ทำไมบางคนชอบวัดพระธรรมกายขนาดไห้ได้ทุกอย่าง แต่ทำไมบางคนถึงแอนตี้วัดพระธรรมกายขนาดหนักแบบไม่เอาวัดนี้เลย
#1
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 07:50 PM
#2
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 08:47 PM
ถ้าเปรียบแล้ว ก็เหมือนกับนักเรียนป.เอก น่ะแหล่ะค่ะ ต้องใช้เวลาทำ thesis กว่าจะได้สูตรทางคณิตศาสตร์มาซักสูตรนึง ต้องใช้เวลามากมาย เพราะต้องลองผิดลองถูก ศึกษาตามตำราต่างๆ จากศาสตราจารย์ทางด้านนั้นๆ เป็นร้อยๆ คน หรือทดลองหาทฤษฎีด้วยตนเอง ลองแล้วลองอีก จนเจอสูตรอมตะ ที่ถูกต้องที่สุด ไม่มีอะไรมาค้านได้ นั่นต้องอาศัยเวลา
แต่ถ้าหากเราได้นำเอาสูตรนั้น ที่ผ่านการรับรองแล้ว พิสูจน์ดีแล้ว ว่าใช้ผลได้จริงๆ จากทุกๆ คนที่ได้ลองทำการพิสูจน์ มาพิสูจน์ด้วยตัวของเราเอง ผลย่อมออกมาถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเราทำถูกวิธี ไม่จำเป็นต้องสาบานอะไร เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่คุณเองก็สามารถพิสูจน์ได้ ที่ยังสงสัยอยู่ ก็เพราะไม่ได้ทำการพิสูจน์ด้วยตัวเอง น่ะเอง
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมถึงชอบ ก็ต้องตอบว่า ถ้าได้ลองฝึกสมาธิ ด้วยวิธี "หยุดเป็นตัวสำเร็จ" หมายถึง หยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด ตามสูตรนี้ของมหาปูชนียาจารย์ อย่างหลวงปู่สดแล้ว ใครๆ ก็ต้องตอบได้คำเดียวว่า
คุ้มจริงๆ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มารู้จักกับคำว่า "หยุด เป็นตัวสำเร็จ" ตราบใดที่คุณยังไม่ลอง คุณก็จะไม่รู้ ว่ามันมีความสุขอย่างไร กับการได้หยุดใจในศูนย์กลางกาย แล้วก็สงสัยอยู่เรื่อยไป ว่าทำไมคนที่ฝึกเขาถึงชอบกันนักค่ะ คนที่เขาฝึกได้ผลดี แล้วชอบ ไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นดวงแก้ว เห็นองค์พระ แล้วจะได้ไม่อายใครนะคะ แต่องค์พระ หรือดวงแก้วนั้น เป็นเพียงมาตรวัดระดับความหยุดนิ่งของใจต่างหาก ยิ่งนิ่งมาก ดิ่งมาก ความสุขก็ยิ่งมากขึ้นทับทวี แล้วสิ่งที่มีอยู่แล้ว ภายใน ก็จะปรากฎให้เห็น เพราะการหยุดใจให้นิ่งสนิท ก็เหมือนเราเอาแก้วน้ำที่ขุ่นคลั่กเต็มไปด้วยตะกอน วางทิ้งไว้เฉยๆ เมื่อน้ำนิ่งสนิท ตะกอนที่หนักกว่าน้ำ ก็จะค่อยๆ จมลงสู่ก้นแก้ว ทำให้เราเห็นความใส ซึ่งเป็นสีธรรมชาติของน้ำได้ ทำให้เห็นชัดว่ามี อะไรอยู่ในน้ำนั้นน่ะค่ะ
แต่สิ่งที่เขาชอบจริงๆ นั้น ไม่ใช่เพราะได้เห็นดวงแก้ว หรือได้เห็นองค์พระ เพราะจะได้ไม่อายใครนะคะ แต่ชอบที่ความสุขแบบลุ่มลึก นุ่มเีนียน ละเมียดละไม เย็นตาเย็นใจ เบากาย เบาใจ ความทุกข์ทั้งหลาย มันหายไปเหมือนปลิดทิ้ง แม้หลับตา แต่ก็เห็นความสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์หลายล้านดวงทั้งที่ตาปิด (ปกติหลับตาแล้วจะเห็นความมืด) อิ่มเอิบใจ ซาบซ่านทั่วทุกสรรพางค์กาย สัมผัสถึงชีวิตที่เต็มอิ่ม ไม่บุบ ไม่เีบี้ยว ไม่เต็มไปด้วยกิเลส ไม่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่กับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงที่ปราศจากคำถาม เป็นความสุขชนิดที่ไม่มีความสุขใดๆ ในโลกสามารถเทียบได้เท่า เป็นความรู้สึกที่ยากเกินจะบรรยายนัก เมื่อใครก็ตาม ได้เข้าถึงความรู้สึกชนิดนี้ได้ จากการทำใจหยุดใจนิ่ง สนิทติดแน่นที่ศูนย์กลางกายได้แล้วล่ะก็ เมื่อนั้น คนผู้นั้น จะเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งคือ รักคน รักสรรพสัตว์ ทั่วทั้งโลก ทั่วตลอดทั้งจักรวาล อยากให้ทุกคนได้เข้าถึงความสุขชนิดนี้เหมือนอย่างที่เราได้เจอมา แม้แต่กับคนที่เราเคยเกลียดถึงขนาด ตายก็ไม่เผาผี เราก็จะกลับรักคนๆ นั้น เอื้ออาทรเขา ได้อย่างน่าประหลาดใจทีเดียว แบบไร้เงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งกว่าความรักแบบที่แม่รักลูก เพราะความสุขชนิดนี้มันมีคุณค่ามากมายยิ่งกว่าได้โคตรเพชร ยิ่งกว่าได้เป็นอภิมหาเศรษฐี ยิ่งกว่าได้สิ่งใดๆ ในโลกนี้ เพราะมันเป็นความสุขที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ คน สัตว์ สิ่งของ ที่ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือไม่เที่ยงนั่นเองค่ะ
เอาเป็นว่า ถึงแม้จะบรรยายอย่างไร คุณก็ไม่มีทางเข้าใจได้เลยค่ะ หากคุณไม่ได้ทดลองทำตามแล้วรู้ซึ้งงงง ถึงคำว่า "หยุด เป็นตัวสำเร็จ" ของหลวงปู่สดท่าน
ชักจะยาวไปแล้ว แบ่งให้คนอื่นได้ตอบมั่งละกันค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#3
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 09:39 PM
#4
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 10:06 PM
ฉันใดฉันนั้นครับ ที่หลวงปู่ท่านใช้เวลาหลายปี เพราะท่านเป็นคนแรกที่คิดค้นและหาวิธีแก้สมการไงครับ แต่พวกเรารุ่นหลังๆ ได้นำวิธีแก้สมการสำเร็จรูปมาใช้ จึงสามารถหาผลลัพท์ได้เร็วขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเรายกย่องให้ท่านเป็นครูใหญ่ และนับถือยกย่องท่าน เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่คิดค้นทฤษฎีต่างๆได้สำเร็จแล้วได้รับการยกย่องไงครับ
สำหรับตัวผม ชอบเพราะไม่เหมือนกับวัดอื่น เอาแค่บรรยากาศของวัดก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้วครับ เช่น ความสะอาดของวัด ความเป็นระเบียบของวัด ความเป็นกันเองของคนในวัด ยกตัวอย่างนะครับ เมื่อก่อนที่ผมยังไม่ได้เข้าวัดนี้ เคยไปถวายสังฆทานที่วัดอื่น แค่เข้าไปก็เจอระเบิดบกแล้ว(อุนจิสุนัขน่ะครับ) พอขึ้นศาลา สิ่งแรกที่เจอคือกลิ่นแมวตลบอบอวลไปทั่ว ถวายสังฆทานเสร็จ ไปเข้าห้องนําวัด โอ้ว! พระเจ้าจ๊อด มันยอดมาก ต้องทนอั้นกลับมาเข้าที่บ้าน - -ล
แต่ที่วัดนี้ หน้ามือเป้นหลังมือเลยอ่ะ เป็นวัดแรกที่ผมสามารถเข้าห้องนําได้อย่างสบายใจ ถ้าคนไม่เยอะห้องนําสะอาดกว่าห้างอีกนะครับ วัดก็สะอาด ไม่ต้องระวังระเบิดบก ทำให้สามารถทำบุญได้โดยไม่หงุดหงิดใจครับ ^ ^
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#5
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 10:15 PM
สรุปประเด็นที่คุณถาม มีอยู่ 2 ประเด็น คือ
1.เรื่องของคนชอบวัด ฯ ขนาดที่ว่าสามารถให้ได้ทุกอย่าง ในขณะที่บางคนไม่ชอบเอามาก ๆ
2.ที่ว่าได้ดวงแก้วในท้องนั่น ได้กันจริง ๆ หรือว่าตามกันไป เพราะขนาดหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านยังต้องฝึกนาน
ขออนุญาตเรียนว่า คุณไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องวิชชาธรรมกายเลย
อย่าเพิ่งโกรธที่ทักเอาอย่างนี้ แต่เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า คุณต้องเรียนเพิ่มเติม ศึกษาเพิ่มเติม จึงจะเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ก็ขออธิบายสั้น ๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจรวบยอดดังนี้
วิชชาธรรมกายเป็นวิชาในพระพุทธศานา
สอนให้เดินตามร่องรอยของพระศาสนาอย่างไม่บิดเบือน มุ่งตรงสู่พระนิพพาน
วิชชาธรรมกายเป็นทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา
หลักที่สอนกันแล้วคุยฟุ้งกันว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นเลิศ นั้น
วิชชาธรรมกายเป็นวิชชาที่เห็นและเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน
หัวใจของวิชชธรรมกายอยู่ตรงที่การทำใจหยุดใจนิ่ง ที่ศูนย์กลางกาย
ถ้าทำได้ ทำถูกส่วน ก็สามารถรู้เห็นได้ง่าย ไม่มีอะไรยาก
ดังนั้น การที่คุณป้าทั้งหลายท่านจะบอกว่า เห็นดวงแก้ว ๆ นั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหลือบ่ากว่าแรง
แต่ขออนุญาตเรียนเพื่อความชัดเจนิกนิดหน่อยตรงจุดนี้ว่า
ดวงแก้วที่บอกว่าเห็น ๆ กันในท้องนั้น แบ่งเป็น 2 อย่าง
คือ 1. เห็นดวงนิมิต ซึ่งยังไม่แน่นอน ยังไม่มั่นคง สามารถเสื่อมและโทรมลงไปได้เมื่อสมาธิเคลื่อน
2. เห็นดวงปฐมมรรค ซึ่งแน่นอน มั่นคง และชัดเจนกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ก็สามารถเสื่อมลงได้ถ้าไม่ระมัดระวังรักษาใจไว้ให้ดี
และนี่คือคำตอบในส่วนที่ 2
ส่วนคำตอบในส่วนที่ 1 เรื่องการรักชอบวัด ฯ นั้น ไม่มีใครไปบังคับใครได้
เขารักเขาชอบ ก็แสดงว่าเขามีเหตุผล คงไม่ได้ไปหลง บ้า ใบ้ตามใครเป็นแน่
อย่างน้อย คนที่มีอายุ ผ่านโลกมาไม่น้อย ก็ย่อมจะต้องเห็นอะไรดี ๆ บ้าง ไม่มาก ก็น้อย
บางที เขาอาจจะเห็นอะไร เข้าใจอะไร และได้อะไร มากกว่าที่เราคิด และมากกว่าที่เราทำได้เองเสียด้วยซ้ำ
"ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก"
---------------------------------------
ขออนุญาตแก้ไขโดย ฟ้า้ร้าง
#6
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 10:25 PM
อ้างอิงกระทู้ http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=6452
สำหรับวัดพระธรรมกายนั้น นับว่าเป็นวัดเกิดใหม่สร้างมาได้แค่ 30 กว่าปี โดยการนำของศิษย์เอกในการเจริญสมาธิภาวนาของหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ คือ แม่ชี จันทร์ ขนนกยูง (คนวัดจะเรียกว่า คุณยายอาจารย์ ครับ) โดย หลวงพ่อวัดปากน้ำยกย่องคุณยายอาจารย์ว่า เป็นหนึ่งไม่มีสอง
ครั้นสิ้นหลวงพ่อวัดปากน้ำแล้ว คุณยายอาจารย์ก็ยังคงสอนสมาธิภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายต่อมา โดยได้เจอศิษย์คนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน คือ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (พระไชยบูลย์ ธัมมชโย) และ เมื่อมีลูกศิษย์มาศึกษาสมาธิกับคุณยายอาจารย์มากขึ้น บ้านของคุณยายอาจารย์ที่วัดปากน้ำไม่สามารถรองรับสมาชิกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ หมู่คณะศิษย์จึงคิดสร้างสถานที่แห่งหนึ่งที่ใหญ่โตกว้างขวางเพียงพอ เพื่อเน้นการสอนเจริญสมาธิภาวนา ซึ่งก็คือวัดพระธรรมกายในปัจจุบัน ดังนั้นจึงอาจจะกล่าวได้ว่า วัดพระธรรมกาย ก็คือ "วัดลูก" ที่แตกออกมาจากวัดปากน้ำ โดยการก่อสร้างของลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำนั่นเอง
ด้วยเหตุที่ ผู้มาในภายหลังได้เห็นคุณค่าของการเจริญสมาธิภาวนา ทำให้เกิดการชักชวนกันแบบปากต่อปาก สาธุชนจึงมามากขึ้นๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนในที่สุดต้องขยายพื้นที่เป็นวัดพระธรรมกายที่กว้างขวาง และ มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมากมาย เพื่อรองรับการมาฝึกสมาธิภาวนาได้ครั้งละมากๆ เพราะ พระราชภาวนาวิสุทธิ์มีความคิดที่ว่า ถ้าสาธุชนจะมาวัดแล้วถ้าวัดเต็ม จะทำการปิดประตูวัด ไม่รับคนเพิ่มก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นการทำลายศรัทธาของผู้ที่มีใจใฝ่ในธรรม แต่ถ้าคนมามาก แล้วไม่มีสถานที่รองรับ ที่พออำนวยความสะดวกตามสมควร ให้ไปนั่งสมาธิกลางแดด กลางฝน ก็ไม่ได้อีก เพราะจะทำให้คนที่ยังมีศรัทธาง่อนแง่น ไม่อยากมาฝึกสมาธิต่อเพราะความยากลำบาก ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องเสียโอกาสของตนเองไป ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการก่อสร้างใหญ่โต จนเป็นที่กังขาของหลายๆ คนที่ยังไม่เคยมาวัด มาสัมผัสบรรยากาศในพิธีกรรมบุญต่างๆ ว่าแต่ละงานมีปริมาณสาธุชนมากเพียงไร
วิชชาธรรมกายคืออะไร ถูกต้องตามพระพุทธศาสนาหรือไม่
สำหรับวิชชาธรรมกายนั้น เป็นวิชชาที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี สด จนฺสโร ได้นั่งสมาธิเข้าถึงเมื่อกลางวันเพ็ญเดือน 10 ปี พ.ศ.2460 ณ พระอุโบสถวัดโบสถ์บน บางคูเวียง จังหวัดนนทบุรี คือเมื่อกว่า 80 ปีที่ผ่านมา
แท้จริงแล้ว แนวการปฏิบัติตามวิชชาธรรมกายนั้น เป็นวิธีการที่มีในคัมภีร์วิสุทธิมรรค รายละเอียดสามารถอ่านได้ที่ลิงค์ http://www.heritage....misc/study2.htm
คัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้ถือเป็นคัมภีร์แม่แบบของการเจริญสมาธิภาวนาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย และ พระภิกษุจะได้ร่ำเรียนคัมภีร์นี้เมื่อเรียนบาลีสนามหลวงถึงประโยค 8
โดยคัมภีร์ได้กล่าวว่าสมาธิสามารถฝึกได้ 40 วิธี โดย วิธีการฝึกสมาธิแบบตามลมหายใจ หรือที่เรียกว่า อานาปานสติ ซึ่งคนไทยรู้จักกันดี ก็เป็นวิธี 1 ใน 40 วิธีที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้เช่นกัน
สำหรับการปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายนั้น จะพูดให้ถูกต้องแล้ว คือ การฝึกสมาธิแบบ อาโลกสิณ และ พุทธานุสติ ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ ก็มีในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเช่นเดียวกัน โดย
1) การที่สอนให้นึกถึง ดวงแก้วกลมใส จัดเป็น อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง)
2) การสอนให้นึกถึงพระพุทธรูปแก้วใส จัดเป็น พุทธานุสติ (นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์)
3) การสอนให้ภาวนาว่า "สัมมา อะระหัง" จัดเป็น พุทธานุสติ เช่นเดียวกัน
โดยเมื่อทำสมาธิภาวนาจนใจหยุดถูกส่วนจะเห็นดวงสว่างภายในเกิดที่กลายกาย ซึ่งหลวงพ่อวัดปากน้ำเรียกว่า " ดวงปฐมมรรค " หรือ " ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน " และเมื่อดำเนินจิตให้นิ่ง ยิ่งขึ้น หยุดใจให้นิ่งมากขึ้นไปอีก จิตก็จะดำเนินเข้าไปสู่ภายใน จนถึง กายๆ หนึ่ง เรียกว่า " พระธรรมกาย " หรือ " กายธรรม " ด้วยเหตุนี้ การเจริญสมาธิตามที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสั่งสอนโดย ฝึกแบบอาโลกสิณ และ พุทธานุสติ จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า " การฝึกสมาธิตามแนววิชชาธรรมกาย " นั่นเอง ซึ่งทำให้ผู้คนเกิดการเข้าใจผิดพลาดว่า การฝึกสมาธิตามแบบหลวงพ่อสดนี้ ไม่มีในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งถือเป็นการเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างแรง
การฝึกสมาธิในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ อาโลกสิณ และ พุทธานุสติ นี้ สามารถเข้าถึงพระธรรมกายได้หรือไม่
ถ้าฝึกสมาธิในรูปแบบอื่น ก็สามารถเข้าถึงดวงสว่างภายใน หรือ ที่เรียกว่า "ดวงปฐมมรรค" และ พระธรรมกายได้เช่นเดียวกัน แม้แต่การปฎิบัติแบบอานาปานสติ ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็ได้ดวงสว่างเช่นกัน แต่ท่านเรียกว่า "ดวงพุทโธ" ดังหลักฐานข้อความข้างล่าง
อานาปานสติ
การฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ เป็นรูปแบบการฝึกสมาธิที่นิยมฝึกกันมาก ในทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ในที่นี้จักขอยกเอาการฝึกสมาธิตามแบบสายพระธุดงค์อีสาน โดยมีพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นครูผู้สอนสมาธิที่มีชื่อเสียงมากในสายพระธุดงค์อีสาน[๒๙] ซึ่งท่านใช้คำว่า พุท-โธ เป็นหลักในการภาวนาตามจังหวะลมหายใจเข้า-ออก นอกจากนี้ท่านยังเน้นการเดินจงกรม โดยระยะที่จะเดินประมาณ ๕ เมตร ถึง ๑๐ เมตร
มองทอดสายตาดู ไปข้างหน้าประมาณ ๔ ก้าวเพื่อไม่ให้จิตใจวอกแวก ส่วนมือซ้ายก็นำมาวางที่หน้าท้องและมือขวามาวางทับ เพื่อป้องกันแขนแกว่งขณะเดิน และดูสวยงาม เมื่อได้ท่าที่พอดีแล้วก็เดินก้าวขาขวาไป ก็นึกคำว่า "พุท" และเมื่อก้าวขาซ้ายไปก็นึก คำว่า "โธ" เวลาเดินไม่หลับตาแต่ให้ลืมตา และกำหนดสัมผัสของเท้าที่ก้าวเหยียบลงพื้น เดินว่าพุทโธไปเรื่อย พอถึงปลายทาง เดินก็หยุดนิดหนึ่ง แล้วก็หันกลับด้านขวามือ มาทางเดิม และเดินว่าพุทโธต่อไป อย่าเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป กำหนดจิตของเราอยู่ที่ก้าวเดินและคำภาวนา ไม่ให้จิตวอกแวก
สิ่งสำคัญคือ การกำหนดจิตให้ทันการเคลื่อนไหว ส่วนการเดินเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น เราควรทำอย่างน้อย ๓๐ นาที และจะดีมากขึ้นถ้าตามด้วยการนั่งสมาธิ เพราะการเดินจงกรม เป็นการเปลี่ยน อิริยาบถ ปล่อยอารมณ์ และเตรียมร่างกายให้พร้อมสู่การนั่งสมาธิ
อิริยาบถนั่งสมาธิ
นั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย วางลงบนตัก ตั้งกายตรง (ไม่นั่งก้มหน้า ไม่นั่งเงยหน้า ไม่นั่งเอียงซ้าย ไม่เอียงขวา ไม่โยกหน้า ไม่โยกหลัง) ไม่กดและข่มอวัยวะในร่างกาย
วางกายให้สบาย ๆ ตั้งจิตให้ตรง ลงตรงหน้า กำหนดรู้ซึ่งจิตเฉพาะหน้า ไม่ส่งจิตให้ฟุ้งซ่าน ไปในเบื้องหน้า-เบื้องหลัง (อนาคตและอดีต) พึงเป็นผู้มีสติ กำหนดจิตรวมเข้าตั้งไว้ในจิต บริกรรม พุทโธจนกว่าจะเป็นเอกัคคตาจิต
สรุปการทำสมาธิแบบอานาปานสติ จะใช้วิธีเอาสติไปอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก โดยภาวนาพุท-โธ กำกับด้วย ส่วนนอกรอบก็ฝึกสติด้วยการเดินจงกรมพร้อมกับภาวนา พุท-โธ ไปด้วย ซึ่งผลการปฏิบัติที่ดีก็จะทำให้ใจสงบ มีดวงสว่าง เป็นต้น หรือที่พระอาจารย์มั่นมักเรียกว่า ดวงพุทโธ
อ้างอิงจากลิงค์ http://dou_beta.trip...D101_03_th.html
พระธรรมกายคืออะไร คำว่า "ธรรมกาย" มีหลักฐานในพระพุทธศาสนาหรือไม่
" พระธรรมกาย " ซึ่งเป็นกายพระแก้วใส มีลักษณะเป็นพระปฏิมากรแก้วใส เกศดอกบัวตูม หลวงพ่อวัดปากน้ำกล่าวว่า เป็น กายเดิมจิตเดิม มีอยู่มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ชาติไหน ภาษาไหน เชื่อว่าตนเองมีพระธรรมกายหรือไม่ ก็ตาม เพียงแต่การเจริญสมาธิภาวนา เป็นการทำให้เข้าไปพบของจริงที่มีอยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุกคนเท่านั้น ไม่ว่า เค้าเหล่านั้นจะตายและเกิดกี่ครั้งก็ตาม พระธรรมกายนี้ ก็ยังคงอยู่กับเขาผู้นั้น ไม่ว่าจะไปเกิดอยู่ที่แห่งหนใด ของโลกใบนี้ เชื่อหรือไม่เชื่อถึงการมีอยู่ของพระธรรมกายภายในของตนก็ตาม
พระธรรมกายนี้ ผู้เข้าถึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องไปถามใคร หมดข้อสงสัย ว่าใช่ของแท้ทางพระพุทธศาสนาหรือไม่ สมดังบทสวดยกย่องพระธรรมในการทำวัตรเช้า วัตรเย็นที่ว่า " ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ แปลว่า วิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน "
ถามว่าสิ่งที่เรียกว่า "พระธรรมกาย" นี้ เป็นสิ่งที่มีบันทึกในพระไตรปิฏกหรือไม่ ขอตอบว่า สำหรับพระไตรปิฏกชุดปัจจุบัน ก็มีบันทึกกล่าวถึงคำนี้อยู่หลายแห่งด้วยกัน สามารถดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์นี้ครับ
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=2541
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#7
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 10:43 PM
ฉะนั้นการนั่งสมาธิจึงได้ผลที่ดีขึ้น เพราะว่าจิตใจเราได้ปล่อยวางด้วยการให้ทาน มีเมตตาจิตมากขึ้น
การรักษาศีลทำให้จิตใจเราฟุ้งน้อยลง มีความระมัดระวังกายวาจาใจสม่ำเสมอ มีอกุศลติดน้อยลง
จิตใจก็จะมีความผ่อนคลายโปร่งเบาเป็นระเบียบมากขึ้น ทั้งหมดทำให้การนั่งสมาธิได้ผลที่เร็วขึ้นด้วย
ขอให้น้องอิอิ... ลองเข้ามาฝึกเป็นอาสาสมัครกัลยาณมิตรกับทางวัด ฝึกปล่อยสัตว์ ถวายสังฆทาน+ภัตตาหาร
ลองมาให้บริการผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่มองผู้หญิงผู้ชายด้วยความรู้สึกทางเพศ แต่เป็นพี่น้องพ้องเดียวกัน
ลองมาฝึกพูดอนุโมทนาบุญ สาธุ ยกมือไหว้ผู้อื่นก่อน ยิ้มให้ผู้อื่นก่อน ยินดีรับฟังคำสอนของผู้ที่เค้าฝึกเป็นกัลยาณมิตร
ถึงจะนั่งสมาธิเก่ง แต่ไม่ยอมการลดทิฐิมานะ โทสะ ก็จะทำให้เราไม่ได้พบความสว่างภายในได้นะคะ
และอีกข้อนึง ต้องยอมรับว่าคนเราทุกคนมีอดีตชาติมาก่อน เรารู้หรือไม่ว่าเค้าเคยนั่งเคยฝึกมามาก
และเมื่อเค้ากลับมาฝึกด้วยทาน ศีล และนั่งสมาธิอีกครั้ง ก็ได้ผลได้เร็ว เพราะบุญส่งผลให้กับเค้า
เรารู้หรือไม่ว่าชาตินี้คนที่ได้ผลการนั่งสมาธิที่ดี แล้วเราบอกว่าเป็นไปไม่ได้ จะเก่งกว่าเราได้ยังไง
เค้าอาจจะเจอปัญหาชีวิตมากกว่าเรา และฝึกที่จะรักษาศีล อดทนที่จะทำดีแม้นตกยาก ก็เป็นตบะข้อนึง
เค้าอาจจะทำมาดีมามากว่าเรา แม้นไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อนเลย แต่พอมานั่งล้วอาจจะได้ผลดีมากกว่าเราก็ได้
ฉะนั้นไม่ควรเปรียบเทียบเรากับใคร เพียงเพราะว่าเห็นว่าเค้าทำน้อย ทำไมได้มากกว่าเรา
จิตใจของเราต้องกว้างพอที่จะยินดีกับผู้อื่น และยินดีที่จะฝึกตนให้ดีขึ้น ด้วยการทำทาน รักษาศีล 5 และศีล 8
ส่วนการนั่งสมาธิแล้วหลับ เพราะว่าจิตฟุ้งซ่านเกินไประหว่างวัน ใช้สมองคิดมากไม่แจ่มใสค่ะ
และการหลับง่ายก็เป็นอานิสงส์ขั้นต้น ของการนั่งสมาธิอยู่แล้วนะคะ เมื่อใจหยุดนิ่ง ไม่เลอะเทอะ
ถ้าร่างกาย และสมองใช้การไปมาก ระบบร่างกายก็จะพักผ่อนตนเองเป็นธรรมดา
ขอให้ฝึกต่อไปด้วยการทำทาน แผ่เมตตา รักษาศีล 5 ให้ครบ และถ้าศีล 8 ได้ยิ่งดี ในระหว่างวัน
แล้วมานั่งสมาธิเมื่อเราหลับพอควรแล้ว ประมาณตอนตี 4 - 6 โมงเช้า ก็จะได้เห็นผลที่ดีขึ้นเองค่ะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#8
โพสต์เมื่อ 10 September 2006 - 11:54 PM
นั่งแรกๆก็ง่วงล่ะค่ะ
แต่นั่งไปนานๆก็จะหาย
สบายจนหลับดีกว่าฟุ้งนะคะ
ถ้าเริ่มนั่งตอนนี้ เอาจริงตอนนี้ก็ได้ตอนนี้ค่ะ
คนที่นั่งไม่ได้มีแต่ คนตาย คนบ้า คนที่ไม่ได้นั่ง(เมื่อก่อนใช้คนปัญญาอ่อน แต่มีเด็กดาวซินโดรมนั่งได้เป็นกรณีพิเศษเลยเปลี่ยนค่ะ)
เพิ่มวันละ 1 นาทีก็ได้ค่ะ เดี๋ยวก็สบาย โง โปร่ง เบาเอง
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#9
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 05:18 AM
#10
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 07:02 AM
ขอแนะนำทั้งเจ้าของกระทู้ และคุณตามลอย
นอกจากการนั่งสมาธิแล้ว ลองทำกิจกรรมบุญอื่นๆที่ทางวัดได้จัดไว้ให้ด้วยค่ะ
จะช่วยให้การนั่งสมาธิดีขึ้น เช่น ปล่อยปลา บูชาเจดีย์ ถวายภัตตาหาร+ไทยธรรม
เป็นกัลยาณมิตรให้ผู้อื่น ฯลฯ
แม้นมาวัดไม่ได้ก็ลองตักบาตรตอนเช้าดูก็ได้ค่ะ
ลองบูชาธรรมหลวงปู่ก่อนถึงวันที่ 10 ตุลาคมว่าเราจะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ในระหว่างวัน
และศีล 8 ในวันพระ อธิษฐานกับท่านดูก็ได้ค่ะว่าเราอยากได้ผลการนั่งสมาธิที่ดีขึ้น
ลองดูนะคะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#11
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 08:38 AM
#12
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 09:18 AM
เท่าที่มาวัด แน่นอนว่าสาธุชนที่มาวัด ต่างก็เป็นผู้ฝึกตน จำนวนคนที่มามากๆ ย่อมมีกระทบกันบ้าง
แต่การสอนของวัด สุดยอด ข้อนี้ต้องลองมาศึกษาเอง
เรื่องการนั่งสมาธิ หลักก็คือ หยุดเป็นตัวสำเร็จ ซึ่งหลวงปู่สดท่านพิสูจน์มาแล้ว พวกเราเพียงแต่นำมาปฏิบัติตาม
#13
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 09:40 AM
อาจจะทำไม่ถูกวิธีครับวิธีแรกนะครับ
ให้นั่งหลังตรงคอต้องตรงนะครับไม่งั้นหลับแน่เลย
วิธีที่สองอย่าคิดอะไรมากและอย่าผ่อนร่างกายเกินไปไม่งั้นหลับอีกแหละ
วิธีที่สามหาอะไรก็ได้มารองที่ก้นกบให้สูงขึ้นมาสัก2นิ้ว ทำไมต้องมารองที่นี้หรือเพราะว่าจะปรับให้ร่างกาสมดุลย์
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#14
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 10:03 AM
ลองลดการกินแป้ง แล้วเน้นโปรตีนแทนค่ะ
อย่ากินอิ่มมากเกินไป จะหลับง่าย พวกเครื่องดื่มอย่างโค้ก งดก็ดีค่ะ
เห็นด้วยกับคุณOmenaค่ะที่ว่า คนที่นั่งไม่ได้มีแต่ คนตาย คนบ้า คนที่ไม่ได้นั่ง, เพราะฉนั้น ถ้าได้นั่ง ก็นั่งได้ค่ะ (แต่แรกๆต้องอดทนนิดนึง)
สมาธิเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตนะจ๊ะ เหมือนกับการแปรงฟัน,อาบน้ำชำระร่างกาย
จิตใจก็เช่นกัน ก็ต้องชำระจิตใจให้สะอาด (ทุกวันได้ยิ่งดีค่ะ) ด้วยการสวดมนต์หรือทำสมาธิค่ะ
ถ้าถามว่าทำไมเราต้องชำระจิตใจให้สะอาดด้วยล่ะ เราก็ไม่ได้คิดไม่ดี หรือคิดร้ายกับใครนี่นา
ก็ตอบว่าเอาแบบสั้นๆพอเข้าใจว่า อาการใจหมองนี่ ไม่ได้เกิดเพราะการคิดไม่ดีอย่างเดียว แค่พูดคำหยาบบ่อยๆ
ก็ใจหมองได้ โดยเราไม่รู้ตัว แล้วเราจะถูกคิดบัญชีย้อนหลังตอนใกล้ตาย หากไม่ได้สั่งสมบุญกุศลไว้เลย จะไปเกิดเป็นเปรตได้
หากคุณคิดว่า อีกนานกว่าจะตาย เดี๋ยวค่อยไปทำตอนแก่ก็ทัน ขอบอกว่าคุณกำลังประมาทอย่างแรง
เพราะความตายไม่มีนิมิตรหมาย เราสามารถตายได้ทุกเมื่อ
ตอบอาจไม่ค่อยตรงกับกระทู้ถามนะคะ แต่ขอบอกว่าอย่าคิดสงสัยอย่างเดียว ให้มาพิสูจน์ด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นว่าดี ก็ให้ขวนขวายนำมาใส่ตัว สมาธิจะช่วยขัดเกลาตัวเอง แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ และนำมาซึ่งสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต
จะไปวัดหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมใกล้บ้านก็ได้ค่ะ สำหรับมือใหม่ นั่งเป็นหมู่จะนั่งได้นานกว่านั่งเดี่ยวค่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 10:15 AM
เคยได้ยินเรื่องมีวาสนาแต่ปางก่อนไหมครับ คือ
คนบางคนสั่งสมการนั่งสมาธิมามาก ข้ามภพข้ามชาติ เปรียบเหมือนน้ำปริ่มแก้ว เติมอีกนิดเดียวก็เต็ม
แต่บางคนไม่ได้สั่งสมการนั่งสมาธิหรือสั่งสมมาน้อยในอดีต เปรียบเหมือนน้ำก้นแก้ว ก็ต้องเติมเยอะหน่อย กว่าน้ำจะเต็มแก้ว
แต่ภพชาตินี้ใครจะเป็นน้ำปริ่มแก้ว หรือ น้ำก้นแก้ว ก็ช่างมันเถิดครับ เราเติมน้ำของเราไปเรื่อยๆ เพื่อที่ว่าอนาคตจะได้เป็นน้ำปริ่มแก้ว หรือ น้ำเต็มแก้วกับเค้าบ้าง
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#16
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 10:30 AM
คนในสังคม ในประเทศ มีมากมาย เรื่องความชอบ-ความไม่ชอบ ก็มีกันได้เป็นเรื่องปกติ เหมือนคน ๆนึงจะมีทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่ชอบ เช่น ดาราคนนี้คนนั้นก็มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ก็นานาจิตตัง แต่ว่าเราไม่ว่ากัน ใครชอบอะไร ไปวัดไหนก็เป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคล
แต่เรื่องการนั่งสมาธิ ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยความขึ้เกียจ ....
แล้วก็จะไม่พบอะไรเลยค่ะ ....
เพราะว่าคุณไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะค้นหาความจริงของชีวิตสักเท่าไหร่ ก็เลยทำให้ฉันทะหรือความรักที่จะทำ ลดน้อยลงไป จนบางครั้งก็เหลือน้อยมาก (นอนดีกว่า)...ไม่ว่าสิ่งใดหรืองานใดๆ จะทางโลกหรือทางธรรมก็ต้องทุ่มเทใส่ใจกันทั้งสิ้น ไม่ขี้เกียจ จึงจะประสบความสำเร็จ
เช่นเรื่องนี้ๆ มีวิธีการเช่นนี้ๆ สอนกันอยู่แล้ว แต่หากผู้เรียนไม่สนใจทำตามให้ถูกต้อง ก็ไม่ได้ผล จะต้องทำให้ถูกดี และถึงดีด้วย จึงจะได้ผล
คุณควรหาจุดที่เริ่มต้นของคุณก่อน เช่น คุณสงสัยว่าทำไมมีคนจำนวนมากถึงได้มาที่วัดพระธรรมกาย ...คุณก็ควรมาพิสูจน์กับตาที่วัด ในวันงานบุญใหญ่ หรือวันงานบุญที่มีทุกวันอาทิตย์ ซึ่งมีรถรับส่งฟรีจากจุดสำคัญๆของกรุงเทพและปริมณฑลถึงที่วัด ก็แค่ขยับตัวคุณขึ้นบนรถ สนทนากับสาธุชนหลายๆคน ลองสอบถามหลายๆคน มาถึงวัดก็ตั้งใจฟังเทศน์ ตั้งใจปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิตามที่หลวงพ่อสอน รับบุญอาสาสมัครบ้างตามที่ถนัด คุณจะค่อยๆ เข้าใจว่า คนอื่นๆเขาคิดยังไง ถึงมาวัดบ่อยๆ ถึงได้ทำบุญบ่อยๆ มีดีตรงไหนใครๆ ถึงได้ทำอะไรๆ มากมาย ...ลองดูนะคะ
#17
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 12:12 PM
เป็นคำถามเพื่อขอคำตอบในสิ่งที่ตนเองสงสัย และคำตอบทุกท่านดีมากมากค่ะ
ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้คุณฝึกนั่งสมาธิ และลองปฏิบัติตามคำแนะนำดู
อยากให้คุณได้พบความสุขเหมือนที่เราได้เจอแล้ว สุขจริงจริงคะ
#18
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 01:53 PM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#19
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 02:15 PM
เข้าใจว่า ต้องการอะไร ต้องการอย่างเขา หรือ อย่างเราต้องการ
เข้าใจ แล้วทำ ปฎิบัติ ไม่มีคำว่าสาย สำหรับ ผู้ปฎิบัติด้วยใจจริง
#20
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 04:27 PM
การดำเนินชีวิตของคนเราแบ่งเป็น 4 ประเภท
1. พวกสว่างมาสว่างไป - พวกนี้มาเกิดจากที่ดีๆ พอละจากโลกนี้ไปก้ได้ไปอยู่ที่ดีๆ ทั้งพระนิพพาน สวรรค์ชั้นต่างๆ ในสุขคติภูมิ
2. พวกส่วางมามืดไป - พวกนี้มาดีแต่ตั้งชีวิตอยู่ในความประมาท พอตายไปมีอบายภูมิเป็นที่ไป เช่น พระเจ้าอชาตศัตรู
3. พวกมืดมาสว่างไป - พวกนี้มีต้นกำเนิดแห่งชีวิตไม่ดี แต่ดำรงค์ชีวิตในความไม่ประมาท ทำให้ได้เข้าถึงสุขคติภูมิเมื่อละจากโลกนี้แล้ว เช่น เรื่องในชาดกที่มีมาณพหนุ่มยากจนนำเอาเสื้อผ้าของตนไปเร่ขายเพื่อทำบุญจนตนเองต้องหุ่งห่มใบไม้ สุดท้ายก็ได้มาเป็นพระสัมมาสันพุทธเจ้าของเรา
4. พวกมืดมามืดไป - พวกนี้นอกจากจะมีกำเนิดแห่งชีวิตที่ติดลบแล้วยังตั้งตนอยู่ในความประมาท ไม่ขวนขวายในกิจที่ชอบ ประเภทพวก "จน เครียด กินเหล้า" ละจากโลกนี้ไปก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป
สำหรับคนที่ไม่ชอบวัดพระธรรมกายส่วนตัวผมแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ครับ
ประเภทที่ 1 คือ คนที่ไม่เคยมาแต่ฟังเค้าเล่าว่า สื่อเล่าว่า แล้วเกิดอติ เนื่องจากไม่ได้ใช้หลักกาลมสูตร 10 ประการ
ประเภทที่ 2 คือ คนที่เคยมาแล้วออกไป ส่วนใหญ่เกิดจากความกระทบกระทั่งภายในหมู่คณะ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทั้งหลาย ซึ่งจริงๆ แล้วทุกท่านต้องเข้าใจความจริงอย่างหนึ่งของโลก ที่ว่ายังไม่มีใครหมดกิเลศทั้งนั้น ไม่ว่าหมู่คณะไหนๆ จะแตกต่างจากมนุษย์โลกทั่วๆ ไป คือ ตั้งอกตั้งใจที่จะฝึกฝนขัดเกลาตัวเองให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกชาติๆ
ส่วนคนที่ชอบคิดว่าคงไม่ต้องแจกแจงรายละเอียดนะครับ
หลักใหญ่ที่จะทำให้คนชอบหรือไม่อยู่ที่ว่าใครจะเป็นประโยชน์อย่างไร
คนที่ชอบก็เห็นประโยชน์ของการฝึกฝนตนเองว่าจะทำให้ตัวเองมีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ก็ตั้งหน้าทำความดี
ส่วนผมเองคิดโดยส่วนตัวว่าถ้าเราพลัดจากหมู่คณะไป (เช่น แค่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นอื่นๆ ) เวลาลงมาเกิดหากพลาดไปเกิดในยุคที่ไม่มีพุทธศาสนา หรือไม่มีใครมาคอยพร่ำสอนเรา โอกาสที่เราจะทำผิดพลาดในชีวิตมีเยอะมาก (ขนาดหลวงพ่อคอยขนาบแล้วขนาบอีกยังไม่จำเลย) ทำให้ต้องตกไปในอบายภูมิ ขึ้นมาเกิดใหม่ก็ไล่ตั้งเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัชฉาน คนโง่ คนใบ้ คนปัญญาอ่อน คนยากจนเข็ญใจ คนผิดเพศ คนปกติที่มีโรคมาก คนปกติที่มีอายุสั้น ...... ฯลฯ กว่าจะได้ฟังธรรม เข้าใจธรรม ซาบซึ้งในธรรม น้อมนำไปปฏิบัติ ปฏิบัติความเพียร เข้าถึงธรรม บรรลุธรรม....ฯลฯ ยาวนานมากครับ ผมเลยคิดว่าถ้าไปกับหมู่คณะของหลวงพ่ออย่างน้อยๆ ก็เชื่อได้ว่าจะได้ฟังธรรม มีครูบาอาจารย์ที่คอยพร่ำสอน ไม่ให้พลัดไปในอบาย ซึ่งการที่จะทำให้ได้อย่างนั้นก็ต้องอธิษฐานล้อมกรอบดีๆ ครับ
ในชาตินี้ผมยอมรับว่าทำสิ่งที่ผิดพลาดมาก็เยอะ แถมชาติอื่นๆ ที่แล้วมาที่ไม่รู้ว่าทำอะไรไว้ โดยคิดว่าชาตินี้เราโชคดีที่รู้แล้วว่าอะไรคืออะไรจากที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านสอน จึงเห็นประโยชน์ใหญ่ของการสร้างมหาทานบารมีเพื่อตามติดพระเดชพระคุณไปทุกภพทุกชาติครับ
ส่วนท่านที่ไม่เห็นประโยชน์ก็อาจไม่ชอบครับ
ถึงท่านเหล่านั้นจะเห็นประโยชน์หรือไม่ก็ตาม แต่ "กฏแห่งกรรม" ก็ยังคงมีอยู่
อยากทิ้งท้ายไว้ด้วยพุทธภาษิตที่ว่า "เธอทั้งหลายจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเถิด"
หันมาตั้งหน้าตั้งตาทำดีกันเถิดครับสว่างไปดีกว่ามืดไปนะครับ
#21
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 04:46 PM
คุณครูไม่ใหญ่บอกสูตรสำเร็จให้แล้วนะครับ
การบ้าน 10 ข้อ ให้หมั่นทำ เพือ่ให้รักษาใจให้สบาย ให้ใจคุ้นเคยกับศูนย์กลางกาย
อีกนิด เสริมเข้ามานะครับ
อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด
ทำดีให้ยิ่ง
หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
แล้วชัวร์ที่สุด คือ ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
แถม คำสอนคุณยายมหารัตนอุบาสิกา จันทร์ ขนนกยูง นะครับ
การนั่งสมาธิ เปรียบเสมือน กำปั้น ทุบดิน ทุบทีไรก็โดนดินทุกทีนะครับ
ให้นั่งไปเถิดนะครับ
พออารมณ์สบาย แล้ว จะเข้าใจมากขึ้นนะครับ
#22
โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 06:06 PM
ต้องลองเองครับ สิ่งเหล่านี้รู้เห็นได้เฉพาะตน ฟังเขาเล่า ถ้าไม่เคยปฏิบัติก็นึกไม่ออกหรอกครับ ผมอยากแนะนำให้หาเวลามานั่งสมาธิดู ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ที่วัด หรือ 7 วันที่พนาวัฒน์ได้ยิ่งดี(ถ้าลางานได้) แล้วจะรู้เห็นประโยชน์จากสมาธิได้ด้วยตนเอง ซึ่งนอกจากความสุขที่ทุกท่านบอกมาแล้ว ในแง่ของการทำงานทางโลกจะทำให้ใจเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น คิดทำ สิ่งต่างๆได้สำเร็จเกินคาดหมายไปหมด ทำน้อยได้มาก ดีไหมครับ
เรียกได้ว่าถ้าต้องการประสบความสำเร็จ ทั้งทางโลก และทางธรรม ต้องหมั่นปฏิบัติธรรมทำใจหยุดนิ่งอย่างสม่ำเสมอครับ(อันนี้ผมพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองแล้ว)
สงสัยไหมครับว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า ต้องลองดูเองครับ...
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#23
โพสต์เมื่อ 12 September 2006 - 08:50 AM
ถ้านั่งคนเดียวอยู่บ้านแล้วจะหลับไว












