--------------------------------------------------------------------------------
คำว่า “เมตตา” หมายถึง ไมตรี ความรัก ความปรารถนาดี ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจดีต่อกัน ความใฝ่ใจ หรือต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เมตตาจัดเป็นธรรมพื้นฐานของใจขั้นแรก ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งทำให้มองกันในแง่ดี หวังดีต่อกัน พร้อมที่จะรับฟัง และเจรจากันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ยึดเอาความเห็นแก่ตัว มีอคติ คือ ความโกรธ ความเกลียด เป็นที่ตั้ง
การแสดงความเมตตา หรือ การแผ่เมตตานี้ เป็นธรรมชาติ หรือคุณสมบัติพื้นฐานของจิตมนุษย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัตว์ที่ประเสริฐอยู่แล้ว ยกเว้นคนที่เป็นโรคทางจิตคลุ้มคลั่งจนไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะของตนได้ หรือ ผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมที่สุดจนไม่อาจสมมุตินามได้ว่าเป็นมนุษย์ จะต้องมีการแสดงความเมตตาออกทางจิตอยู่เป็นประจำทุกวัน มากบ้าง น้อยบ้าง ตามกิเลสสันดานที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่เจ้าตัวมิได้สังเกตจดจำไว้เท่านั้น
ธรรมชาติของจิตในเรื่องความเมตตานี้ หากจะกล่าวในเชิงอุปมาก็เปรียบได้กับต้นไม้ผล หรือต้นไม้ดอก ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า “ต้นเมตตา” ที่ได้เจริญเติบโตขึ้นมาโดยธรรมชาติ ปราศจากเจ้าของที่หมั่นเฝ้าดูแลพรวนดิน ให้ปุ๋ย รดน้ำ เมื่อถึงฤดูกาล ต้นเมตตาก็จะให้ผล หรือ ให้ดอก ผลิบานสุกงอม แล้วก็ร่วงหล่นลงดินเป็นอาหารของนก กา กระรอก หรือสัตว์อื่นๆ โดยที่มิได้บังเกิดประโยชน์แก่เจ้าของต้นเมตตานั้นแต่อย่างใด เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ผลผลิตจากต้นเมตตาไม่ว่าจะเป็นดอกหรือผลนี้ ย่อมจะไม่สมบูรณ์ได้ทัดเทียมกับต้นเมตตาที่เจ้าของเอาใจใส่ หมั่นดูแลพรวนดิน ให้ปุ๋ย รดน้ำ อยู่เป็นประจำ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าของเอาใจใส่รดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย ต้นเมตตานั้นย่อมจะเจริญเติบใหญ่ มีลำต้นอวบใหญ่แข็งแรง มีรากแก้วงอกยาวฝังลึกลงไปในดิน ยึดแน่นจนยากที่จะโค่นล้มได้ ดอกหรือผลของต้นเมตตาก็จะมีขนาดใหญ่ มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น สี หรือ รส จัดเป็นผลผลิตที่อำนวยประโยชน์ให้แก่เจ้าของได้อย่างแท้จริง
จึงกล่าวได้ว่า “เมตตา” นี้เป็นหลักธรรมประจำใจของแต่ละบุคคล และเป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับสร้างความสามัคคีและเอกภาพของหมู่ชน หรือที่เรียกว่า “สารณียธรรม” ซึ่งสามารถแสดงออกได้ทั้ง
ทางกาย คือ “เมตตากายกรรม” ได้แก่ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น เมื่อเห็นคนยืนตากแดดรอจะข้ามถนน เราหยุดรถให้เขาข้ามถนน การแสดงกิริยาสุภาพเคารพนับถือกัน เช่น เมื่อมีคนหยุดรถให้เราข้ามถนน เราแสดงกิริยาขอบคุณ เคารพในน้ำใจดีของเขาด้วยการน้อมศีรษะ ส่งยิ้มให้ เป็นต้น
ทางวาจา คือ “เมตตาวจีกรรม” ได้แก่ การมีวาจาที่อ่อนหวานสุภาพ สอบถามสารทุกข์สุกดิบ บอกแจ้งแนะนำ กล่าวคำตักเตือนด้วยความหวังดีและจริงใจ
ทางความคิดต่อกัน คือ “เมตตามโนกรรม” ได้แก่ การมองกันในแง่ดี มีความปรารถนาดี มีความหวังดี มีความสงสาร มีความเห็นใจ อยากช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ คิดทำแต่สิ่งที่จะอำนวยประโยชน์สุขให้แก่กัน และกัน
เมตตาจิตนั้น เราส่งให้คนอื่นก็จริง แต่ผลส่วนใหญ่ได้แก่เราเอง ทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ในตัว ทำให้เป็นคนไม่มีศัตรู ทำให้ดวงจิตผ่องแผ้วมีสมาธิไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้ประกอบการงานได้ผลดี แม้ผีเปรต อสุรกาย สัตว์ร้ายในป่า เช่น ช้าง หมี เสือ งูพิษ ก็ไม่กล้าทำอันตราย มีแต่จะช่วยคุ้มครองป้องกันภัยพิบัติให้ พระธุดงค์ที่อยู่ตามป่าและเขานั้น ท่านได้ใช้เมตตาจิตเป็นธรรมคุ้มครองรักษาตัวตน
เท่าที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ย่อมเป็นการยืนยันว่า การแสดงความเมตตาไม่ว่าจะโดยทางกาย วาจา หรือ ทางใจนั้น มิใช่เป็นข้อปฏิบัติที่ยุ่งยากลำบากเลยแม้แต่น้อย เพราะเป็น ธรรมชาติที่เกิดขึ้นพร้อมกับจิตของมนุษย์อยู่แล้ว จึงไม่ควรปล่อยปละละเลย ทอดทิ้งให้สูญเปล่าไปโดยมิได้นำมาใช้เป็นประโยชน์เท่าที่ควร สมควรให้ความสนใจเฝ้าหมั่นทำนุบำรุง ฝึกฝน บริหาร เฝ้ากระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกว่า จะต้องถือปฏิบัติเป็นกิจประจำวันเพื่อให้เป็นนิสัยที่จะขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับการตื่นนอนในตอนเช้า จะต้องเข้าห้องน้ำ ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ แปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ ฯลฯ เมตตาจิตก็จะกระตุ้นให้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ยากที่จะลบล้างให้หมดสิ้นไป เช่นเดียวกับการตอกตะปูลงไปในเนื้อไม้ ตอกวันแรก ตะปูจะฝังลงไปในเนื้อไม้เพียงเล็กน้อย จึงไม่เป็นการยากที่จะถอนดึงตะปูนั้นออก ต่อมาในวันรุ่งขึ้น และวันถัดไป เมื่อเราตอกซ้ำเป็นประจำทุกๆ วัน ตะปูจะฝังลึกลงไปในเนื้อไม้ทุกที จนกระทั่งไม่สามารถถอนดึงเอาออกได้ด้วยกรรมวิธีธรรมดา
คนที่ไม่ค่อยได้รับผลของเมตตานั้นเพราะทำบ้าง ไม่ทำบ้าง หรือไปแผ่เมตตาเอาตอนที่ภัยจะมาถึงนั่นเอง อย่างนี้บางทีไม่ทันการณ์ เมตตาที่ได้ผลแน่นอนนั้นจะต้องถือปฏิบัติอย่างจริงจัง จริงใจ และต่อเนื่อง
คำว่า “เมตตา” ที่นำมากล่าวไว้ในที่นี้ มีความหมายรวมไปถึงกรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งเป็นองค์ธรรมรวมมีชื่อเรียกว่า “พรหมวิหาร ๔”
ผู้ที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมยึดมั่นถือในหลัก “พรหมวิหาร ๔” เป็นประจำ จึงถือได้ว่า จิตของผู้นั้นได้รับการพัฒนาให้เป็นที่อยู่อาศัยของพรหม เพราะคำว่า “วิหาร” แปลว่า “ที่อยู่อาศัย” คำว่า “พรหม” ตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น ฒ๊ความหมายว่า “ท่านผู้เป็นใหญ่” ท่านผู้เป็นใหญ่ในที่นี้ หมายถึง ผู้ประเสริฐ คือ ผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางยิ่งใหญ่ หรือ ยิ่งใหญ่ด้วยคุณธรรมความดีงาม
ความหมายของคำว่า “พรหมวิหาร ๔” นี้ ตรงกับคำศัพท์บาลีว่า “อัปปมัญญา ๔” ซึ่งหมายถึง “สภาวะของจิตที่มีความรู้สึกเมตตา สงสาร เห็นใจ อยากจะช่วยเหลือมนุษย์สัตว์ที่กำลังได้รับทุกข์อยู่ หรือที่จะได้รับทุกข์ในภายภาคหน้าให้มีความสุขโดยทั่วถ้วนหน้า ความรู้สึกนี้สามารถแผ่กระจายไปถึงมวลมนุษย์สัตว์โลกทั้งหลายทุกแห่งทุกหน อย่างสม่ำเสมอทั่วกันไม่มีประมาณ ไม่จำกัดขอบเขต”
การที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสมมุติบัญญัติคำว่า “พรหม” ขึ้นเพื่อใช้ในการสื่อความหมายของสัจจธรรมที่เกี่ยวข้องไว้หลายประการ อาทิ พรหมจรรย์ พรหมกาย รูปพรหม อรูปพรหม นั้น แสดงให้เห็นถึงพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์ที่จะทรงหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หรือสวนกระแสความเลื่อมใส เชื่อมั่นในลัทธิศาสนาดั้งเดิมที่มีอยู่ในท้องถิ่น การเสด็จจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศอินเดียเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาจึงเป็นไปได้ด้วยดี การสวดแผ่เมตตาการบริกรรมภาวนานี้จึงน้อมนำให้จิตเข้าไปสู่ภาวะให้พุ่งดิ่งเข้าสู่สิ่งที่ศรัทธาเลื่อมใส เชื่อถือ นิยมชื่นชอบ และด้วยแรงศรัทธานี้เองจะเพิ่มพลังให้จิตพุ่งแล่นไปในทางเดียวด้วยความกล้าหาญ เข้มแข็งมั่นคงและมั่นใจ เปี่ยมล้นด้วยความเพียร มีความปิติปราโมทย์ แล้วตามมาด้วยความสงบนิ่งบังเกิดเป็นสมถสมาธิขึ้นโดยมีเมตตาเป็นอารมณ์ ที่เรียกว่า “เมตตาเจโตวิมุติฌานสมาบัติ” และเมื่อเจริญวิปัสสนาสมาธิต่อไปอย่างจริงจังต่อเนื่องย่อมจะเกิดปัญญา มีความรู้เข้าใจอริยสัจ ๔ อย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งจะช่วยชี้นำไปสู่ขั้นตอนวิธีการขัดเกลาดับกิเลสให้ลดน้อยลงไปโดยลำดับ จนถึงขั้นสูงสุด คือ พระนิพพาน
อานิสงส์ของการเจริญเมตตาเจโตวิมุติฌานสมาบัตินี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในพระสุตตันตปิฎกหลายแห่งว่ามี ๑๑ ประการ ดังต่อไปนี้
ย่อมหลับเป็นสุข ๑
ย่อมตื่นเป็นสุข ๑
ย่อมไม่ฝันร้าย ๑
ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย ๑
ย่อมเป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย ๑
เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา ๑
ไฟยาพิษหรือศาตราย่อมไม่กล้ำกรายได้ ๑
จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิได้โดยรวดเร็ว ๑
สีหน้าย่อมผ่องใส ๑
เป็นผู้ไม่หลงใหลทำกาละ (เมื่อจะสิ้นลมก็ยังมีสติอยู่เสมอ) ๑
เมื่อไม่แทงตลอดคุณอันยิ่ง ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก (ถึงแม้ไม่บรรลุธรรมสูงสุด คือ นิพพาน) ๑
นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้ทรงแสดงธรรมแก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงอานิสงส์ของทาน และบุญซึ่งลงทุนน้อย แต่ได้ผลมากกว่า ไว้ในเวลามสูตร โดยลำดับ ดังนี้
“…การมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าสร้างวิหารทานถวายสงฆ์
การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานศีล ๕ มีผลมากกว่าการมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
การที่มีจิตเจริญด้วยเมตตาแม้เพียงเวลาชั่วสูดของหอมมีผลมากกว่าการมีจิตเลื่อมใสสมาทานศีล ๕…”
การพัฒนาจิตใจให้เจริญด้วยเมตตาอย่างจริงจังต่อเนื่อง เรียกว่า “การบำเพ็ญเมตตาบารมี” ซึ่งเป็นหนึ่งของบารมี ๑๐ ทัศ หรือ “ทศบารมี” ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อยังทรงเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เคยทรงบำเพ็ญมาแล้ว
เมตตาสามารถแผ่กระจายออกไปได้ทุกทิศทาง ไม่มีขอบเขต ไม่กำหนดสถานที่ กาลเวลา เมตตาเป็นเรื่องของจิตใจ จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยทรัพย์สิ่งของ ไม่ต้องลงทุนลงแรงแต่อย่างใด และเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมพึงให้ความสำคัญ และน้อมนำมายืดถือปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและสังคมโลกต่อไป