ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เทวบุตรมาร เป็นอย่างไรค่ะ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 5 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ณ.ใจ

ณ.ใจ
  • Members
  • 84 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 01:14 PM

เทวบุตรมาร เป็นอย่างไร ยังไม่ค่อยเข้าใจ ใครรู้ตอบหน่อยค่ะ
ไม่มีอะไรใหม่ต้องแสวงหาอีกแล้ว
[email protected]

#2 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 02:39 PM

เ ท ว บุ ต ร ม า ร

เทวบุตรมาร คือมารประเภทหนึ่งซึ่งมีมิจฉาทิฏฐิอย่างแรง

เทวบุตรมาร มารฝูงนี้ร้ายกาจนัก มีภพที่อยู่โดยเฉพาะ ชอบทำความเดือดร้อนแก่มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มารพวกนี้เห็นใครทำความดีแล้วทนไม่ได้ ต้องหาทางขัดขวาง กลั่นแกล้ง ทำร้าย เพราะแสลงต่อความดี พวกนี้มีตัวตนให้เห็นเป็นตัวๆ เลยนะ ในบางภาวะออกมายืนต่อหน้าให้เราเห็นได้ มีทั้งหัวหน้าและลูกน้องเป็นฝูงๆ แต่อย่างพวกเราน่ะ ระดับหัวหน้ามันไม่มาให้เห็นหรอก อย่างดีมันใช้ให้ชนิดหางแถวมารบกวนแทน เช่น ส่งขี้เมามาเอะอะด่าทอข้างบ้านขณะทำบุญตักบาตร ส่งสุนัขมากัดกันขณะนั่งสมาธิ ฯลฯ


พ ร ะ สั ม ม า สั ม พุ ท ธ เ จ้ า ผ จ ญ เ ท ว บุ ต ร ม า ร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและนักปฏิบัติธรรมในอดีต ได้ถูกมารที่มีตัวตนให้เห็นได้จริงๆ คือเทวบุตรมารคอยตามรังควานอยู่เป็นประจำ เมื่อวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกบวช มันก็มาขวางทางไว้ บอกว่าอย่าเพิ่งออกไปเลย วันที่จะตรัสรู้ เจ้าเทวบุตรมารก็ยกทัพโยธามาคุกคาม มาขวางการตรัสรู้ แต่พระองค์ก็สู้ด้วยอำนาจบุญบารมีของพระองค์ ในวันที่จะตรัสรู้นั้น พญามารยกทัพมาจริงๆ แต่เป็นกายละเอียด มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น แต่ว่าพระองค์ทรงมองเห็น เห็นด้วยทิพยจักษุ ชัดเจนทีเดียว พวกเทวดานางฟ้าก็สามารถแลเห็นมารพวกนี้ได้ เห็นแล้วก็ทั้งเกลียดทั้งกลัว ทั้งขยะแขยง เลยพากันเหาะหนี ทิ้งให้พระองค์ทรงผจญกับมาตามลำพัง
แล้วพระองค์ทรงทำอย่างไร พระองค์ทรงระลึกถึงบุญบารมีทั้ง ๑๐ ประการที่พระองค์ได้บำเพ็ญมาดีแล้ว นับด้วยอสงไขยๆ กัป ให้มาช่วย ด้วยอำนาจบุญบารมีที่สะสมดีแล้วเหล่านี้ ทำให้น้ำท่วม พญามารล่าถอยไป แม่น้ำที่ไหลมาท่วมก็เป็นธาตุน้ำละเอียดๆ ไม่ใช่เป็นน้ำจากแม่น้ำคงคา แต่ว่าตำรับตำราโบราณบางทีก็กล่าวพิสดารเป็นว่า แม่พระธรณีบิดมวยผมปล่อยน้ำไปช่วย ตามความเป็นจริง บารมีขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่ต้องอาศัยผู้หญิงมาบิดมวยผมช่วยหรอก พญามารได้มารบกวนพระองค์ครั้งนั้นเป็นครั้งใหญ่ที่สุด แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสงบพระทัยของพระองค์ เข้าศูนย์กลางกาย เข้าพระนิพพานที่อยู่ในศูนย์กลางกายของธรรมกายได้ เป็นการเข้านิพพานขณะเป็นๆ ที่เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน เพราะฉะนั้นมารทั้งหลาย ทั้งกิเลสมารก็ดี เทวบุตรมารก็ดี จึงทำร้ายพระองค์ไม่ได้

ผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฎกแต่ไม่ได้ฝึกสมาธิ มักจะเข้าใจผิดเรื่องเทวบุตรมารกันเสมอๆ โดยหลงทึกทักเอาว่า เทวบุตรมารก็คือกิเลสมารชนิดหนึ่ง ถ้าอยากจะรู้จักหรือเห็นเทวบุตรมารตัวจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย ขอให้ตั้งใจฝึกสมาธิให้เข้าถึงธรรมกายเสียก่อน แล้วจะสามารถเห็นเทวบุตรมารได้ชัดเจน เหมือนเห็นสิ่งของกลางแจ้งในเวลากลางวัน โดยเห็นเป็นตัวกันจริงๆ ไม่ใช่อุปมาเทียบเคียง

เมื่อวันที่พระองค์จะตรัสรู้ พญามารพรั่งพร้อมด้วยเทวบุตรมารและเสนามารได้ยกทัพใหญ่ตามผจญ แต่ว่ามันเองกลับแพ้ไป ตัวหัวหน้าของมารหนีไปได้ ส่วนลูกน้องน่ะตายเป็นเบือด้วยอำนาจบารมี ๑๐ ทัศที่พระองค์ทรงระลึกถึง ทำไมบารมีธรรมที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ จึงสามารถฆ่าพวกเสนามารทั้งหลายได้ เป็นการฆ่าที่พระองค์ไม่ได้ทรงมีเจตนา ถ้าจะอธิบายก็คล้ายๆ อย่างนี้ คล้ายๆ กับบ้านของเรา เวลาเช้าเราก็ปัดกวาดเช็ดถูเปิดประตูให้ลมโกรกเข้าได้ เปิดหน้าต่างให้แดดส่องแสงเข้ามา เพราะฉะนั้น พวกเชื้อราเชื้อแบคทีเรีย ที่ชอบเจริญเติบโตในที่อับ ที่ชื้น ที่มืด ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งโรคภัยไข้เจ็บ ย่อมถูกฆ่าถูกทำลายไปโดยปริยายฉันใด บารมีธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญไว้ดีแล้วนั้น เมื่อมารเข้าใกล้แล้วมันจะเกิดอาการแพ้ ถึงตายได้ฉันนั้น

เวลาร่างกายของเราแข็งแรงดี ในฤดูร้อน ถ้าได้อาบน้ำเย็นๆ แหม...มันช่างชื่นใจเสียนี่กระไร แต่เวลาเราป่วย ไข้กำลังขึ้นอยู่ เพียงแค่โดนน้ำเย็นๆ หกรดนิดๆ หน่อยๆ แหม...เย็นเสียดกระดูก กลับจะพานตายเอาเพราะอะไร เพราะคนไข้แสลงต่อน้ำเย็น ข้อนี้ฉันใด มารก็ย่อมแสลงต่อบุญบารมีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ้ญไว้ดีแล้วฉันนั้น เพราะฉะนั้น หากมารเข้าใกล้เมื่อไรก็พานตายเอาง่ายๆ ทั้งที่พระองค์ไม่ได้ประสงค์จะทำร้ายอะไรพวกมันเลย

พวกเราก็เหมือนกัน พอลงมือทำความดี พวกลูกหลานเทวบุตรมารคือ คนพาลทั้งหลาย ก็เริ่มแสลงใจ แสลงหู แสลงตา แหม...ยายนี่ แต่งชุดขาวเข้าวัดทุกอาทิตย์ เกิดมาทั้งที ไม่รู้จักเข้าบาร์เข้าคลับกับเขาบ้างเลย เช้ย...เชย หรือไม่ก็แฟชั่นใหม่เขามีตั้งเยอะแยะไม่รู้จักเอามาแต่งมาใส่กับเขาบ้าง เฮอะ โบราณ... เห็นเราไม่กินเหล้ามันก็มาค่อนขอด ผู้ชายอะไร โตป่านนี้แล้วยังกินเหล้าไม่เป็นอีก เชยชะมัด มันก็ว่าตามประสามารของมันอย่างนี้แหละ

พวกที่ชอบค่อนขอดคนนั้นทีคนนี้ทียังไม่ใช่มารตัวจริง แต่เป็นเพียงลูกหลานของเทวบุตรมารอีกทีหนึ่ง สำหรับเทวบุตรมารตัวจริงนั้น เราต้องฝึกสมาธิมากๆ จนเข้าถึงธรรมกายแล้วจะสามารถเห็นได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่เห็น มันมีตัวตนจริงๆ มีฤทธิ์มากขนาดกล้าเข้าไปถ่วงท้องพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายทีเดียว ขนาดบังอาจไปอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าปรินิพพานก็แล้วกัน ถามว่าขณะนี้เทวบุตรมารยังมีเหลืออยู่อีกมากไหม มีมากเหลือคณานับ อยากเจอไหมล่ะ

หลวงพ่อขอถือโอกาส นำข้อความจากพระไตรปิฎก เกี่ยวกับเรื่องเทวบุตรมารมาอ่านให้ฟังเป็นการประกอบ


พ ร ะ โ ม ค คั ล ล า น ะ เ รี ย ก ม า ร อ อ ก จ า ก ท้ อ ง

สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่มิคทายวัน ครั้งนั้นพระมหาโมคคัลลานะจงกรามอยู่ในที่แจ้ง (เดินทำสมาธิเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถหลังจากนั่งสมาธิมานานๆ) ถูกมารผู้ลามกเข้าไปในท้องในไส้ (การที่มารเข้าไปในท้องได้แสดงว่าเป็นกายละเอียด แต่ว่าอย่าไปปนกับแบคทีเรีย หรือเชื้อบิด เชื้อรานะ คนละอย่างกัน) ได้มีความดำริว่า ท้องเราเป็นดังว่ามีก้อนหินหนักๆ และเป็นเช่นกระสอบอันเต็มไปด้วยถั่วหมัก เพราะเหตุอะไรหนอ (พูดง่ายๆ กำลังเดินจงกรมอยู่ดีๆ ในท้องรู้สึกถ่วงหนักๆ เหมือนถูกก้อนหินยัดไส้ แล้วก็มีลมดันอยู่ในท้องท่านเหมือนอย่างกับกระสอบที่มีถั่วเน่าๆ แล้วเกิดฟองอากาศอัดไว้เต็ม ทำให้อึดอัด ท่านก็สงสัย เอ๊ะ! ทำไมท้องจึงเกิดผิดปกติขนาดนี้ เพราะตามธรรมดาแล้วพระอรหันต์ทั้งหลาย ย่อมฉันอาหารด้วยความมีสติระมัดระวัง เรื่องท้องเสียเป็นไปได้ยากมาก เพราะฉะนั้นท่านจึงรู้ทันทีว่า ต้องมีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว)

ท่านจึงลงจากที่จงกรมแล้วเข้าไปสู่วิหาร นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูไว้ (เมื่อผิดสังเกตปุ๊บก็รีบนั่งสมาธิปั๊บเลย) ครั้นนั่งแล้วได้ใส่ใจถึงมารผู้ลามกมากด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน (ตามธรรมดาพระอรหันต์ท่านจะเก็บใจเอาไว้ที่ศูนย์กลางกายธรรมกายอรหัตอยู่ตลอดเวลา พอนั่งเข้าสมาธิปั๊บใจก็ดิ่งลึกเข้าไปในศูนย์กลางธรรมกายอรหัตที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นอีก ทำให้ยิ่งสว่างภายในมากขึ้น ท่านจึงเห็นมารชัดแจ๋วเลย) พระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามกเข้าไปในท้องในไส้แล้ว ท่านจึงเรียกว่า "เจ้ามารผู้ลามก เจ้าจงออกมานะ อย่าเบียดเบียนพระพุทธเจ้า อย่าเบียดเบียนสาวกพระพุทธเจ้าเลย เพราะว่ากรรมที่เจ้าก่อเอาไว้นั้นน่ะ มีแต่จะเป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ตลอดกาลของเจ้าเชียวนะ"

มารได้ยินพระโมคคัลลานะพูดแล้ว มันคิดอย่างไร? มารมีความคิดว่าสมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวว่า ดูก่อนมารผู้ลามกจงออกมา คือมารมันไม่เชื่อว่าพระมหาโมคคัลลานะจะมีฤทธิ์มากสามารถเห็นมันได้ เพราะมันมีกายละเอียดมาก ถ้าใครยังไม่เข้าถึงธรรมกายที่ละเอียดๆ ก็ยากที่จะเห็นมัน แต่พระมหาโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์เข้าถึงธรรมกายอรหัตแล้ว เพียงท่านเอาใจสอดเข้าศูนย์กลางกายลึกๆ เข้าไป ก็สามารถเห็นมารได้ทันที พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวย้ำว่า "ดูก่อนมารผู้ลามก เรารู้จักท่าน ท่านอย่าเข้าใจว่าเราไม่รู้จักนะ ท่านน่ะเป็นมาร ท่านน่ะมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้ไม่เห็นท่าน จึงได้พูดว่ามารผู้ลามกจงออกมา ญาณทัสนะของพระมหาโมคคัลลานะท่านละเอียดอ่อนสว่างไสวมาก นอกจากเห็นตัวของมารแล้ว ยังเห็นใจของมารว่ากำลังคิดอย่างไรอีกด้วย ซึ่งทำได้ยากมากทีเดียว ท่านจึงได้พูดดักคอมารถูก เมื่อมารได้ยินอย่างนั้น ก็คิดว่าสมณะนี้รู้จักและเห็นเราด้วย จึงพูดอย่างนั้น จึงออกจากปากท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ที่ข้างบานประตู เมื่อพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารยืนอยู่ข้างบานประตู ก็เลยกล่าวว่า ดูก่อนมารผู้ลามก เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่าเราไม่เห็นนะ ท่านยืนอยู่แล้วที่ข้างบานประตู

ดูก่อนมารผู้ลามก เรื่องเคยมีมาแล้ว เรานี่แหละในอดีตเป็นมารมาก่อนเหมือนกัน ชื่อทูสี มีน้องหญิงชื่อกาลี ท่านเป็นบุตรน้องหญิงของเรานั้น ท่านนั้นได้เป็นหลานชายของเรา ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็บอกว่า "ไอ้มารเอ๊ย เอ็งเป็นลูกนางกาลีใช่ไหมล่ะ เอ็งเป็นหลานเก่าของข้านะ ข้าดูออก อย่ามาหลอกข้าเลย"

นี่ก็เป็นประสบการณ์เกี่ยวกับเทวบุตรมารของพระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งภพในอดีตท่านเคยเกิดเป็นมารเหมือนกัน ชื่อทูสี น้องสาวชื่อกาลี และเจ้าเทวบุตรมารที่ว่าก็เป็นหลานของท่านเอง แต่ว่ามันไม่รู้ภูมิหลัง จึงได้มารังควานอดีตลุงของมัน หลังจากที่ถูกตำหนิต่างๆ นานา เทวบุตรมารตนนั้นก็หนีไป

ข้อความข้างต้นนี้มาจาก มารตัชชนียสูตร ในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เป็นหลักฐานแสดงว่า พระสาวกในอดีตได้ถูกเทวบุตรมารรังควาน ทำความเดือดร้อนให้มาก บุญบารมีขนาดพระมหาโมคคัลลานะยังถูกเทวบุตรมารรบกวน ไม่เฉพาะแต่คนเท่านั้น แม้พวกพรหมก็ยังถูกเทวบุตรมารเข้าไปรังควาน โดยเข้าไปสิงอยู่ในตัวของพรหม ทำให้พรหมเกิดมิจฉาทิฏฐิ แล้วต่อต้านการประกาศศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างรุนแรงอีกด้วย


พ ญ า ม า ร ท ว ง สั ญ ญ า

เรื่องเทวบุตรมารอีกเรื่องหนึ่ง จากมหาปรินิพพานสูตร เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน ครั้งนั้นมารผู้มีบาป เมื่อเห็นพระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ยืนอยู่ ณ ส่วนที่ควรข้างหนึ่ง มารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรายังไม่เฉียบแหลม ยังไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรม มีปาฏิหาริย์ข่มขี่ ปรับปรวาทะ(ตอบข้อโต้แย้ง) ที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว ได้รับแนะนำแล้ว แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว บอกแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่ายได้ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ ปรับปรวาทะที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด

มันว่าหน้าตาเฉย ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็บอกว่า คุณรีบๆ ตายเสียเถอะนะ อย่าชักช้าอยู่เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยตรัสว่า

"ดูกรมารผู้มีบาป อุบาสกผู้เป็นสาวกของเราจักยังไม่เฉียบแหลม" ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า ลูกศิษย์ลูกหาของเรายังไม่เก่ง หรือโตไม่พอ

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้อุบาสกผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว" เท่ากับมันเถียงด้วยว่า เก่งแล้ว ดีพอแล้ว พูดง่ายๆ มารมันคะยั้นคะยอจะให้เสด็จดับขันธปรินิพพานอย่างเดียว ไม่ยอมลดลาวาศอก


พ ร ะ สั ม ม า สั ม พุ ท ธ เ จ้ า ท ร ง ป ล ง อ า ยุ สั ง ข า ร

ในที่สุดพระผู้มีพระภาคก็ต้องทรงตัดพระทัยตอบไปว่า

"ดูกร มารผู้มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า โดยล่วงไปอีก ๓ เดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน"

พระผู้มีพระภาคทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ และขณะเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงปลงอายุสังขารนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ มีอาการน่าขนพองสยองเกล้าสะพรึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานว่า

"มุนีปลงเสียได้แล้วซึ่งกรรมที่ชั่งได้ และกรรมที่ชั่งไม่ได้ อันเป็นเหตุสมภพ เป็นเครื่องปรุงแต่งภพ และได้ยินดีในภายใน มีจิตตั้งมั่นทำลายกิเลสที่เกิดในตนเสีย เหมือนนักรบทำลายเกราะฉันนั้น"

ในยุคพุทธกาล อายุคนเฉลี่ย ๑๐๐ ปี จึงจะตาย ใครตายก่อน ๑๐๐ ปี เรียกว่าอายุสั้น ใครตายหลังจาก ๑๐๐ ปี เรียกว่าอายุยืน แต่พระพุทธองค์ทรงพระชนม์ได้ ๘๐ พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานเพราะเหตุดังกล่าว เพราะฉะนั้น ถ้าจะว่าไปต้องถือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นผู้ที่อายุสั้น เมื่อเทียบกับคนในยุคนั้น ถามว่าทำไมจึงสั้น? ก็ตอบว่า ตั้งแต่พระองค์ตรัสรู้เมื่อพระชนม์ได้ ๓๕ พรรษา จนกระทั่งปรินิพพานเมื่อ ๘๐ พรรษานั้น ตลอด ๔๕ พรรษาของพระองค์ มีแต่งานๆๆ งานประกาศพระศาสนา หรืองานสู้รบปราบปรามมารทั้ง ๕ ฝูงทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้พักผ่อน เพราะฉะนั้น ร่างกายของพระองค์จึงได้ทรุดโทรมมาก ทั้งๆ ที่โดยลักษณะมหาบุรุษของพระองค์ ซึ่งแข็งแรงและแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ใดๆ ในโลก สามารถจะมีพระชนมายุยืนยาวต่อไปอีกนาน แต่โดยเหตุที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูง คือ ทรงมีความเป็นห่วงเป็นใยสัตว์โลก ทรงเกรงว่าจะถูกมารย่ำยีชักชวนหลอกลวงไปตกนรกกันหมด เพราะฉะนั้น ตั้งแต่พระองค์ตรัสรู้มา จึงทรงเสด็จจาริกไปสอนธรรมะคือวิธีปราบมารให้กับชาวบ้านชาวเมืองไปทั่วชมพูทวีป ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อย พระวรกายทรุดโทรม เป็นการทอนพระชนมายุของพระองค์เองลงไปอย่างน้อยก็ ๒๐ พรรษา ด้วยเหตุนี้เอง ชาวโลกตั้งแต่ยุคนั้นเป็นต้นมา จึงได้สรรเสริญพระมหากรุณาธิคุณพระองค์เป็นอย่างยิ่ง


เ ท ว บุ ต ร ม า ร ต่ า ง กั บ กิ เ ล ส ม า ร

ขอถือโอกาสนำข้อความเกี่ยวกับเรื่องมารมาอ่านให้ฟังเพิ่มเติมจะได้เข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่า เทวบุตรมารเหล่านี้มีตัวจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงกิเลสมาร

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชลา ณ ตำบลอุรุเวลา ครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคทรงประทับพักผ่อนอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตกแห่งพระทัยอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้พ้นจากทุกรกิริยานั้นแล้ว โอสาธุ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากทุกรกิริยา อันไม่ประกอบด้วยประโยชน์นั้น เราเป็นสัตว์ที่บรรลุโพธิญาณแล้ว (หลังจากพระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ กำลังทรงปลื้มพระทัยเกี่ยวกับการที่ได้ตรัสรู้นั้น แล้วก็ทรงปลื้มพระทัยที่ไม่หลงบำเพ็ญทุกรกิริยาเสียจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน) ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้ทราบความปริวิตกแห่งพระทัยของพระผู้มีพระภาค จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า มาณพทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยการบำเพ็ญตบะใด ท่านหลีกจากตบะนั้นเสียแล้วเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ (นั่นแน่มาแหย่แล้ว แหย่ทำไม ก็จะแหย่ให้ตายน่ะซี ตบะที่มารว่านั่นน่ะ คือการบำเพ็ญทุกรกิริยา ซึ่งมีแต่จะตายกับตายเท่านั้น) มาสำคัญตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านพลาดจากมรรคาแห่งความบริสุทธิ์เสียแล้ว

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบว่า นี่แหละมาร จึงได้ตรัสกับมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า

เรารู้แล้วว่า ตบะอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตบะทั้งหมดหาอำนวยประโยชน์ได้ไม่ ดุจไม้แจวหรือไม้ถ่อไม่อำนวยประโยชน์บนบกเลย (ไม้แจวไม้ถ่อเขาเอาไปทำอะไร? เอาไว้ถ่อเรือ แล้วมาบนบกเอาไปทำอะไร? ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร) ฉะนั้น เราจึงเจริญมรรค คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อความตรัสรู้ เป็นผู้บรรลุความบริสุทธิ์อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ดูก่อน มารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว ครั้งนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา จึงได้อันตรธานไปในที่นั้น (หายตัวก็เก่งด้วย ไม่ใช่ไม่มีตัว อยากจะดูมารชัดๆ ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรละก็ ตั้งใจเจริญภาวนา ให้เข้าถึงธรรมกายในตัวก่อน)

สมัยหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้อชปาลนิโครธ (ที่เดียวกับเมื่อคราวที่แล้วนั่นแหละ) ณ ราตรีอันมืดทึบและฝนกำลังตกประปรายอยู่นั้น ครั้งนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะทำให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้ามขนลุกขนพองแด่พระผู้มีพระภาค จึงเนรมิตเพศเป็นพญาช้างใหญ่ เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พญาช้างนั้นศีรษะเหมือนกับก้อนหินใหญ่สีดำ งาทั้งสองของมันเหมือนเงินบริสุทธิ์ งวงเหมือนงอนไถใหญ่ๆ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาปดังนี้ จึงตรัสกับมารว่า ท่านจำแลงเพศทั้งที่งามและไม่งามท่องเที่ยวอยู่ตลอดกาลอันยืดยาวนาน มารผู้มีบาปเอ๋ย ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา จึงได้อันตรธานหายไป

เทวบุตรมารจะคอยตามขัดขวางรบกวนทุกๆ คนในโลกอยู่อย่างนี้แหละ ทุกทิศในโลกนี้มารไปได้ทั่ว ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน เจ้าเทวบุตรมารพวกนี้เป็นต้องตามไปรบกวนได้อยู่ร่ำไป มีอยู่ทิศเดียวเท่านั้น ถ้าเราไปอยู่แล้วมารจะเข้าไปรบกวนเราไม่ได้ ทิศนั้นคือทิศเบื้องกลาง ถ้าเอาใจของเรามุดเข้าศูนย์กลางกายได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นมารตามเข้าไปไม่ได้ แต่ถ้าออกมาเมื่อไหร่มันเป็นต้องตามล้างผลาญไม่ยอมเลิกรา เคยสังเกตไหมว่า เวลาโกรธใครสักคนหนึ่ง ใจของเราอยู่ที่ศูนย์กลางกายหรือไปอยู่ที่หน้าของคนที่เราโกรธ? ใจเราไปอยู่ที่หน้าคนที่เราโกรธต่างหาก เมื่อไปเจอคนสวย กลับมาถึงบ้านแล้วก็นอนไม่หลับ คิดถึงแต่ว่า สวยจังเลยๆๆๆ ใจเราอยู่ที่ศูนย์กลางกายตัวเองหรืออยู่ที่หน้าแม่คนนั้น? จริงๆ แล้วอยู่ที่หน้าแม่คนนั้น

เวลาที่เราอยากได้อะไรมากๆ เช่น เวลาที่เข้าไปร้านทองร้านเพชร พอเห็นเพชรน้ำงามๆ เม็ดโตๆ ส่องประกายแวววาวงามจับตา เกิดนึกอยากได้ขึ้นมา จุ๊ปากเลย ถามว่า ขณะนั้นใจอยู่ที่ตัวหรืออยู่ที่เพชร? ไม่อยู่ที่ตัวหรอกไปอยู่ที่เพชรแล้ว จำไว้เถอะ ครั้งใดที่รู้สึกโกรธใคร อิจฉาใคร โลภอยากได้ของใคร รักใคร ใจจะต้องหลุดออกจากศูนย์กลางกายทุกทีไป พอหลุดออกไป มารก็จะแทรกเบียดเข้าไปได้ทันที แต่ถ้าเมื่อไหร่ใจน้อมเข้ามาเก็บไว้ที่ศูนย์กลางกายมารจะแทรกไม่ได้โดยเด็ดขาด

สำหรับวันนี้ หลวงพ่อได้นำหลักฐานเกี่ยวกับมารมาแสดงไว้พอสมควรแล้ว ใครที่เคยหลงเข้าใจผิด คิดว่าเทวบุตรมาร คือกิเลสมาร ขอให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะเทวบุตรมารก็คือเทวบุตรมาร มีตัวมีตนจริง มีที่อยู่ของมันโดยเฉพาะด้วย แต่ว่าอยู่ที่ไหนนั้น จะยังไม่พูดถึง ที่อยากจะพูดอยากจะเน้นถึงก็คือ ครั้งใดที่เราปล่อยใจหลุดออกจากศูนย์กลางกาย ไปหลงรัก หลงเกลียด หลงเข้าใจผิดใครก็ตาม ขอให้รู้ไว้ว่า นั่นเป็นเล่ห์เหลี่ยมของมาร มันทำให้กิเลสในใจของเราฟูขึ้นมา และตกเป็นทาสของมันทันที
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#3 น้อมเศียรเกล้า

น้อมเศียรเกล้า
  • Members
  • 365 โพสต์
  • Location:ถ.ลาดพร้าว
  • Interests:พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย การรักษาโรคด้วยวิธีธรรมชาติ <br />รำนาฏศิลป์ เล่นดนตรีไทย เล่นดนตรีสากล

โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 05:54 PM

แหมยาวเลยนะคะ....คุณ phong...

ดิฉันคิดว่ามีประสบการณ์ตรงเลยล่ะค่ะ เกี่ยวกับเทวบุตรมาร

สมัยก่อน มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ดิฉันตั้งใจนั่งสมาธิ

ดิฉันเห็น (เห็นตอนหลับตานะ) คนหน้าตาเหมือนดิฉันเลย มานั่งข้างๆด้านซ้าย ชวนว่า...เลิกเถอะ
ดิฉันก็ทำเฉยๆ..คนนั้นก็เลยชวนอีกว่า เลิกเถอะ ไม่เห็นสนุกเลย
แล้วคนที่หน้าตาเหมือนดิฉันเปี๊ยบเลยแว๊บมาทางด้านขวา บอกว่า ไปเล่นดีกว่า ไปเที่ยวดีกว่า แล้วก็หัวเราะใหญ่เลย
แถมยังทำเสียงเยาะๆอีกว่า นั่งไปก็ไม่ได้อะไรหรอก
ดิฉันตกใจมาเลยลืมตาขึ้น ตอนนั้นก็งงๆ ว่าเอทำไมเราถึงได้เห็นได้ยินแบบนั้น ตอนนั้นยังไม่ได้มาวัดเลย แล้วก็สงสัยมากว่าทำไมดิฉันจึงเจอเรื่องแบบนั้น หลังจากนั้นเลยค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับนั่งสมาธิ...แล้วก็มาได้เข้าวัดนี่ล่ะค่ะ

คือเริ่มเข้าวัดแบบจริงจังก็เพราะสงสัยเรื่องนี้แหละค่ะ

พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็ประหลาดใจทุกที อย่างนี้ทุกท่านว่าจะเป็นเรื่องเทวบุตรมารได้หรือเปล่าคะ

#4 Purisat.net

Purisat.net
  • Members
  • 40 โพสต์
  • Location:140 หมู่ 7 ต.ขุหลุ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี
  • Interests:PHP

โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 09:43 PM

สงสัยมานานแล้ว วิบากบาปสักสิทธิ์ วิบากกรรม วิบากมาร คือ อะไร? wacko.gif

#5 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 October 2006 - 10:21 PM

อย่างวันนี้ กำลังบูชาข้าวพระอยู่ คนข้างหน้า ไม่ได้ปิดมือถือแล้วก็มีสายเรียกเข้า โทรศัพท์ดังนานมากกกกกกก จนเจ้าหน้าที่ต้องเดินมาเตือน คนแถวนั้นสมาธิหลุดกันในขณะบูชาข้าวพระเลย อย่างนี้ คนที่ลืมปิดมือถือ ก็นับเข้าเป็น เทวบุตรมาร เช่นกันครับ เพราะ ทำให้คนหลุดจากสมาธิขณะกำลังบูชาข้าวพระ หรือ ก็คือ ขวางการทำความดี นั่นเอง
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#6 ธนกร สงขลา

ธนกร สงขลา
  • Members
  • 192 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 October 2006 - 09:04 AM

ผมคิดว่าน่าจะเป็นมารที่คอยสะกัดการทำบุญของเราให้เราใจหมองหรือกันไม่ให้ทำบุญ และรวมไปถึงมนุษย์ด้วย