วิบากกรรมส่งผลให้เราป่วยไข้เลยไม่ไปหาหมอไม่กินยาผมคิดถูกไหม
#1
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 01:45 PM
#2
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 01:49 PM

#3
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 01:59 PM


ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#4
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 02:21 PM
บางทีการได้เจอหมอดีๆที่รักษาเราได้ก็เป็นเพราะบุญ
และบางทีอาจจะเป็นเพราะวิบากกรรมก็ได้นะคะ จึงได้คิดว่าไม่รู้จะรักษาไปทำไม ก็เลยพาลไม่รักษา ทั้งๆที่ถ้ารักษาก็จะหาย
ถึงแม้จะเป็นเรื่องของบุญกรรม หรือเรื่องทางละเอียด แต่ทางหยาบก็ต้องทำให้ดีควบคู่ไปด้วยค่ะ
ไม่อย่างนั้นหลวงพ่อคงไม่ย้ำเรื่องอาหาร และการออกกำลังกายหรอกค่ะ
เหมือนกับเด็กนักเรียน ทำบุญอธิษฐานขอให้สอบเอนทรานซ์ได้ ก็ต้องตั้งใจเรียนและอ่านหนังสือด้วยนะคะ
หรือว่าหมู่คณะเรา ก็มีบุญจะเข้าถึงพระธรรมกาย แต่ถ้าไม่ลงมือปฏิบัติแล้ว 100 ปีก็ไม่เข้าถึงค่ะ
#5
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 02:23 PM
1. เมล็ดพันธุ์ที่มีอยู่น่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี (ดิฉันขอสมมุติว่าเป็นกรรมเก่า)
2. น้ำ และปุ๋ยที่ดี
3. ดินที่ดี
4. แสงแดด
ฉันใดฉันนั้นเหมือนกันค่ะ ถ้าขาดปัจจัยข้อใดข้อหนึ่งเราคงจะไม่ได้ต้นไม้ที่ดี
สมมุติว่าดิฉันเป็นผู้มีบุญมาแต่อดีต แต่ในปัจจุบัน ไม่ดูแลตนเอง ไม่รักษาตนเอง เป็นต้นทั้งๆที่ดิฉันมีบุญที่จะมีอายุยืนยาว ดิฉันก็คงสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเท่าที่ควรจะเป็น หรือ ถ้าดิฉันดูแลตนเองดีมากในตอนนี้ แต่ไม่ประกอบเหตุที่ดีในอดีต ขอบเบียดเบียนผู้อื่นเป็นต้น สุขภาพก็คงไม่ดีได้อย่างเต็มที่เหมือนกัน พระพุทธองค์ตรัสว่า อย่าคิดว่าเป็นกรรมเก่าไปทั้งหมดค่ะ เพราะไม่เช่นนั้นคนเราคงสร้างความเพียรกันน้อย แล้วก็ล้มเลิกที่จะตั้งใจทำความดี เอาเป็นว่าเดินทางสายกลางนะคะ
#6
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 02:46 PM
นานมาแล้ว มีชายคนหนึ่ง หมอดูทำนายว่า เขาเป็นคนมีบุญ จะได้ตายใต้ร่มเศวตฉัตร
ชายคนนั้นดีใจมาก กระหยิ่มยิ้มย่อง นึกว่าตนเองนี้มีบุญแท้ เราคงจะได้เป็นพระราชา จึงจะได้ตายได้ใต้ร่มเศวตฉัตร
นับแต่นั้นมา เขาก็ไม่ทำงานทำการใดๆ ใช้ชีวิตเพียงรอวันให้ราชรถมาเกย ในที่สุดก็ยากจนลงไปเรื่อยๆ มีชีวิตที่ลำเค็ญ
เวลาล่วงไป แม้จะมองไม่เห็นวี่แววที่จะเป็นพระราชา แต่เขายังคงเฝ้ารออยู่อย่างนั้น
วันหนึ่งขณะที่เขาอ่อนระโหยโรยแรง นั่งรอความหวังลมๆแล้งๆอยู่ข้างกำแพงวัดอันร้อนระอุไปด้วยเปลวแดด ขบวนเสด็จจากในวังก็ผ่านมาพอดี
พระราชาทอดพระเนตรเห็นชายน่าสงสารคนนี้ จึงมีรับสั่งให้ทหารนำเศวตฉัตรไปกางให้ร่มเงาแก่ชายคนนั้น
ชายคนนั้นได้หลบแดดอยู่ใต้ร่มเศวตฉัตรเพียงชั่วครู่ ก็นึกถึงคำพูดของหมอดู แล้วก็สิ้นใจตรงนั้นเอง
เห็นไหมคะ "จะได้ตายใต้ร่มเศวตฉัตร" ก็ได้ตามนั้นจริงๆ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเลย กว่าจะคิดได้ก็สายเสียแล้ว
#7
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 03:11 PM
"เอ็งจะไปขายกางเกงกิน"
สามเณรเองก็คิดว่าตัวเองจะไปเปิดร้านขายกางเกง
แต่สุดท้ายกลับตกต่ำจนไม่มีอะไรกินเลยเอากางเกงตัวเองไปขายเพื่อซื้อของมากิน
ไม่ค่อยตรงกับหัวข้อกระทู้เท่าไรเลย - -"
#8
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 03:23 PM
ทีนี้ มาเจาะดูพวกที่ตรงใจเรา คือ พวกที่เชื่อว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ล้วนมาจากกรรมในอดีตทั้งสิ้น เวลาพวกนี้ไปสอนศิษย์ ก็จะมีศิษย์บางคน แย้งอย่างที่คุณสาคร ยกกระทู้มานั่นแหละว่า มันไม่สมเหตุผลเลย อย่างนี้เจ็บป่วยก็ปล่อยไปตายไปสิ เป็นต้น
แต่เมื่อพระพุทธเจ้าตรงตรัสรู้ โดยทรงไม่คิด แต่ออกจากความคิด ทำจิตให้สงบ แล้วพบทางออก พระพุทธองค์ จึงทรงเห็นชัดเจนว่า ผลที่คนเราประสบอยู่นั้น มาจากเหตุแน่นอน แต่ไม่ได้มาจากเหตุในอดีตอย่างเดียว และไม่ได้มาจากเหตุในปัจจุบันอย่างเดียว แต่มาจากทั้ง 2 เหตุคือ เหตุในอดีต กับเหตุในปัจจุบันประกอบกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างก็เคลียรครับ คือ เวลาเกิดปัญหา ก็ต้องแก้จากสาเหตุทั้งสาเหตุอดีต และสาเหตุปัจจุบัน ไม่ใช่แก้จากสาเหตุอดีต อย่างเดียว หรือแก้จากสาเหตุปัจจุบันอย่างเดียว
เช่น เวลาเจ็บป่วย เหตุอดีต ก็ทำกรรมมา วิธีแก้ไข ก็ไม่ทำกรรมใหม่ และหมั่นสร้างบุญหนีกรรม อุทิศให้ผู้ที่เคยล่วงเกิน
ส่วนเหตุปัจจุบัน ก็ต้องไปตรวจสอบ ธาตุ 4 กินอะไรผิดปรกติหรือเปล่า นอนผิดที่หรือเปล่า ออกกำลังบ้างมั้ย ฯลฯ แล้วก็แก้ไขไปตามความรู้ปัจจุบัน
การแก้ไขทั้ง 2 เหตุ ย่อมแก้ปัญหาได้จริง และย่อมได้ชื่อว่า ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์จริงน่ะครับ ส่วนการแก้ไขเพียงเหตุเดียว ย่อมแก้ปัญหาไม่ได้จริง และไม่ได้ชื่อว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เข้าใจผิดไปน่ะครับ
#9
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 03:43 PM
เรื่องนี้ครูไม่ใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าเราปล่อยให้เป็นอย่างนั้นก็เท่ากับประมาท ปล่อยให้วิบากมารได้ช่อง เติมเชื้อบาปที่มันจะหมดผลให้ได้มีโอกาสทำบาปใหม่ๆ อีก
แม้ในพระไตรปิฎก ก็ยังมีกล่าวไว้นะว่า การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า (สร้างบุญกุศล) แม้เพียงวันเดียวก็ยังประเสริฐ
ถ้าเราป่วยเรื่องกายหยาบ ก็ให้เป็นหน้าที่หมอรักษาไป ส่วนจิตใจเราก็ต้องประคองเอาไว้ไม่ให้หมอง
#10
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 04:09 PM
1)ปุพเพกตวาทิน คำสอนที่เชื่อว่าทุกสิ่งในโลกนั้เกิดจากกรรมเก่าเพียงอย่างเดียว ถูกกำหนดไว้แล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้
2)อิศวรนิรมิตวาทิน คำสอนที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีเทพเจ้าเป็นผู้กำหนดให้เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขึ้นอยู่กับองค์เทพนั้นๆ
3)อเหตุกวาทิน คำสอนที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เกิดขึ้นมาได้เอง ไม่มีสิ่งใดมากำหนด ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่าคำสอนดังที่ว่านี้เป็นคำสอนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่คล้ายกับคำสอนของพระพุทธศาสนามาก
และพระองค์ยังได้ทรงตรัสว่าคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น เป็นกรรมวาทิน แม้ว่ากรรมบันดาลให้เป็นไปแต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ยังทรงตรัสถึงหลักในการพิจารณาสิ่งที่เกิดในโลกนี้ไว้ในหลัก นิยาม5 คือ
1.กรรมนิยาม อธิบายในสิ่งที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
2.จิตนิยาม อธิบายในสิ่งที่เกิดจากจิต อำนาจของจิต กลไกการทำงานของจิต
3.พีชนิยาม อธิบายในสิ่งที่เกิดจากหลักกลไกตามธรรมชาติ เช่น การปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว
4.อุตุนิยาม อธิบายในสิ่งที่เกิดจากลมฟ้าอากาศ ธาตุทั้ง4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
5.ธรรมนิยาม อธิบายในสิ่งที่เกิดจากหลักแห่งธรรม ทั้งฝ่ายกุศล อกุศล
ดังนั้นการที่เราเจ็บป่วย แม้ว่าจะเกิดจากอำนาจของอกุศลวิปาก แต่ยังมีเรื่องของอำนาจของจิต ธรรม สมดุลธาตุ4 ซึ่งสามารถนำมาใช้แก้ไข ผ่อนหนักเป็นเบา รวมทั้งที่ทางวิทยาศาสตร์ค้นพบเชื้อโรคซึ่งก็คือ พีชนิยามอย่างหนึ่ง ก็เป็นการแก้ที่สาเหตุได้เช่นกัน
ทุกสิ่งที่มีเหตุเกิด ย่อมมีเหตุดับได้เช่นกัน จับหลักคิดให้ถูก แล้วไปแก้ที่สาเหตุนั้นๆสิครับ
แม้แต่องค์มหาปูชนียาจารย์ยังใช้หลักวิชชาแก้รักษาโรคให้กับคนป่วยที่ไม่มีทางรักษาในทางการแพทย์ในยุคนี้เลย เราเป็นลูกศิษย์ของท่านทำไมไม่เดินรอยตามครูล่ะครับ ลองคิดดูให้ดีนะ
#11
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 05:22 PM
ขอบคุณครับ ถ้าไม่มีผู้ชี้แนะ บางครั้งเราก็จับแง่คิดผิดไปได้เหมือนกัน
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#12
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 05:44 PM
เราควรจะปล่อยให้กรรมเขาเอาคืน จากที่เราทำไม่ดีเอาใว้ ไม่ใช่หรือครับ
ยอมรับชะตากรรมที่เราเคยก่อเอาใว้ เพราะว่าบางคนรักษามายาวนานมาก สารพัดหมอที่ดีที่สุดก็สรรหามา เงินทองไม่อั้นเพราะร่ำรวย แต่ก็ยังเจ็บป่วยทรมานสุดท้ายก็ตาย แต่บางคนเมื่อเจ็บป่วยแล้ว ตัวเองยากจนไม่มีเงินรักษา แล้วเขาก็หายจากอาการป่วยไข้ไปเองทั้งๆที่ไม่มีหมอดีๆไม่ได้กินยา อย่างนี้ไม่ใช่เพราะกรรมหรือ ยอมรับความจริงว่านี่คือกรรมที่เราสร้างเอาใว้อาจจะทำให้สบายใจขึ้น จะได้ไม่ต้องไปคิดหาทางให้หายป่วยจนเกิดความวุ่นวายใจ เพราะทรมานร่างกายก็น่าจะเพียงพอแล้ว ผมคิดผิดหรือเปล่าครับ
ไม่ผิดหรอกแต่เป็นการมองหรือคิดด้านเดียว คือคิดแต่ผลของวิบาก ชวนให้ใจท้อแท้
คนเกิดในยุคนี้ ถือว่ามีโชค คือมีโอกาสพบพระสัทธรรมให้ศึกษา หากทุกคนรู้เป้าหมายของคนเราว่าเกิดมาทำไมแล้ว เราคงต้องเร่งสร้าง สั่งสมบุญ บารมี ให้ต่อเนื่อง ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ
ดังนั้นจึงไม่ควรลืมว่า เราต่างก็เคยสร้างกุศลมาแล้วเหมือนกัน จึงควรคิดถึงผลบุญที่ได้เมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ไว้มากกว่า จิตใจจะผ่องใส อย่างน้อยก็เพื่อตัดรอนวิบากกรรมเหล่านั้นให้หาย หรือ เบาบางลง จะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบุญบารมี
#13
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 06:05 PM
#14
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 07:38 PM
ว่าไงก็ต้องว่าตามกันใช่ไหมครับ
อดีตผิดพลาด ให้ลืมให้หมด
ทำดีให้ยิ่ง ๆ
ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมกาย
สำหรับเคสนี้นะครับ
กรรมกำลังส่งผล ก็ตาม
เราก็ต้องทำดีให้สุด ๆ
เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบานะครับ
เบา คือ เจ็บป่วยน้อยลง
เบา คือ เจอแพทย์ที่มีความสามารถ
เบา คือ รักษาแล้วหาย
เป็นต้น
กรณีเรามีทรัพย์น้อยในการสร้างบารมี
ก็ให้ใช้แรงสิครับ ช่วยงานพระศาสนา
พูดชักชวนให้ทำความดี
รักษาศีลห้า ศีลแปดให้ยิ่ง ๆ
แล้วสำคัญมาก สุดคือ การรักษาใจ และ ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายครับ
#15
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 07:44 PM
แต่ถ้าคุณขี้เกียจไปหาหมอ จนโรคเรื้อรัง ก็แสดงว่าบาปของคุณปิดกันอารมของคุณ ให้ขี้เกียจรักษา จนคุณทุกทรมาณอยู่เรื่อยไป
แต่ถ้าวันไหน คุณฮึดสู้ขึ้นมา หอบสังขารตัวเองไปหาหมอแล้ว เมื่อนั้น แสดงว่า บาปเริ่มบาง และบุญเริ่มส่งผลให้โรคหายแล้ว
ก็เลือกเอานะครับ ....
#16
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 08:46 PM
#17
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 04:46 AM
#18
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 10:39 AM
#19
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 10:48 AM
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#20
โพสต์เมื่อ 23 August 2006 - 04:03 PM
#21
โพสต์เมื่อ 24 August 2006 - 09:35 AM
สังขารร่างกายนี้ เรายังต้องรักษาสงวนไว้เพื่อสร้างบารมีต่อไป
เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องดูแลร่างไว้ให้ดี
ถ้าปกติเราดูแลสุขภาพอย่างดีตามสมควรแล้ว โรคภัยจะไม่ค่อยถามหา
อาจบังเอิญเจอเหตุ เช่น อากาศไม่ดี ความชื้นแปรปรวน ก็อาจเจ็บไข้ไปได้บ้าง
ถ้าเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมา ก็อาจเป็นเพราะกรรมเก่าส่งผลด้วย
แต่ไม่ใช่ว่ากรรมมาส่งผลแล้วต้องนอนรอความตายหรือรอให้หายเอง
เราต้องสู้ สู้จนถึงที่สุด เมื่อสุดแล้ว จะเป็นอย่างไร ก็ยอมรับและทำใจเตรียมตัว
หากรักษาไม่ได้แล้วจริงๆ แล้วจะต้องรอวันตายจริงๆ ก็เตรียมใจใสๆไว้ ไม่เสียใจ ไม่อาวรณ์คร่ำครวญ
คนที่ไม่ป่วยก็ควรหมั่น "ซ้อมตายก่อนตาย" ไว้ทุกวัน เพื่อความไม่ประมาท
#22
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 09:13 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี