เมื่อวันอาทิตย์ต้นเดือนที่ผ่านมา ผมขับรถออกมาปากทางวัด เพื่อไปทำธุระส่วนตัว แลเห็นพระภิกษุสงฆ์สวมหมวกไหมพรม ยืนรอโบกรถ สาธุชนที่ออกจากวัดในช่วงเที่ยง-บ่าย กระผมจึงชะลอและจอดเพื่อสอบถาม ความว่าท่านขอรับบริจาคค่าโดยสาร และขอติดรถไปแถวบางปะอินทร์เพื่อจะเดินทางไปโคราช โดยไม่มีค่าโดยสารกลับบ้าน ด้วยเกรงในผ้าเหลืองถึงแม้ลึก ๆ ในใจจะไม่เชื่อว่าเป็นพระสงฆ์ก็จริง บุคคลิกท่านน่ากลัวมากกว่า (แต่ผมเข้มกว่า) เพราะลักษณะการหยิบปัจจัย บ่งบอกถึงความไม่สำรวมระวัง และอากัปกริยามีพิรุธ ในเรื่องการวางตน แต่ก็ด้วยความที่ไม่ต้องการฝึกจิตใจให้จับผิดพระ หรือต่อความยาวสาวความยืดอะไร เพราะเกรงจะโดนกรรมหนัก แม้จะเป็นพระปลอมก็เถอะ จึงร่วมบุญช่วยค่า Taxi และค่าเดินทางจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ได้รับลูกประคำ ตะกรุด แล้วท่านก็เดินทางจากไป
ส่วนตัว ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย หากสาธุชนเป็นสตรีที่เดินทางมาคนเดียว ยามออกไปที่เปลี่ยว ๆ น่ะครับ ด้วยความที่เรา ๆ ท่าน ๆ เรียบง่าย และเห็นผ้าไตรเป็นของสูง อาจเกิดช่องว่างให้เหล่าผู้ไม่ประสงค์ดี ฉาบฉวยเอาได้ นี้ไม่ได้ให้เราระแวงพระกันน่ะครับ แต่ตระหนักถึงความปลอดภัยและการแก้ปัญหาก่อนจะดีกว่า ผมเองก็ระวังเรื่องที่วิบากกรรมที่อาจพลาดพลั้งไปได้ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
พระแท้หรือปลอม ยืนโบกรถขอรับบริจาคค่าพาหนะ
เริ่มโดย บุญรักษา, Nov 14 2006 12:22 AM
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 14 November 2006 - 12:22 AM
ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ นอกจาก....ความจริงใจที่เต็มปรี่ เริ่มต้นผูกพันกันวันนี้ เพื่อมิตรไมตรีที่ดี..ตลอดไป เราต่างก็...มีไฟฝัน พร้อมจะสร้างสรรค์..เพื่อวันใหม่ ขอให้เรา....ต่างเป็นกำลังใจ เพื่อไปสู่จุดหมายที่...ยังรอ
#2
โพสต์เมื่อ 14 November 2006 - 09:17 AM
อืม...ไม่ทราบว่า เหตุเกิดในเขตวัด หรือนอกเขตวัด เพราะปกติพระจะไม่ใส่หมวกไหมพรมออกไปเดินนอกเขตที่อยู่ (สังฆาวาส) มันไม่เหมาะสมครับ ถ้าเจออย่างนี้ น่าจะถามชื่อท่าน ถามถึงวัดที่ท่านจำพรรษาอยู่ ซึ่งการถามลักษณะนี้ ไม่ได้เป็นการไม่เคารพนี่ครับ
ถ้าอยู่เขตวัด ควรติดต่อกับเจ้าหน้าศูนย์ รปภ ให้เขาอำนวยความสะดวกให้นะครับ ช่วยกันเป็นหูเป็นตากันหน่อยครับ
ถ้าอยู่เขตวัด ควรติดต่อกับเจ้าหน้าศูนย์ รปภ ให้เขาอำนวยความสะดวกให้นะครับ ช่วยกันเป็นหูเป็นตากันหน่อยครับ
#3
โพสต์เมื่อ 14 November 2006 - 04:18 PM
มีเรื่องเล่าให้ฟัง ครับ
เมื่อกว่า 3 เดือนก่อน ผมมาถวายภัตตาหารที่หอฉัน + นั่งธรรมะที่ห้องปัญญา ราว 16.00 น. จึงกลับ
ตอนรถติดไฟแดง ทางเข้าวัด เห็นภิกษุ 2 รูป ส่งสายตามาทักทาย ผมจึงไขกระจกลง สนทนากับท่าน
และรับท่านขึ้นรถ ทราบว่าจะไปต่างจังหวัด ทางภาคอีสาน ขอให้ไปส่งที่ท่ารถ บขส.แถวรังสิต + ขอบิณฑบาตค่าโดยสาร
พอดีผมมีธุระ ไม่ได้ไปทางรังสิต จึงขอไปส่งท่านที่ท่ารถ ตลาดไท
และร่วมบุญค่ายานพาหนะไป ราว 372 บาท
( ตอนนั้นมีเงินติดกระเป๋าราว 1,372 บาท )
ระหว่างนั้น ภิกษุที่เป็นภันเต อายุราว 45 ปี บวชเกือบ 10 พรรษา
บอกว่า เคยมาอบรมโครงการพระกัลยาณมิตร แต่ท่านพูดชื่อโครงการไม่ถูก
ผมก็ไม่ติดใจอะไร เพราะเรื่องชื่อยาวๆ ก็จำกันผิดได้
แล้วท่านก็พูดอานิสงส์บุญหลายอย่าง ชวนทำบุญสร้างห้องน้ำ
แต่ลักษณะ่คำพูดท่าน ค่อนข้างไปทาง ไซโค กดดันจิตผู้ฟัีงอย่างผมให้รู้สึก ไม่สบายใจ
คือ พูดกึ่งบังคับ ให้ทำบุญ ซึ่งผมไม่ชอบวิธีแบบนี้เลย
ผมจึงปฏิเสธท่านไป
แต่เมื่อไปถึงท่ารถปอ. 510 ตลาดไท ที่เหมาะแก่การต่อรถไปรังสิต
ท่านกลับให้ผมขับเลยไปส่งที่ ชุมชนในตลาดไท
โดยท่านบอกว่า ตรงนั้นสะดวกดี
เมื่อส่งท่านแล้ว แน่นอนผมอดคิดไม่ได้ว่า ท่านคงมองหาโยมแบบผมอีก
วันนั้นผมสอนตนเอง เพื่อไม่ให้คิดไม่ดีกับ เหตุการณ์ที่เจอว่า
ภิกษุส่วนมาก ในต่างจังหวัดไม่ค่อยสะดวกเรื่องบริขารและในการเดินทาง
ไม่เหมือน ภิกษุที่วัดพระธรรมกาย
ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และคุณยาย
เอาใจใส่อย่างดี มีความพร้อม ความสะดวกในเรื่อง ควา่มเป็นอยู่ ตามอัตภาพแห่งสมณะ
อีกทั้งญาติโยม ก็ให้ความเคารพ ยกไว้สูง ขาดแคลนสิ่งใด ก็มีผู้ถวายให้
ถ้าตัีวเรา เป็นภิกษุ ที่ขาดความสะดวก ในเรื่องความเป็นอยู่และการเดินทาง
เราอาจต้อง ใช้วิธีแบบ ภิกษุที่เราเจอก็ได้
คิดสอนตนเองแบบนี้ ก็โปร่้งใจขึ้น
ต่อมาเมื่อวันอาทิตย์ในเดือน ตุลาคม นี้
ตอนเย็นขากลับบ้าน ผมเจอภิกษุรูปนั้นอีก ผมจำท่านได้
คราวนี้ท่านมากับภิกษุ รูปอื่น เดินเข้ามาถึงมหาวิหารพระมงคลเทพมุนี
ท่าทางเร่งรีบไปต่างจังหวัดอีก คราวนี้บอกว่าไปภาคเหนือ
ขอบิณฑบาตค่าโดยสาร คราวนี้ผมไม่ร่วมบุญด้วย แต่เพื่อนผมร่วมบุญค่าโดยสารไป
ซึ่งผมก็ไม่เล่าเรื่องที่ผมเคยเจอมาให้เพื่อนฟัง เดี๋ยวเพื่อนไม่สบายใจ
ผมไม่อยากพูดอะไร ที่ตนเองก็ไม่รู้แน่ชัด แค่ ฉงน และสงสัยบ้าง เท่านั้น
พอดีมีสาธุชนจอดรถ ตามๆกันมา
ในรถมีอุบาสิกา ( แม่ชี ) ที่อยากได้บุญ ก็มาร่วมปัจจัยด้วยอีก
ที่น่าสังเกต คือ มีสาธุชนแนะนำให้ไปที่ สำนักงานใหญ่
คุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอ ติดรถบัส ที่กำลังขึ้นไปพนาวัฒน์
ท่านก็ปฏิเสธ ดูท่านสะดวกขอรับเป็นปัจจัย มากกว่า
ผมไม่งง เพราะเคยเจอท่านมาแล้ว
ผมเลยบอกกับตัวเองว่า คราวหน้าถ้าผม เจอท่านในลักษณะนี้อีก
ผมคงมีหลายคำถาม ถามท่านก่อนที่จะร่วมบุญค่าโดยสาร ยานพาหนะอีก
ก็ถือเป็นเรื่อง มาเล่าสู่กันฟังนะครับ
ผมไม่ได้ตัดสินว่า ใครเป็นพระแท้ หรือไม่
แต่วัดเรา มีคนใจบุญสุนทาน มากมาย บางทีก็มีอะไรแปลกๆ ไม่คุ้นเคย
ผมก็ต้องสอนตนเองเสมอ แม้ว่าผมจะเจอ ภิกษุที่มีลักษณะแบบนี้อีก
ผมก็ควร ทำบุญตามสมควร
อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอขมาต่อพระสงฆ์
ที่ผมเคยคิดล่วงเกิน ไปในทางไม่สมควร แม้ตามเหตุปัจจัยที่ประสบมา
ณ ที่นี้อีกครั้ง ครับ
เมื่อกว่า 3 เดือนก่อน ผมมาถวายภัตตาหารที่หอฉัน + นั่งธรรมะที่ห้องปัญญา ราว 16.00 น. จึงกลับ
ตอนรถติดไฟแดง ทางเข้าวัด เห็นภิกษุ 2 รูป ส่งสายตามาทักทาย ผมจึงไขกระจกลง สนทนากับท่าน
และรับท่านขึ้นรถ ทราบว่าจะไปต่างจังหวัด ทางภาคอีสาน ขอให้ไปส่งที่ท่ารถ บขส.แถวรังสิต + ขอบิณฑบาตค่าโดยสาร
พอดีผมมีธุระ ไม่ได้ไปทางรังสิต จึงขอไปส่งท่านที่ท่ารถ ตลาดไท
และร่วมบุญค่ายานพาหนะไป ราว 372 บาท
( ตอนนั้นมีเงินติดกระเป๋าราว 1,372 บาท )
ระหว่างนั้น ภิกษุที่เป็นภันเต อายุราว 45 ปี บวชเกือบ 10 พรรษา
บอกว่า เคยมาอบรมโครงการพระกัลยาณมิตร แต่ท่านพูดชื่อโครงการไม่ถูก
ผมก็ไม่ติดใจอะไร เพราะเรื่องชื่อยาวๆ ก็จำกันผิดได้
แล้วท่านก็พูดอานิสงส์บุญหลายอย่าง ชวนทำบุญสร้างห้องน้ำ
แต่ลักษณะ่คำพูดท่าน ค่อนข้างไปทาง ไซโค กดดันจิตผู้ฟัีงอย่างผมให้รู้สึก ไม่สบายใจ
คือ พูดกึ่งบังคับ ให้ทำบุญ ซึ่งผมไม่ชอบวิธีแบบนี้เลย
ผมจึงปฏิเสธท่านไป
แต่เมื่อไปถึงท่ารถปอ. 510 ตลาดไท ที่เหมาะแก่การต่อรถไปรังสิต
ท่านกลับให้ผมขับเลยไปส่งที่ ชุมชนในตลาดไท
โดยท่านบอกว่า ตรงนั้นสะดวกดี
เมื่อส่งท่านแล้ว แน่นอนผมอดคิดไม่ได้ว่า ท่านคงมองหาโยมแบบผมอีก
วันนั้นผมสอนตนเอง เพื่อไม่ให้คิดไม่ดีกับ เหตุการณ์ที่เจอว่า
ภิกษุส่วนมาก ในต่างจังหวัดไม่ค่อยสะดวกเรื่องบริขารและในการเดินทาง
ไม่เหมือน ภิกษุที่วัดพระธรรมกาย
ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และคุณยาย
เอาใจใส่อย่างดี มีความพร้อม ความสะดวกในเรื่อง ควา่มเป็นอยู่ ตามอัตภาพแห่งสมณะ
อีกทั้งญาติโยม ก็ให้ความเคารพ ยกไว้สูง ขาดแคลนสิ่งใด ก็มีผู้ถวายให้
ถ้าตัีวเรา เป็นภิกษุ ที่ขาดความสะดวก ในเรื่องความเป็นอยู่และการเดินทาง
เราอาจต้อง ใช้วิธีแบบ ภิกษุที่เราเจอก็ได้
คิดสอนตนเองแบบนี้ ก็โปร่้งใจขึ้น
ต่อมาเมื่อวันอาทิตย์ในเดือน ตุลาคม นี้
ตอนเย็นขากลับบ้าน ผมเจอภิกษุรูปนั้นอีก ผมจำท่านได้
คราวนี้ท่านมากับภิกษุ รูปอื่น เดินเข้ามาถึงมหาวิหารพระมงคลเทพมุนี
ท่าทางเร่งรีบไปต่างจังหวัดอีก คราวนี้บอกว่าไปภาคเหนือ
ขอบิณฑบาตค่าโดยสาร คราวนี้ผมไม่ร่วมบุญด้วย แต่เพื่อนผมร่วมบุญค่าโดยสารไป
ซึ่งผมก็ไม่เล่าเรื่องที่ผมเคยเจอมาให้เพื่อนฟัง เดี๋ยวเพื่อนไม่สบายใจ
ผมไม่อยากพูดอะไร ที่ตนเองก็ไม่รู้แน่ชัด แค่ ฉงน และสงสัยบ้าง เท่านั้น
พอดีมีสาธุชนจอดรถ ตามๆกันมา
ในรถมีอุบาสิกา ( แม่ชี ) ที่อยากได้บุญ ก็มาร่วมปัจจัยด้วยอีก
ที่น่าสังเกต คือ มีสาธุชนแนะนำให้ไปที่ สำนักงานใหญ่
คุยกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอ ติดรถบัส ที่กำลังขึ้นไปพนาวัฒน์
ท่านก็ปฏิเสธ ดูท่านสะดวกขอรับเป็นปัจจัย มากกว่า
ผมไม่งง เพราะเคยเจอท่านมาแล้ว
ผมเลยบอกกับตัวเองว่า คราวหน้าถ้าผม เจอท่านในลักษณะนี้อีก
ผมคงมีหลายคำถาม ถามท่านก่อนที่จะร่วมบุญค่าโดยสาร ยานพาหนะอีก
ก็ถือเป็นเรื่อง มาเล่าสู่กันฟังนะครับ
ผมไม่ได้ตัดสินว่า ใครเป็นพระแท้ หรือไม่
แต่วัดเรา มีคนใจบุญสุนทาน มากมาย บางทีก็มีอะไรแปลกๆ ไม่คุ้นเคย
ผมก็ต้องสอนตนเองเสมอ แม้ว่าผมจะเจอ ภิกษุที่มีลักษณะแบบนี้อีก
ผมก็ควร ทำบุญตามสมควร
อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอขมาต่อพระสงฆ์
ที่ผมเคยคิดล่วงเกิน ไปในทางไม่สมควร แม้ตามเหตุปัจจัยที่ประสบมา
ณ ที่นี้อีกครั้ง ครับ
ไฟล์แนบ
#4
โพสต์เมื่อ 14 November 2006 - 04:58 PM
สาธุ...
#5
โพสต์เมื่อ 14 November 2006 - 07:28 PM
เรื่องแบบนี้ เป็นเหตุการณ์ผิดปกติ เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ไม่คิดว่าจะกลับมาเกิดขึ้นอีก
เคยเรียนสอบถามพระอาจารย์เมื่อหลายปีก่อน
ท่านให้คำตอบว่า ตามปกติพระที่เดินทางมาร่วมงานบุญ ทางวัดจะกราบถวายปัจจัยค่ารถให้อยู่แล้ว
จึงไม่ควรมีเหตุการณ์การขอเรี่ยไรค่าพาหนะเกิดขึ้น
ดังนั้นหากท่านใดพบเหตุการณ์มีพระเรียไรค่าพาหนะ ให้แจ้งท่านให้ไปติดต่อพระอาจารย์ที่ตู้รับบริจาคโดยตรง
ใครพบเหตุการณ์ผิดปกติก็ให้แจ้งทางวัดทราบ โดยเขียนลงในกล่องรับความคิดเห็น ก็จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม
ก็อยากให้ช่วยบอกต่อๆกันด้วย
เคยเรียนสอบถามพระอาจารย์เมื่อหลายปีก่อน
ท่านให้คำตอบว่า ตามปกติพระที่เดินทางมาร่วมงานบุญ ทางวัดจะกราบถวายปัจจัยค่ารถให้อยู่แล้ว
จึงไม่ควรมีเหตุการณ์การขอเรี่ยไรค่าพาหนะเกิดขึ้น
ดังนั้นหากท่านใดพบเหตุการณ์มีพระเรียไรค่าพาหนะ ให้แจ้งท่านให้ไปติดต่อพระอาจารย์ที่ตู้รับบริจาคโดยตรง
ใครพบเหตุการณ์ผิดปกติก็ให้แจ้งทางวัดทราบ โดยเขียนลงในกล่องรับความคิดเห็น ก็จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม
ก็อยากให้ช่วยบอกต่อๆกันด้วย
#6
โพสต์เมื่อ 14 November 2006 - 08:03 PM
เฉพาะกรณีที่ผมเจอ ไม่ใช่พระที่มาร่วมงานบุญ นะครับ
ครั้งแรกที่เจอ ก็ไม่ใช่วัน เสาร์ -อาทิตย์
ครั้งที่ 2 แม้เจอท่านวันอาทิตย์ แต่ก็เป็นตอนเย็น ขากลับบ้านแล้ว
ดูแล้วท่านเพิ่งมาถึงวัด นะครับ
จึงเข้าใจว่า ท่านตั้งใจแวะมาบิณฑบาต ค่าโดยสาร ยานพาหนะ
เรียนถาม คุณ Aujung
หมายถึงว่า
หากมีภิกษุรูปใด ที่มาวัดและมีการบอกบุญค่า ยานพาหนะ
ก็นิมนต์ท่าน ไปติดต่อพระอาจารย์ ที่ตู้รับบริจาค เช่น
ห้องขันติ หรือ ตู้รับบริจาคในมหาสภาฯ( กรณีตรงวันอาทิตย์ )
หรือเปล่าครับ ?
เพราะหากพบ กรณีแบบนี้อีก จะได้แจ้งภิกษุอาคันตุกะ ได้ถูกต้อง หน่ะครับ
ครั้งแรกที่เจอ ก็ไม่ใช่วัน เสาร์ -อาทิตย์
ครั้งที่ 2 แม้เจอท่านวันอาทิตย์ แต่ก็เป็นตอนเย็น ขากลับบ้านแล้ว
ดูแล้วท่านเพิ่งมาถึงวัด นะครับ
จึงเข้าใจว่า ท่านตั้งใจแวะมาบิณฑบาต ค่าโดยสาร ยานพาหนะ
QUOTE
ดังนั้นหากท่านใดพบเหตุการณ์มีพระเรียไรค่าพาหนะ
ให้แจ้งท่านให้ไปติดต่อพระอาจารย์ที่ตู้รับบริจาคโดยตรง
ให้แจ้งท่านให้ไปติดต่อพระอาจารย์ที่ตู้รับบริจาคโดยตรง
เรียนถาม คุณ Aujung
หมายถึงว่า
หากมีภิกษุรูปใด ที่มาวัดและมีการบอกบุญค่า ยานพาหนะ
ก็นิมนต์ท่าน ไปติดต่อพระอาจารย์ ที่ตู้รับบริจาค เช่น
ห้องขันติ หรือ ตู้รับบริจาคในมหาสภาฯ( กรณีตรงวันอาทิตย์ )
หรือเปล่าครับ ?
เพราะหากพบ กรณีแบบนี้อีก จะได้แจ้งภิกษุอาคันตุกะ ได้ถูกต้อง หน่ะครับ
ไฟล์แนบ
#7
โพสต์เมื่อ 15 November 2006 - 03:20 AM
This is a great topic to talk about.....thanks for taking it up kah
So that we can -- prevent the theif in religion -- I think just try to use your judgement when it happen to you.

คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ
ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ

#8
โพสต์เมื่อ 15 November 2006 - 11:33 AM
อนุโมทนาครับ
ไฟล์แนบ
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#9
โพสต์เมื่อ 15 November 2006 - 06:21 PM
QUOTE
หมายถึงว่า
หากมีภิกษุรูปใด ที่มาวัดและมีการบอกบุญค่า ยานพาหนะ
ก็นิมนต์ท่าน ไปติดต่อพระอาจารย์ ที่ตู้รับบริจาค เช่น
ห้องขันติ หรือ ตู้รับบริจาคในมหาสภาฯ( กรณีตรงวันอาทิตย์
หากมีภิกษุรูปใด ที่มาวัดและมีการบอกบุญค่า ยานพาหนะ
ก็นิมนต์ท่าน ไปติดต่อพระอาจารย์ ที่ตู้รับบริจาค เช่น
ห้องขันติ หรือ ตู้รับบริจาคในมหาสภาฯ( กรณีตรงวันอาทิตย์
เป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับ win,win
-พระภิกษุอาคันตุกะได้รับปัจจัยอย่างพอเพียง
-วัดพระธรรมกายได้ชื่อว่าต้อนรับไม่บกพร่อง(ตรงนี้มักไม่ค่อยคำนึงถึงกัน)
-ญาติธรรมไม่ต้องเสียปัจจัยเอง ให้หมู่คณะรับภาระได้
-สร้างธรรมเนียมปฏิบัติให้พระอาคันตุกะ
-แล้วถ้า ไม่ใช่พระแท้ พระอาจารย์ท่านก็สามารถจัดการได้

ถ้าไม่รีบด่วน มีเวลาเพียงพอก็อาสาพาท่านไปส่งที่ห้องขันติได้นะครับ
อาศัยความร่วมมือ พร้อมเพรียงและเวลา
จะได้ผลทันตาเห็นครับ พระอาคันตุกะ ท่านจะบอกต่อๆกันไปเองว่าท่านสามารถรับปัจจัยค่าเดินทางได้ที่ใด
เป็นการสร้างภาพพจน์ให้กับวงการสงฆ์โดยรวมด้วยนะครับ
ตัวเราผู้ปฏิบัติย่อมได้รับอานิสงส์ไปด้วยครับ
#10
โพสต์เมื่อ 16 November 2006 - 03:07 PM
โอ้สาธุครับ นี่ล่ะสุดยอดแห่งวิธีการแก้ปัญหา ตามหลักการ Put the right man in the right job ให้ผู้ที่ถนัดในเนื้องานนั้นๆ ได้แก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับเนื้องานนั้นๆ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร