
ธรรมมะใดทำให้ถึงความเป็นมนุษย์
#1
โพสต์เมื่อ 26 November 2006 - 05:22 PM
กุศลธรรมขั้นทาน ศีล และภาวนา ย่อมทำให้เกิดเป็นมนุษย์ และเทวดาได้
การเกิดเป็นพรหม ย่อมเกิดขึ้นได้เพราะกุศลธรรมขั้นภาวนา การพ้นจาก
การเกิดในวัฏฏะ ย่อมมีได้ด้วยกุศลขั้นภาวนา(วิปัสสนา)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 484
๖. บุญกิริยาวัตถุสูตร
[๑๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้
๓ ประการเป็นไฉน คือ บุญกิริยาวัตถุสำเร็จแล้วทาน ๑ บุญกิริยา
วัตถุสำเร็จด้วยศีล ๑ บุญกิริยาวัตถุสำาเร็จด้วยภาวนา ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ทานนิดหน่อย ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลนิดหน่อย ไม่เจริญ
บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาเข้าถึงความ
เป็นผู้มีส่วนชั่วในมนุษย์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุ
ที่สำเร็จด้วยทานพอประมาณ ทำบุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยศีลพอ
ประมาณ ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป
เขาเข้าถึงความเป็นผู้มีส่วนดีในมนุษย์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญกิริยา
วัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วย
ศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย
เมื่อตายไป เขาเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาราชทั้ง ๔ ในชั้นนั้น ทำบุญกิริยาวัตถุที่
สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็น
อดิเรก ย่อมก้าวล่วงเทวดาชั้นจาตุมมหาราชโดยฐานะ ๑๐ ประการ
คือ อายุทิพย์ วรรณทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์
เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพทิพย์.
ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำบุญกิริยา
วัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จ
ด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย
เมื่อตายไป เขาเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตสวัตตี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท้าวปรมิมมิตวสวัตตีเทพบุตรในชั้นปรนิม-
มิตวสวัตตีนั้น ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ทำบุญ
กิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ย่อมก้าวล่วงเทวดาชั้นปรนิม-
มิตวสวัตตีนั้นโดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ วรรณทิพย์ สุขทิพย์
ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เตียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์
โผฏฐัพพทิพย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้แล.
พ. ดูก่อนสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า
ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม
สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังมีผู้กลับมา คือ มาสู่
ความเป็นอย่างนี้ ฯลฯ
ดูก่อนสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทาน
ด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำ
ให้เสียประเพณี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและ
พราหมณ์เหล่านี้ ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่
สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์
สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็น
อย่างนี้.
ฯลฯ
ดูก่อนสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลผู้ไม่มีความหวัง
ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้
ไห้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้ว ก็ได้เสวยผลทานนี้ ไม่ได้ให้ทาน
ฯลฯ
.........และไม่ได้
ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อนใส จะเกิดความ
ปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน
เช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น
พรหม เขาสิ้นธรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว
เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ก่อนสารีบุตร
นี้ เหตุปัจจัย เป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้นที่บุคคลบางคนในโลกนี้
ให้แล้ว มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก และเป็นเครื่องให้ทานเช่นนั้น
ที่บุคคลบางคนในโลกนี้ให้แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก.
จบ ทานสูตรที่ ๙
โลกอยู่ภายใต้การครอบงำของชรา ก้าวเข้าไปสู่ชรา ไม่ยั่งยืน
โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้เป็นใหญ่
โลกไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวง
โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา.
- สละโลกได้ ก็พ้นทุกข์ได้
#2
โพสต์เมื่อ 26 November 2006 - 10:05 PM
สาธุ
สาธุ
สาธุ
ลูกพระธรรม
#3
โพสต์เมื่อ 26 November 2006 - 10:37 PM
ข้อสุดท้าย สุราเมระยะฯ. ถ้านึกถึงข้อนี้และ
ปฏิบัติได้จริงจัง เราก็จะไม่ผิดศลีข้ออื่นเลย
เพราะเมื่อมีสติ ครองสติอยู่ได้ ความคิด การพูด
และแม้แต่การกระทำ ก็จะถูกต้องไปด้วย นี่
คือความเข้าใจ สำหรับนักเรียนอนุบาล .
สุขกันที่ได้แสดงความคิดเห็นทุกครั้ง.....
#4
โพสต์เมื่อ 26 November 2006 - 11:17 PM
การยังบุญกุศลให้ถึงพร้อม
การยังจิตใจให้ผ่องแผ้ว
กรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ
#5
โพสต์เมื่อ 27 November 2006 - 09:04 AM
ปรกติของมนุษย์ ย่อมไม่ฆ่ากัน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่แย่งชิงข้าวของกันและกัน ไม่แย่งชิงคนรักของคนอื่น จริงใจต่อกัน และมีสติ ซื่งก็คือ ศีล 5 นั่นเอง
#6
โพสต์เมื่อ 27 November 2006 - 09:44 AM
เพราะฉนั้น การรักษาศีลอย่างเดียวไม่พอครับ สิ่งที่จำเป็นต้องทำควบคู่กันไปอย่าให้ขาดคือ ทาน ศีล และภาวนาครับ
#7
โพสต์เมื่อ 27 November 2006 - 11:33 AM
#8
โพสต์เมื่อ 27 November 2006 - 12:00 PM
ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
#9
โพสต์เมื่อ 27 November 2006 - 05:48 PM
#10
โพสต์เมื่อ 06 November 2007 - 03:11 PM