
จำเป็นนักหรือ ที่ต้องทุ่มทำบุญมากๆ
#1
โพสต์เมื่อ 15 May 2005 - 07:26 PM
คำตอบก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ขึ้นกับความรู้ครับ ความรู้อะไร ความรู้ความเป็นจริงเกี่ยวกับโลกและชีวิต ความรู้เกี่ยวกับกฏกติกามารยาทที่แท้จริงของชีวิต
หลายคนบอกอ้าว ฉันก็รู้อยู่แล้วนี่ กติกานั้น มีอยู่ว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ทำงานมากก็ย่อมได้เงินมาก หรือเฉลียวฉลาดมาก ก็ย่อมได้เงินมามาก เมื่อได้เงินมาก็ต้องนำไปใช้ผ่อนคลายในเรื่องต่างๆ อย่างเต็มที่ให้สมกับที่เราหาเงินได้มา
คำตอบก็คือ กติกาเรื่องนี้ ถูกต้องไม่สมบูรณ์ครับ เพราะถ้าเราลองสังเกตุไปมากกว่านี้อีกสักนิด เราจะพบความจริงบางอย่าง คือ บางคนทำงานหนักตลอดชีวิต กลับมีเรื่องต้องใช้จ่ายตลอดเวลา ไม่มีเงินเหลือเก็บ มีแต่หนี้สินแทน บางคนเฉลียวฉลาด หาทรัพย์ได้มากมาย แต่เพียงแค่วันเดียวสมบัติเหล่านั้น กลายเป็นวิบัติในพริบตาด้วยภัยธรรมชาติ บางคนพอเรียนจบมา เตรียมจะใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมาอย่างเต็มที่ กลับล้มป่วยกระทันหัน กลายเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ บ่งบอกได้ชัดเจนว่า มีกติกาบางอย่างที่อยู่นอกเหนือจากที่คนทั่วๆ ไปรู้ ใช้แล้วครับ สิ่งนั้นก็คือ บุญ คือ ค่าของคน อยู่ที่ผลของบุญ บุญ อยู่เบื้องหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น อาหารที่เราทาน เสื้อผ้าที่เราใช้ บ้านที่เราอยู่อาศัย ยาที่รักษาโรคเรา เพื่อนๆ ที่มาช่วยเรา สุขภาพที่แข็งแรงของเรา และสติปัญญาของเรา ถ้าไม่มีบุญ เราจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ได้เลย
ดังนั้นตอนนี้ทุกๆ คนกำลังอยู่ในสภาวะกินบุญเก่า คือ กำลังใช้บุญเก่าของเราให้หมดไปเรื่อยๆ ในขณะที่การสร้างบุญใหม่ของพวกเราแต่ละคน โดยทั่วๆ ไปนั้นน้อยมากๆ เหตุใดผมถึงบอกเช่นนั้น เรื่องนี้ไม่คิดไม่แปลก แต่คิดแล้ว เราจะซึ้งขึ้นมาทันทีครับ ว่า.....
#2
โพสต์เมื่อ 15 May 2005 - 07:44 PM
แล้วถ้าคิดต่อไปว่า ถ้าสมมุติเรามีอายุถึง 75 ปี เราจะเห็นเลยว่า เรานอนไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลยถึง 25 ปี (ไม่คิดไม่แปลก แต่คิดแล้วจะซึ้ง) เราต้องทำงานเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ เรื่องปากท้องอีก 25 ปี โอ้โหเวลา 75 ปี กลายเป็นเวลาที่ให้เราเตรียมตัวเพื่ออนาคตข้างหน้าแค่ 25 ปีเท่านั้นเอง แล้ว 25 ปีสุดท้ายเราใช้ให้หมดไปกับอะไร ถ้าไม่ใช่การบำรุงเลี้ยงร่างกาย แสวงหาความเพลิดเพลินใจต่างๆ บางคนใช้ไปเกือบหมด 25 ปีเลยทีเดียว เพราะทำบุญแค่วันเกิด ศีลก็รักษาบ้าง ไม่รักษาบ้าง ภาวนาไม่ต้องพูดถึง นั่นมันเรื่องไกลตัว
ถ้าอย่างนี้ตลอด 75 ปีของเรา (ถ้าเราอายุถึงขนาดนั้น) เราจะได้สร้างบุญถึง 1 ปีหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ยังสงสัย ในขณะที่เรากินบุญเก่าไปทุกวัน แต่เราสร้างบุญใหม่กลับคืนมา โอ้คิดเป็นสัดส่วนแล้ว น้อยกว่า 1 ต่อ 75 เสียอีก (1 ปี ต่อ 75 ปี)
ดังนั้น สำหรับผู้ที่รู้เรื่องกฏกติกามารยาทที่แท้จริงของชีวิตแล้ว เขาจึงเข้าใจว่า บุญที่ใครๆ ว่าเขาทุ่มทำมากเกินไปนั้น จริงๆ แล้ว อาจจะยังน้อยไปด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับการใช้บุญเก่าของเขาที่ผ่านมาชั่วชีวิต และเนื่องจากเวลาเราน้อย จะเลือกทำทั้งที ต้องเลือกทำบุญใหญ่ เวลานี้ถ้าเรื่องทาน ก็ไม่มีบุญใดใหญ่กว่า การสร้างพระธรรมกายประจำตัวภายในมหาธรรมกายเจดีย์ และการสร้างเสาแก้วพันปี
ถ้าเรื่องการรักษาศีลสำหรับผู้ครองเรือนก็ต้องรักษาศีล 5 บริสุทธิ์ ศีล 8 ในบางโอกาส
และถ้าเรื่องภาวนา ก็ต้องมาเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาแหละครับ
เมื่อก่อนผมตระหนี่มาก เร่งสั่งสมทรัพย์ แต่เมื่อได้ทรัพย์มาจำนวนหนึ่ง ก็จะต้องมีเหตุให้ใช้ออกไป ไม่ได้สามารถสั่งสมได้เลย แต่เดี๋ยวนี้ ผมเลิกตระหนี่สั่งสมบุญ ใจผมก็โปร่งโล่งเบาสบายเลิกวิตกกังวลกับชีวิตอีกต่อไป
#3
โพสต์เมื่อ 15 May 2005 - 07:58 PM
ถ้ารู้ว่าหวยรางวัลที่ ๑ ออกอะไร เราจะซื้อเท่าไหร่ ?
ถ้าเราเชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง เรายังต้องลังเลอะไรอีก
#4
โพสต์เมื่อ 16 May 2005 - 12:39 AM
ด้วยรัก ปรารถนาดี และขอกราบอนุโมทนาบุญต่อทุกท่านด้วยมุทิตาจิตเป็นอย่างสูง
เกียรติก้องธรณินทร์
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#5
*ตี๋ม.ธ.*
โพสต์เมื่อ 16 May 2005 - 10:29 AM
เพราะเมื่อก่อนเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำบุญกันเต็มที่
คำว่า "เต็มที่" นั้นหมายถึง ตามกำลังของแต่ละสถานภาพ ทางเศรษฐกิจของแต่ละคน ถ้าเรามีน้อย เราก็ทำเต็มที่ของเรา ถ้าเรามีมากก็ทำเต็มที่ของเรา แต่การทำบุญนั้น ขอให้ทำเพื่อ สร้าง "ทานบารมี" ให้เต็มเปี่ยม ตามสถานภาพของเรา
เสมือน การถวายภัตตาหารอันประณีต สถานภาพของแต่ละคน ก็จะมีอาหารที่เอร็ดอร่อย ไม่เหมือนกัน พระราชา ก็ประณีตแบบหนึ่ง พ่อค้า สามัญชน ก็ประณีตแบบหนึ่ง คนยากจนที่หาเช้ากินค่ำ ก็ประณีต ก็แบบหนึ่ง ยาจกขอทาน ก็ประณีตแบบหนึ่ง
อันนี้ที่ผมเคยไปญี่ปุ่น พบขอทานของเขานะ จนกว่าประเทศไทยอีก เห็นปลาทู เน่าๆ ข้างถังขยะ เขาคุ้ยมากทานกัน โห เห็นแล้ว นึกถึง ธรรมะของพระพุทธองค์ ที่เทศนาสั่งสอนเรื่องความตระหนี่เลยหละ มหาทุกขตะ ก็คงเป็นแบบนี้มั๊ง เราคิดเองนะ
ดังนั้น ท่านจะทำหรือไม่ เราไม่ได้ดี หรือไม่ได้เดือนร้อนอะไรด้วย
แต่สำหรับเรานะ เราหวังทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ และสร้างบารมี
เพื่อหวังว่าท้ายที่สุด เราจะติดตามไปที่สุดแห่งธรรม เราต้องครบองค์ประกอบของลักษณะมหาบุรุษ และสามารถสร้างมหาทานบารมี อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และมีร่างกายที่แข็งแรงอย่างพระพากุระเถระ อายุยืน 160 ปี เป็นต้น
"ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น" คำพูดนี้ไม่เคยผิดไปเลย เพราะเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว
ครานี้ก็ถึงคราวที่ท่านเองต้องพิจารณาเอาเอง จะไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ยินดี จะเชื่อ เราก็ไม่ได้ภูมิใจ เพราะ "ตนแล เป็นที่พึ่งของตน" ในท้ายที่สุดของวาระสุดท้ายของชีวิต ใครละจะมาช่วยท่านได้
#6
โพสต์เมื่อ 17 May 2005 - 10:35 AM
เธอจึงบอกว่า "ในปรโลกเขาไม่มีการทำมาหากิน เขาอยู่ได้ด้วยบุญ ให้นึกถึงบุญ ที่เคยทำมาสิ บุญจะช่วยบันดาลให้มีอาหารเกิดขึ้น"
คำตอบของเขา ทำให้เธอ (และผม ช่วงที่กำลังฟังอยู่) สะเทือนใจอย่างยิ่ง เขาบอกว่า "ชั่วชีวิตของเขา ไม่เคยได้สร้างบุญอะไรเลย" เธอบอกไม่เป็นไร เมื่อกลางวันเธอเพิ่งสร้างบุญใหญ่มา นิมนต์พระสามหมื่นวัดมาร่วมงานคุณยาย ให้เขานึกอนุโมนาบุญกับบุญที่เธอทำ พอเขาอนุโมทนา อาหารทิพย์ ก็เกิดขึ้นเต็มเตียงเลย เขากับเด็กก็กินกันอย่างอร่อย แล้วก็ขอบคุณ จากนั้นก็เดินทะลุกำแพงออกนอกห้องไป
ผมซึ้งใจ ตรงที่ว่า โชคดี ที่เขามาพบเจ้าของเคส ที่รู้จักคำสอนของครูไม่ใหญ่
หวาดเสียวในใจ ตรงที่ว่า เราเอง ถ้าไม่ได้มาพบคำสอนของครูไม่ใหญ่จะเป็นอย่างไร
สะเทือนใจ ตรงคำพูดของชายผู้นั้นว่า "ชั่วชีวิตเขา ไม่เคยสร้างบุญอะไรเลย ซึ่งเมื่อคิดตามไปจากวันๆ หนึ่ง เรามีเวลา 24 ชั่วโมง นอนไปแล้ว 8 ชั่วโมง ทำงานอีก 8 ชั่วโมง บำรุงร่างกายและหาความเพลิดเพลินใจอีก 8 ชั่วโมง จึงเป็นไปได้อย่างยิ่ง ที่แต่ละชีวิต ที่ไม่ได้รู้เรื่องราวของการสร้างบุญ จะไม่ได้สร้างบุญอะไรไว้เลย
ดังนั้น จะเชื่อตอนเป็น หรือจะเห็นตอนตาย เร่งสังสมบุญกันเถิดครับ ทั้งชวนคนติด DMC ชวนกันสร้างพระเสาแก้ว ชวนกันรักษาศีล ปฎิบัติธรรม
เพราะวันนี้ ที่เรายังมีชัวิตอยุ่ จะยังคงเป็นวันที่ไม่สายเกินไป
#7
*Guest*
โพสต์เมื่อ 19 May 2005 - 11:26 PM
แต่ก็น่าขำที่ว่า แม้ระดับธรรมดาที่บอกว่ามีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก แต่ความเป็นจริง กลายเป็นว่า มีน้อยทำได้มาก มีมากทำได้น้อย (โดยเทียบสัดส่วนเดียวกัน) ไม่เชื่อลองถามใจตัวเองดูซิ เช่นมีหนึ่งร้อยสมมติว่าทำได้ยี่สิบ ถ้ามีสิบล้านก็น่าจะทำได้สองล้าน แต่พอมีจริงอาจจะคิดว่าทำซักล้านก็พอแล้ว ยกเว้นลูกพระธรรมพันธุ์แท้จ้า
#8
*Guest*
โพสต์เมื่อ 20 May 2005 - 02:02 AM
เพื่อให้ได้บุญแบบ..................................
เพราะgoal หรือเป้าหมายของท่านคือ...................
เพียงแต่ว่าตอนนี้ใครมีความพร้อม มีปัญญา มีศรัทธา.....แค่ไหนก็ทำตามนั้นไปก่อนแต่อย่าว่าคนอื่นเขา อย่าเอาปัญญา ศรัทธา ความพร้อมของตัวเองไปตัดสินการกระทำของคนอื่นเขา
การจะตัดสินอะไรก็ต้องดู เป้าหมาย(goal) ดูconcept ของเขาก่อน อย่าเอาความคิดของคนที่ตั้งเป้าว่าจะเปิดร้านขายของชำเล็กๆ ไปตัดสินคนที่คิดว่าจะเปิดห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆและมีสาขาทั่วโลกว่าทำไม่ถูก คิดไม่ถูก
เวลาจะอ้างพระไตรปิฎกก็อ้างให้ถูกที่ถูกกาล ถูกบุคคล สมัยพุทธกาลทำทานกันเป็นโกฏิ หรือหลายๆโกฏิก็มี
#9
โพสต์เมื่อ 28 May 2005 - 07:30 AM
ด้วยรัก ปรารถนาดี และขอกราบอนุโมทนาบุญต่อทุกท่านด้วยมุทิตาจิตเป็นอย่างสูง
เกียรติก้องธรณินทร์
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘
คะ สงสัยว่ากรณีมาทำงานอาสาที่วัดแล้วไม่ได้บำรุงพ่อแม่จะถือว่า เข้าขั้นทำให้ผู้อื่นเดือกร้อนหรือไม่(ยิ่งเป็นพ่อแม่เราซะด้วย)
#10
โพสต์เมื่อ 29 May 2005 - 01:25 PM
แต่สิ่งสำคัญคือ การปลื้ม การตอกย้ำทุกวันค่ำคืนในบุญ นั่นแหละ สำคัญสุดๆ
รับรองว่า ทำน้อยแต่ได้มาก จงภูมิใจในสิ่งที่คุณทำ และทำเต็มความสามารถ
ปัจจัยหาได้มาด้วยวิชาชีพสัมมาอาชีวะ แค่นี้ บุญท่วมท้นล้นจักรวาลแล้ว
แต่......
อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับใครเค้านะค่ะ เดี๋ยวได้บุญไม่เท่าที่ควรนะ
อีกอย่างมันจะทำให้ใจเรามันแกว่งได้ แล้วความปลื้มมันจะลดไป
ถึงแม้ใจอยากจะทำมากกว่านี้
แต่เราควรยินดีด้วยใจจริงกับผู้ที่มีปัจจัยและบริจาคปัจจัยนั้นได้มาก ๆ
เพราะมีอีกหลายร้อยหลายพันหลายล้านคน ที่มีเงินมากมาย ไม่คิดทำก็มี
สำหรับผู้มีปัจจัยมากมาย ควรทำด้วยความบริสุทธิ์ใจและปลื้มกับทุกบุญที่คุณทุ่มทำ
แต่ทำไปไม่ใช่หวังหน้าตาชื่อเสียงทางสังคม หรือคนยกย่องสรรเสริญ
ซึ่งสิ่งเหล่านั้น มันเป็นแค่เพียงผลพร้อยได้ จริงเปล่าค่ะ
เคยนะ เคยไปบอกบุญผ้าป่า ซึ่งที่บ้านกับญาติ ๆ ทำผ้าป่าที่วัดต่างจังหวัด
เราก็เลยแนะนำว่า ให้ไปบอกบุญ วัดจะได้สร้างโบสถ์ให้เสร็จไว ๆ
คนที่พ่อไปบอกบุญ เป็นคนมีเงิน เป็นเจ้าสัวในตระกูลหนึ่ง มีพอมีชื่อเสียงในไทยเลยล่ะ
แต่เค้าไม่ยอมทำให้ ให้ลูกสะใภ้มาบอกพ่อเรา
ได้รับคำตอบมาประมาณว่า หากทำน้อยไป กลัวเสียหน้า กลัวคำเสียดสีจากวงธุรกิจ
เราฟังพ่อบอกแล้ว เออ! ทำเพื่ออะไรหว่า ไอ้เราก็คิดว่า จะทำมากทำน้อยก็ทำไปเหอะ
พอมาตอนนี้ กลับไปนึกคิด แล้วฟังจากเครสบางราย แล้ว น่าเสียดายจัง เพราะความคิดในการทำบุญของเค้าไม่ดีเท่าที่ควรเลย น่าเสียดาย แต่ก็ยังดีที่คิดทำบุญทำความดีไว้ให้สังคมไทยบ้าง
#11
โพสต์เมื่อ 29 May 2005 - 07:11 PM
คำตอบคือ ใช่ครับ เหมือนกับเราทำหน้าที่ทิศทั้ง 6 ไม่สมบูรณ์ไงล่ะครับ หรือ เหมือนกับเราชอบวิชาภาษาอังกฤษ ไม่ชอบวิชาคำนวณ เลยอ่านหนังสือแต่ภาษาอังกฤษ แต่ไม่ยอมอ่านวิชาคำนวณเลย ผลก็คือ สอบอังกฤษได้คะแนนดี แต่สอบวิชาคำนวณตก เราก็ต้องเรียนซ้ำชั้น สอบซ่อม ใช่มั้ยครับ ผิดกับเพื่อนที่เขาอ่านหนังสือทุกวิชาที่เขาสอบ พอสอบอังกฤษก็ได้คะแนนดี แม้จะน้อยกว่าเรา และสอบคำนวณก็สอบผ่าน เขาก็ไม่ต้องเรียนซ้ำชั้น ไม่ต้องสอบซ่อมด้วยครับ
#12
*yasavanso*
โพสต์เมื่อ 30 May 2005 - 01:56 PM
#13
โพสต์เมื่อ 04 June 2005 - 04:50 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#14
โพสต์เมื่อ 03 September 2006 - 05:05 PM
วันพฤหัสบดีที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ณ วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี
รายละเอียดที่ชัดเจนสวยงาม
http://www.dhammakay...cher_day_th.php
#15
โพสต์เมื่อ 31 January 2007 - 02:52 PM
#16
โพสต์เมื่อ 28 August 2009 - 06:03 PM