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก
ไม่หยุดไม่ถึงพระ ตัวหยุดนี้แหละเป็นตัวสำเร็จ
ผลไม้ดกนกชุม น้ำเย็นปลาชอบอาศัย
คติธรรม พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
#2
โพสต์เมื่อ 18 June 2006 - 07:27 PM
สัตว์ และ พืช ที่ตัดต่อพันธุกรรม บางทัศนะบอกว่าขัดต่อกฎธรรมชาติ
ไม่ทราบว่าจะขัดต่อหลักคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่ครับ
ไม่ทราบว่าจะขัดต่อหลักคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่ครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#3
โพสต์เมื่อ 18 June 2006 - 11:48 PM
สมแล้วที่เป็นคนเก่งและดี
ฉลาดในศาสตร์ทั้งปวง
ฉลาดในศาสตร์ทั้งปวง
thamma_072.p
#4
โพสต์เมื่อ 22 June 2006 - 05:08 PM
ตอบคุณ เถลิงเกียรติ
ถ้าพืช ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครองก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ถ้าสัตว์ คงคล้ายๆ พวกทดลองผสมพันธุ์ล่ะมั้งครับ พวกนี้อย่างเบาก็เคยมีในเคส Study น่ะครับ
นี่ชายคนหนึ่งเป็นนักผสมพันธุ์วัว เขามีประสบการณ์ชำนาณมากและทำเป็นประจำ แต่เขาก็สร้างบุญ โดยไปอุปฐากบำรงดาบส คนหนึ่ง วันหนึ่ง เขาเห็นดาบส มีลูกศิษย์นับถือมาก เขาจึงทำบุญแล้วอธิษฐานเลยว่า ขอให้เราวันข้างหน้าได้เป็นศาสดาเอก มีคนนับถือมากๆ
อาจารย์ได้ยินคำอธิษฐานก็ห้ามปรามว่า ถ้าเขาไม่คิดบวช เขาจะเป็นศาสดาไม่ได้หรอก แต่เขาไม่สนใจยังคงอธิษฐานเช่นนี้ เวลาทำบุญเรื่อยๆไป
จนมาในชาตินี้ บุญได้จัดสรร ให้เขาเป็นศาสดาลัทธิประหลาด คือ จับคนแต่งงานหมู่กันเอง โดยไม่รู้จักหน้าตา (อยู่ที่เกาหลี) จัดแต่งงานให้คนไปแล้วเป็นพันๆ คู่ คนที่มาแต่งงานจะต้องนับถือเขาเป็นศาสดาอีกด้วย ล่ะครับ
ถ้าพืช ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครองก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ถ้าสัตว์ คงคล้ายๆ พวกทดลองผสมพันธุ์ล่ะมั้งครับ พวกนี้อย่างเบาก็เคยมีในเคส Study น่ะครับ
นี่ชายคนหนึ่งเป็นนักผสมพันธุ์วัว เขามีประสบการณ์ชำนาณมากและทำเป็นประจำ แต่เขาก็สร้างบุญ โดยไปอุปฐากบำรงดาบส คนหนึ่ง วันหนึ่ง เขาเห็นดาบส มีลูกศิษย์นับถือมาก เขาจึงทำบุญแล้วอธิษฐานเลยว่า ขอให้เราวันข้างหน้าได้เป็นศาสดาเอก มีคนนับถือมากๆ
อาจารย์ได้ยินคำอธิษฐานก็ห้ามปรามว่า ถ้าเขาไม่คิดบวช เขาจะเป็นศาสดาไม่ได้หรอก แต่เขาไม่สนใจยังคงอธิษฐานเช่นนี้ เวลาทำบุญเรื่อยๆไป
จนมาในชาตินี้ บุญได้จัดสรร ให้เขาเป็นศาสดาลัทธิประหลาด คือ จับคนแต่งงานหมู่กันเอง โดยไม่รู้จักหน้าตา (อยู่ที่เกาหลี) จัดแต่งงานให้คนไปแล้วเป็นพันๆ คู่ คนที่มาแต่งงานจะต้องนับถือเขาเป็นศาสดาอีกด้วย ล่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#5
โพสต์เมื่อ 24 June 2006 - 06:17 AM
นางสุปปิยาช่างมีศรัทธาแรงกล้าเหลือเกิน อ่านแล้วเสียวแทนเลย
นี่ชายคนหนึ่งเป็นนักผสมพันธุ์วัว เขามีประสบการณ์ชำนาณมากและทำเป็นประจำ แต่เขาก็สร้างบุญ โดยไปอุปฐากบำรงดาบส คนหนึ่ง วันหนึ่ง เขาเห็นดาบส มีลูกศิษย์นับถือมาก เขาจึงทำบุญแล้วอธิษฐานเลยว่า ขอให้เราวันข้างหน้าได้เป็นศาสดาเอก มีคนนับถือมากๆ
อาจารย์ได้ยินคำอธิษฐานก็ห้ามปรามว่า ถ้าเขาไม่คิดบวช เขาจะเป็นศาสดาไม่ได้หรอก แต่เขาไม่สนใจยังคงอธิษฐานเช่นนี้ เวลาทำบุญเรื่อยๆไป
จนมาในชาตินี้ บุญได้จัดสรร ให้เขาเป็นศาสดาลัทธิประหลาด คือ จับคนแต่งงานหมู่กันเอง โดยไม่รู้จักหน้าตา (อยู่ที่เกาหลี) จัดแต่งงานให้คนไปแล้วเป็นพันๆ คู่ คนที่มาแต่งงานจะต้องนับถือเขาเป็นศาสดาอีกด้วย ล่ะครับ
อ๋อค่ะพี่หัดฝัน พอดีทีมแมรี่ก็เคยได้แปลCase Study และทำ Subtitle ภาษาอังกฤษ เลยจำได้ว่าเคยออกมาแล้วเมื่อปีก่อน
ฟังเฉลยแล้วก็รู้สึกว่าความปรารถนา อธิษฐานจิตทั้งหลาย ถ้าไม่มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง นี่ก็ยึดมั่นถือมั่น/หลงผิดกันยาวเลย
QUOTE
นี่ชายคนหนึ่งเป็นนักผสมพันธุ์วัว เขามีประสบการณ์ชำนาณมากและทำเป็นประจำ แต่เขาก็สร้างบุญ โดยไปอุปฐากบำรงดาบส คนหนึ่ง วันหนึ่ง เขาเห็นดาบส มีลูกศิษย์นับถือมาก เขาจึงทำบุญแล้วอธิษฐานเลยว่า ขอให้เราวันข้างหน้าได้เป็นศาสดาเอก มีคนนับถือมากๆ
อาจารย์ได้ยินคำอธิษฐานก็ห้ามปรามว่า ถ้าเขาไม่คิดบวช เขาจะเป็นศาสดาไม่ได้หรอก แต่เขาไม่สนใจยังคงอธิษฐานเช่นนี้ เวลาทำบุญเรื่อยๆไป
จนมาในชาตินี้ บุญได้จัดสรร ให้เขาเป็นศาสดาลัทธิประหลาด คือ จับคนแต่งงานหมู่กันเอง โดยไม่รู้จักหน้าตา (อยู่ที่เกาหลี) จัดแต่งงานให้คนไปแล้วเป็นพันๆ คู่ คนที่มาแต่งงานจะต้องนับถือเขาเป็นศาสดาอีกด้วย ล่ะครับ
อ๋อค่ะพี่หัดฝัน พอดีทีมแมรี่ก็เคยได้แปลCase Study และทำ Subtitle ภาษาอังกฤษ เลยจำได้ว่าเคยออกมาแล้วเมื่อปีก่อน
ฟังเฉลยแล้วก็รู้สึกว่าความปรารถนา อธิษฐานจิตทั้งหลาย ถ้าไม่มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง นี่ก็ยึดมั่นถือมั่น/หลงผิดกันยาวเลย
The Strongest is The Gentlest!
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#6
โพสต์เมื่อ 27 June 2006 - 07:32 PM
ขอบคุณมากนะค่ะกำลังหาเรื่องมาให้อ่านอีกแล้ว จะได้เอาไปเล่าให้เพื่อนฟังอีกทีนะค่ะ
"ด้วยใจกล้าอาสา พัฒนาไม่หยุดยั้ง"
น้ำฝนลูกพระธัมฯ
#7
โพสต์เมื่อ 19 September 2006 - 01:42 PM
ถูกต้องครับ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#8
โพสต์เมื่อ 20 March 2007 - 04:01 PM
ขอกราบอนุโมทนาบุญกับคุณ Ideal ด้วยครับ สาธุ