ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

จำเป็นนักหรือ ที่ต้องทุ่มทำบุญมากๆ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 15 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 15 May 2005 - 07:26 PM

คำถามนี้คงมีอยู่ในใจใครหลายคน ที่เห็นคนกลุ่มหนึ่ง ทุ่มเทสร้างบุญอย่างเต็มกำลัง ว่าคุ้มกันหรือที่ต้องทำแบบนี้ ทำบุญแค่ตามศรัทธานิดหน่อยก็พอ เพราะยกตัวอย่างการทำทาน เราก็ต้องเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต การรักษาศีล เจริญภาวนา เราก็ต้องเสียเวลาที่เราจะไปใช้พักผ่อนหย่อนใจ ไปปิ๊กนิค ช๊อปปิ้งตามที่ต่างๆ แทนที่จะต้องไปวัดแทบทุกอาทิตย์

คำตอบก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ขึ้นกับความรู้ครับ ความรู้อะไร ความรู้ความเป็นจริงเกี่ยวกับโลกและชีวิต ความรู้เกี่ยวกับกฏกติกามารยาทที่แท้จริงของชีวิต
หลายคนบอกอ้าว ฉันก็รู้อยู่แล้วนี่ กติกานั้น มีอยู่ว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ทำงานมากก็ย่อมได้เงินมาก หรือเฉลียวฉลาดมาก ก็ย่อมได้เงินมามาก เมื่อได้เงินมาก็ต้องนำไปใช้ผ่อนคลายในเรื่องต่างๆ อย่างเต็มที่ให้สมกับที่เราหาเงินได้มา
คำตอบก็คือ กติกาเรื่องนี้ ถูกต้องไม่สมบูรณ์ครับ เพราะถ้าเราลองสังเกตุไปมากกว่านี้อีกสักนิด เราจะพบความจริงบางอย่าง คือ บางคนทำงานหนักตลอดชีวิต กลับมีเรื่องต้องใช้จ่ายตลอดเวลา ไม่มีเงินเหลือเก็บ มีแต่หนี้สินแทน บางคนเฉลียวฉลาด หาทรัพย์ได้มากมาย แต่เพียงแค่วันเดียวสมบัติเหล่านั้น กลายเป็นวิบัติในพริบตาด้วยภัยธรรมชาติ บางคนพอเรียนจบมา เตรียมจะใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมาอย่างเต็มที่ กลับล้มป่วยกระทันหัน กลายเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ บ่งบอกได้ชัดเจนว่า มีกติกาบางอย่างที่อยู่นอกเหนือจากที่คนทั่วๆ ไปรู้ ใช้แล้วครับ สิ่งนั้นก็คือ บุญ คือ ค่าของคน อยู่ที่ผลของบุญ บุญ อยู่เบื้องหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น อาหารที่เราทาน เสื้อผ้าที่เราใช้ บ้านที่เราอยู่อาศัย ยาที่รักษาโรคเรา เพื่อนๆ ที่มาช่วยเรา สุขภาพที่แข็งแรงของเรา และสติปัญญาของเรา ถ้าไม่มีบุญ เราจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ได้เลย
ดังนั้นตอนนี้ทุกๆ คนกำลังอยู่ในสภาวะกินบุญเก่า คือ กำลังใช้บุญเก่าของเราให้หมดไปเรื่อยๆ ในขณะที่การสร้างบุญใหม่ของพวกเราแต่ละคน โดยทั่วๆ ไปนั้นน้อยมากๆ เหตุใดผมถึงบอกเช่นนั้น เรื่องนี้ไม่คิดไม่แปลก แต่คิดแล้ว เราจะซึ้งขึ้นมาทันทีครับ ว่า.....

ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 15 May 2005 - 07:44 PM

เราลองมาดูเวลาของเราแต่ละคนวันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงเท่าๆกัน ใน 24 ชั่วโมงนี้ ถ้าลองสังเกตุดู เราใช้เวลานอนไปแล้ว 8 ชั่วโมง (ประมาณ 1 ใน 3) เวลาหายไปแล้ว 1 ใน 3 เหลืออีก 16 ชั่วโมง เราก็ต้องเรียนหรือทำงานอีก 8 ชั่วโมง (บางคนมากกว่า ต้อง OT ต่างๆ) เหลืออีก 8 ชั่วโมงสุดท้ายทำอะไร ก็จะหมดไปกับการบำรุงรักษาร่างกาย อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ฯลฯ และแสวงหาความเพลิดเพลินใจ ดูทีวี คุยกับเพื่อน ไปเที่ยว ช๊อปปิ้ง ฯลฯ วันๆ หนึ่งแทบไม่มีเวลาสร้างบุญกุศลเลย
แล้วถ้าคิดต่อไปว่า ถ้าสมมุติเรามีอายุถึง 75 ปี เราจะเห็นเลยว่า เรานอนไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลยถึง 25 ปี (ไม่คิดไม่แปลก แต่คิดแล้วจะซึ้ง) เราต้องทำงานเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ เรื่องปากท้องอีก 25 ปี โอ้โหเวลา 75 ปี กลายเป็นเวลาที่ให้เราเตรียมตัวเพื่ออนาคตข้างหน้าแค่ 25 ปีเท่านั้นเอง แล้ว 25 ปีสุดท้ายเราใช้ให้หมดไปกับอะไร ถ้าไม่ใช่การบำรุงเลี้ยงร่างกาย แสวงหาความเพลิดเพลินใจต่างๆ บางคนใช้ไปเกือบหมด 25 ปีเลยทีเดียว เพราะทำบุญแค่วันเกิด ศีลก็รักษาบ้าง ไม่รักษาบ้าง ภาวนาไม่ต้องพูดถึง นั่นมันเรื่องไกลตัว
ถ้าอย่างนี้ตลอด 75 ปีของเรา (ถ้าเราอายุถึงขนาดนั้น) เราจะได้สร้างบุญถึง 1 ปีหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ยังสงสัย ในขณะที่เรากินบุญเก่าไปทุกวัน แต่เราสร้างบุญใหม่กลับคืนมา โอ้คิดเป็นสัดส่วนแล้ว น้อยกว่า 1 ต่อ 75 เสียอีก (1 ปี ต่อ 75 ปี)
ดังนั้น สำหรับผู้ที่รู้เรื่องกฏกติกามารยาทที่แท้จริงของชีวิตแล้ว เขาจึงเข้าใจว่า บุญที่ใครๆ ว่าเขาทุ่มทำมากเกินไปนั้น จริงๆ แล้ว อาจจะยังน้อยไปด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับการใช้บุญเก่าของเขาที่ผ่านมาชั่วชีวิต และเนื่องจากเวลาเราน้อย จะเลือกทำทั้งที ต้องเลือกทำบุญใหญ่ เวลานี้ถ้าเรื่องทาน ก็ไม่มีบุญใดใหญ่กว่า การสร้างพระธรรมกายประจำตัวภายในมหาธรรมกายเจดีย์ และการสร้างเสาแก้วพันปี
ถ้าเรื่องการรักษาศีลสำหรับผู้ครองเรือนก็ต้องรักษาศีล 5 บริสุทธิ์ ศีล 8 ในบางโอกาส
และถ้าเรื่องภาวนา ก็ต้องมาเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาแหละครับ
เมื่อก่อนผมตระหนี่มาก เร่งสั่งสมทรัพย์ แต่เมื่อได้ทรัพย์มาจำนวนหนึ่ง ก็จะต้องมีเหตุให้ใช้ออกไป ไม่ได้สามารถสั่งสมได้เลย แต่เดี๋ยวนี้ ผมเลิกตระหนี่สั่งสมบุญ ใจผมก็โปร่งโล่งเบาสบายเลิกวิตกกังวลกับชีวิตอีกต่อไป

ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#3 IQ0

IQ0
  • Members
  • 366 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:MS16
  • Interests:อยากสร้่างบ้านพักคนชราไว้รองรับจนทให้อยู่ใกล้ๆวัด

โพสต์เมื่อ 15 May 2005 - 07:58 PM

ผมคิดแบบนี้ครับ

ถ้ารู้ว่าหวยรางวัลที่ ๑ ออกอะไร เราจะซื้อเท่าไหร่ ?

ถ้าเราเชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง เรายังต้องลังเลอะไรอีก

#4 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 16 May 2005 - 12:39 AM

หากว่า ท่านต้องการการเกิดแบบมีเงื่อนไข (อาทิ มีความปรารถนาซึ่งที่สุดแห่งมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ เป็นต้น) แล้วล่ะก็ "ท่านมีความจำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญบุญกิริยาทุกประเภท อย่างปราศจากเงื่อนไข และข้อกังขาใดๆ เช่นเดียวกัน" แต่มีข้อแม้ก็ตรงที่ว่า การบำเพ็ญบุญกิริยาของท่านนั้น ๑.) จะต้องไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ๒.) ไม่เกิดจิตวิปติสาร ให้เป็นที่เดือดร้อนแหนงใจตนเองในภายหลัง เมื่อได้กระทำไปแล้ว ๓.) ต้องมีศรัทธาอย่างมั่นคงเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ และมีจิตที่ผ่องใสทั้งก่อนทำ ขณะทำ และภายหลังที่ได้กระทำไปแล้ว โดยไม่เกิดความรู้สึก "เสียดาย" ในภายหลัง อีกทั้งศรัทธานั้นจะต้องเป็นศรัทธาซึ่งมี "สัมมาปัญญา" สำหรับเป็นเครื่องพิจารณาใคร่ครวญ ไปตามหลักความเป็นจริงของเหตุและผลมาประกอบด้วยทุกครั้ง ณ จุดนี้ขอย้ำ!!! มากๆ เลยนะครับ เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ท่านก็จะกลายเป็นคนขาดปัญญาและงมงายไปในที่สุด

ด้วยรัก ปรารถนาดี และขอกราบอนุโมทนาบุญต่อทุกท่านด้วยมุทิตาจิตเป็นอย่างสูง

เกียรติก้องธรณินทร์

๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#5 *ตี๋ม.ธ.*

*ตี๋ม.ธ.*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 16 May 2005 - 10:29 AM

ตามที่เราเคยได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง ทั้ง หนังสือธรรมะ หลายๆ เล่ม จากหลายแห่งสำนัก ก็สอดคล้องกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ คุณครูไม่ใหญ่ เลยทำให้ยิ่งมั่นใจ

เพราะเมื่อก่อนเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำบุญกันเต็มที่

คำว่า "เต็มที่" นั้นหมายถึง ตามกำลังของแต่ละสถานภาพ ทางเศรษฐกิจของแต่ละคน ถ้าเรามีน้อย เราก็ทำเต็มที่ของเรา ถ้าเรามีมากก็ทำเต็มที่ของเรา แต่การทำบุญนั้น ขอให้ทำเพื่อ สร้าง "ทานบารมี" ให้เต็มเปี่ยม ตามสถานภาพของเรา

เสมือน การถวายภัตตาหารอันประณีต สถานภาพของแต่ละคน ก็จะมีอาหารที่เอร็ดอร่อย ไม่เหมือนกัน พระราชา ก็ประณีตแบบหนึ่ง พ่อค้า สามัญชน ก็ประณีตแบบหนึ่ง คนยากจนที่หาเช้ากินค่ำ ก็ประณีต ก็แบบหนึ่ง ยาจกขอทาน ก็ประณีตแบบหนึ่ง

อันนี้ที่ผมเคยไปญี่ปุ่น พบขอทานของเขานะ จนกว่าประเทศไทยอีก เห็นปลาทู เน่าๆ ข้างถังขยะ เขาคุ้ยมากทานกัน โห เห็นแล้ว นึกถึง ธรรมะของพระพุทธองค์ ที่เทศนาสั่งสอนเรื่องความตระหนี่เลยหละ มหาทุกขตะ ก็คงเป็นแบบนี้มั๊ง เราคิดเองนะ

ดังนั้น ท่านจะทำหรือไม่ เราไม่ได้ดี หรือไม่ได้เดือนร้อนอะไรด้วย
แต่สำหรับเรานะ เราหวังทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ และสร้างบารมี

เพื่อหวังว่าท้ายที่สุด เราจะติดตามไปที่สุดแห่งธรรม เราต้องครบองค์ประกอบของลักษณะมหาบุรุษ และสามารถสร้างมหาทานบารมี อย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และมีร่างกายที่แข็งแรงอย่างพระพากุระเถระ อายุยืน 160 ปี เป็นต้น

"ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น" คำพูดนี้ไม่เคยผิดไปเลย เพราะเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว

ครานี้ก็ถึงคราวที่ท่านเองต้องพิจารณาเอาเอง จะไม่เชื่อ เราก็ไม่ได้ยินดี จะเชื่อ เราก็ไม่ได้ภูมิใจ เพราะ "ตนแล เป็นที่พึ่งของตน" ในท้ายที่สุดของวาระสุดท้ายของชีวิต ใครละจะมาช่วยท่านได้


#6 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 17 May 2005 - 10:35 AM

เคยฟังเคส เคสหนึ่ง ยังซึ้งใจ และหวาดเสียวในใจ มาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ เนื้อเรื่องในเคสบรรยายว่า เจ้าของเคสเป็นผู้หญิง ไปนอนพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง พอตอนเที่ยงคืน เธอในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ก็พบผู้ชายกับเด็กคนหนึ่ง อยู่ใต้ผ้าห่มของเธอ สภาพร่างกายหิวโซ โซมมาก เธอถามว่า มีธุระอะไร (แปลกมาก เธอไม่รู้สึกกลัวเลย) ชายคนนั้นบอกว่า เขาหิวมาก
เธอจึงบอกว่า "ในปรโลกเขาไม่มีการทำมาหากิน เขาอยู่ได้ด้วยบุญ ให้นึกถึงบุญ ที่เคยทำมาสิ บุญจะช่วยบันดาลให้มีอาหารเกิดขึ้น"
คำตอบของเขา ทำให้เธอ (และผม ช่วงที่กำลังฟังอยู่) สะเทือนใจอย่างยิ่ง เขาบอกว่า "ชั่วชีวิตของเขา ไม่เคยได้สร้างบุญอะไรเลย" เธอบอกไม่เป็นไร เมื่อกลางวันเธอเพิ่งสร้างบุญใหญ่มา นิมนต์พระสามหมื่นวัดมาร่วมงานคุณยาย ให้เขานึกอนุโมนาบุญกับบุญที่เธอทำ พอเขาอนุโมทนา อาหารทิพย์ ก็เกิดขึ้นเต็มเตียงเลย เขากับเด็กก็กินกันอย่างอร่อย แล้วก็ขอบคุณ จากนั้นก็เดินทะลุกำแพงออกนอกห้องไป
ผมซึ้งใจ ตรงที่ว่า โชคดี ที่เขามาพบเจ้าของเคส ที่รู้จักคำสอนของครูไม่ใหญ่
หวาดเสียวในใจ ตรงที่ว่า เราเอง ถ้าไม่ได้มาพบคำสอนของครูไม่ใหญ่จะเป็นอย่างไร
สะเทือนใจ ตรงคำพูดของชายผู้นั้นว่า "ชั่วชีวิตเขา ไม่เคยสร้างบุญอะไรเลย ซึ่งเมื่อคิดตามไปจากวันๆ หนึ่ง เรามีเวลา 24 ชั่วโมง นอนไปแล้ว 8 ชั่วโมง ทำงานอีก 8 ชั่วโมง บำรุงร่างกายและหาความเพลิดเพลินใจอีก 8 ชั่วโมง จึงเป็นไปได้อย่างยิ่ง ที่แต่ละชีวิต ที่ไม่ได้รู้เรื่องราวของการสร้างบุญ จะไม่ได้สร้างบุญอะไรไว้เลย
ดังนั้น จะเชื่อตอนเป็น หรือจะเห็นตอนตาย เร่งสังสมบุญกันเถิดครับ ทั้งชวนคนติด DMC ชวนกันสร้างพระเสาแก้ว ชวนกันรักษาศีล ปฎิบัติธรรม
เพราะวันนี้ ที่เรายังมีชัวิตอยุ่ จะยังคงเป็นวันที่ไม่สายเกินไป

ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#7 *Guest*

*Guest*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 19 May 2005 - 11:26 PM

ถ้าจะตอบคำถามนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว จะอธิบายในแง่ของการสร้างบารมีมี ๓ระดับ คือระดับธรรมดา ระดับอุปบารมี และระดับปรมัตถบารมี

แต่ก็น่าขำที่ว่า แม้ระดับธรรมดาที่บอกว่ามีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก แต่ความเป็นจริง กลายเป็นว่า มีน้อยทำได้มาก มีมากทำได้น้อย (โดยเทียบสัดส่วนเดียวกัน) ไม่เชื่อลองถามใจตัวเองดูซิ เช่นมีหนึ่งร้อยสมมติว่าทำได้ยี่สิบ ถ้ามีสิบล้านก็น่าจะทำได้สองล้าน แต่พอมีจริงอาจจะคิดว่าทำซักล้านก็พอแล้ว ยกเว้นลูกพระธรรมพันธุ์แท้จ้า

#8 *Guest*

*Guest*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 20 May 2005 - 02:02 AM

ถ้าลองถามตัวเองว่าใจหลวงพ่อ ท่านจะเคี่ยวเข็ญให้ลูกๆไปให้ถึงทานระดับไหนล่ะปรมัตถบารมีใช่ไหม คือทำแบบ.................................
เพื่อให้ได้บุญแบบ..................................
เพราะgoal หรือเป้าหมายของท่านคือ...................

เพียงแต่ว่าตอนนี้ใครมีความพร้อม มีปัญญา มีศรัทธา.....แค่ไหนก็ทำตามนั้นไปก่อนแต่อย่าว่าคนอื่นเขา อย่าเอาปัญญา ศรัทธา ความพร้อมของตัวเองไปตัดสินการกระทำของคนอื่นเขา

การจะตัดสินอะไรก็ต้องดู เป้าหมาย(goal) ดูconcept ของเขาก่อน อย่าเอาความคิดของคนที่ตั้งเป้าว่าจะเปิดร้านขายของชำเล็กๆ ไปตัดสินคนที่คิดว่าจะเปิดห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆและมีสาขาทั่วโลกว่าทำไม่ถูก คิดไม่ถูก

เวลาจะอ้างพระไตรปิฎกก็อ้างให้ถูกที่ถูกกาล ถูกบุคคล สมัยพุทธกาลทำทานกันเป็นโกฏิ หรือหลายๆโกฏิก็มี

#9 หรรษา

หรรษา
  • Members
  • 135 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 May 2005 - 07:30 AM

QUOTE("เกียรติก้องธรณินทร์")
๑.) จะต้องไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ๒.) ไม่เกิดจิตวิปติสาร ให้เป็นที่เดือดร้อนแหนงใจตนเองในภายหลัง เมื่อได้กระทำไปแล้ว ๓.) ต้องมีศรัทธาอย่างมั่นคงเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ และมีจิตที่ผ่องใสทั้งก่อนทำ ขณะทำ และภายหลังที่ได้กระทำไปแล้ว  โดยไม่เกิดความรู้สึก "เสียดาย" ในภายหลัง 

ด้วยรัก ปรารถนาดี และขอกราบอนุโมทนาบุญต่อทุกท่านด้วยมุทิตาจิตเป็นอย่างสูง

เกียรติก้องธรณินทร์

๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๘



คะ สงสัยว่ากรณีมาทำงานอาสาที่วัดแล้วไม่ได้บำรุงพ่อแม่จะถือว่า เข้าขั้นทำให้ผู้อื่นเดือกร้อนหรือไม่(ยิ่งเป็นพ่อแม่เราซะด้วย)


#10 sao-wanee

sao-wanee
  • Members
  • 100 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 May 2005 - 01:25 PM

จะทำมากทำน้อยมันเป็นเรื่องรองนะค่ะ
แต่สิ่งสำคัญคือ การปลื้ม การตอกย้ำทุกวันค่ำคืนในบุญ นั่นแหละ สำคัญสุดๆ
รับรองว่า ทำน้อยแต่ได้มาก จงภูมิใจในสิ่งที่คุณทำ และทำเต็มความสามารถ
ปัจจัยหาได้มาด้วยวิชาชีพสัมมาอาชีวะ แค่นี้ บุญท่วมท้นล้นจักรวาลแล้ว
แต่......
อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับใครเค้านะค่ะ เดี๋ยวได้บุญไม่เท่าที่ควรนะ
อีกอย่างมันจะทำให้ใจเรามันแกว่งได้ แล้วความปลื้มมันจะลดไป
ถึงแม้ใจอยากจะทำมากกว่านี้
แต่เราควรยินดีด้วยใจจริงกับผู้ที่มีปัจจัยและบริจาคปัจจัยนั้นได้มาก ๆ
เพราะมีอีกหลายร้อยหลายพันหลายล้านคน ที่มีเงินมากมาย ไม่คิดทำก็มี

สำหรับผู้มีปัจจัยมากมาย ควรทำด้วยความบริสุทธิ์ใจและปลื้มกับทุกบุญที่คุณทุ่มทำ
แต่ทำไปไม่ใช่หวังหน้าตาชื่อเสียงทางสังคม หรือคนยกย่องสรรเสริญ
ซึ่งสิ่งเหล่านั้น มันเป็นแค่เพียงผลพร้อยได้ จริงเปล่าค่ะ

เคยนะ เคยไปบอกบุญผ้าป่า ซึ่งที่บ้านกับญาติ ๆ ทำผ้าป่าที่วัดต่างจังหวัด
เราก็เลยแนะนำว่า ให้ไปบอกบุญ วัดจะได้สร้างโบสถ์ให้เสร็จไว ๆ
คนที่พ่อไปบอกบุญ เป็นคนมีเงิน เป็นเจ้าสัวในตระกูลหนึ่ง มีพอมีชื่อเสียงในไทยเลยล่ะ
แต่เค้าไม่ยอมทำให้ ให้ลูกสะใภ้มาบอกพ่อเรา
ได้รับคำตอบมาประมาณว่า หากทำน้อยไป กลัวเสียหน้า กลัวคำเสียดสีจากวงธุรกิจ
เราฟังพ่อบอกแล้ว เออ! ทำเพื่ออะไรหว่า ไอ้เราก็คิดว่า จะทำมากทำน้อยก็ทำไปเหอะ
พอมาตอนนี้ กลับไปนึกคิด แล้วฟังจากเครสบางราย แล้ว น่าเสียดายจัง เพราะความคิดในการทำบุญของเค้าไม่ดีเท่าที่ควรเลย น่าเสียดาย แต่ก็ยังดีที่คิดทำบุญทำความดีไว้ให้สังคมไทยบ้าง

#11 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 29 May 2005 - 07:11 PM

ตอบคุณหรรษา ที่ถามว่า กรณีมาเป็นอาสาสมัคร แล้วไม่ไปทำนุบำรุงพ่อแม่ จะถือว่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่

คำตอบคือ ใช่ครับ เหมือนกับเราทำหน้าที่ทิศทั้ง 6 ไม่สมบูรณ์ไงล่ะครับ หรือ เหมือนกับเราชอบวิชาภาษาอังกฤษ ไม่ชอบวิชาคำนวณ เลยอ่านหนังสือแต่ภาษาอังกฤษ แต่ไม่ยอมอ่านวิชาคำนวณเลย ผลก็คือ สอบอังกฤษได้คะแนนดี แต่สอบวิชาคำนวณตก เราก็ต้องเรียนซ้ำชั้น สอบซ่อม ใช่มั้ยครับ ผิดกับเพื่อนที่เขาอ่านหนังสือทุกวิชาที่เขาสอบ พอสอบอังกฤษก็ได้คะแนนดี แม้จะน้อยกว่าเรา และสอบคำนวณก็สอบผ่าน เขาก็ไม่ต้องเรียนซ้ำชั้น ไม่ต้องสอบซ่อมด้วยครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#12 *yasavanso*

*yasavanso*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 30 May 2005 - 01:56 PM

ตี๋ ม.ธ. นี่ใช่รางวัลพระนักเทศน์ 1 ในสมณะ award ปะ

#13 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 04 June 2005 - 04:50 PM

ขอแนะนำคุณหรรษาว่า คุณควรจะจัดสรรเวลาอันมีค่าที่ได้มาให้เป็นสัดส่วนนะครับ เราจะได้ทำหน้าที่ของการเป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเองและผู้อื่นได้อย่างเต็มที่และสมบูรณ์แบบ (ปล.อย่าลืม!!! นะครับ คำว่า "ไม่มีเวลา" นั้น ไม่มีในพจนานุกรมสำหรับนักสร้างบารมี) อีกเรื่องหนึ่งก็คือ คุณจะต้องไม่ลืมว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า "การบำรุงบิดามารดา เป็นมงคลอันสูงสุด" ผมจึงขอแนะนำให้พี่น้อง กัลยาณมิตรทุกท่านว่า การทำหน้าที่ทั้งทางโลกและทางธรรมนั้น เราควรทำให้สมบูรณ์ ๒oo% นะครับ เพราะหากเราทำแบบอย่างละครึ่งครึ่ง คือ โลก ๕o% และธรรม ๕o% มันก็จะพร่องไปด้านละครึ่งเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าเรายังทำหน้าที่ของเราได้ไม่สมบูรณ์ใช่ไหมครับ แถมอีกนิดนะครับ ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ คุณยายอาจารย์ ทองสุก แดงปั้น ได้เคยถอดกายไปเยี่ยมเมืองนรก (ในส่วนของยมโลก) และได้มีโอกาสรับชมการพิพากษาของพญายมราช ซึ่งเป็นกรณีของหญิงสาวท่านหนึ่งที่ถูกหลอกให้ไปขายตัว แล้วถูกบังคับให้กินยาตาย แต่ผลการตัดสินปรากฏว่า หญิงสาวผู้นั้นไม่ต้องไปรับทัณฑ์ทรมานในยมโลก ทั้งนี้เป็นเพราะอานิสงส์อันเกิดแต่การเลี้ยงดูบิดามารดามาตลอดชีวิตของตนได้อุ้มเอาไว้ และได้ถูกตัดสินให้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น "ดาวดึงส์" ซึ่งจากกรณีศึกษานี้เราจะเห็นได้ว่า บุญอันเกิดจากการบำรุงบิดามารดานั้น มีอานิสงส์มาก มิใช่เป็นบุญเล็กบุญน้อยเลย เพราะบิดามารดานั้น ถือได้ว่า เป็นทั้งพระอรหันต์และพระพรหม ผู้เป็นนาบุญอันเลิศของบุตรทุกคนเลยทีเดียว
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#14 eq072

eq072
  • Members
  • 504 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 September 2006 - 05:05 PM

๑๒ ปีแห่งการรอคอย
วันพฤหัสบดีที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ณ วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี

รายละเอียดที่ชัดเจนสวยงาม
http://www.dhammakay...cher_day_th.php

#15 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 31 January 2007 - 02:52 PM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ

#16 มุนิวโร

มุนิวโร
  • Members
  • 50 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 August 2009 - 06:03 PM

ผมทำแบบสบายใจครับ เอาแบบตัวเองไม่เดือนร้อน แต่ทำบ่อยๆ สบายใจดี