ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

กฎแห่งกรรม ท.เลียงพิบูลย์ ตอน มาร้าย ไปดี


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 1 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 08 December 2006 - 01:21 AM

มนุษย์เราเกิดมาในโลกนี้ เราจะเลือกเกิดเองตามชอบใจไม่ได้
ฉะนั้น จึงมีมนุษย์ถือกำเนิดเกิดมาในตระกูลที่สูงศักดิ์ อุดมสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ
และก็มีมนุษย์ที่เกิดมาในตระกูลยากจนเข็ญใจ

ทั้งนี้ย่อมแล้วแต่กฏแห่งกรรม จะบันดาลให้เราเกิดไม่มีใครเลือกเกิดได้ตามใจชอบ
ต้องแล้วแต่บุญกุศลบารมีที่เราได้เคยสร้างสมเอาไว้
สิ่งใดที่เราได้กระทำไว้เราก็จะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างแน่นอนหลีกเลี้ยงไม่พ้น
ไม่ว่าจะเป็นชาติปัจจุบันหรือชาติข้างหน้าต่อไป


จะเป็นกรรมดีหรีอกรรมชั่ว ย่อมจะเป็นเงาติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง
คอยโอกาสที่จะเกิดผลตอบแทน ตามสนองสิ่งที่คนเราจะต้องประสบด้วยกัน
ทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าผู้นั้นจะเกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์หรือเกิดมาในตระกูลต่ำต้อย

สิ่งนั้นก็คือความทุกข์
เมื่อได้บรรลุนิติภาวะแล้วย่อมจะมีปัญหาชีวิตก็จะต้องคอยขบคิดแก้ไขยากบ้าง
แล้วแต่เหตุการณ์ในชีวิต จะต้องเกิดขึ้นเมื่อยังมความรู้สึกในรูปรส กลิ่น เสียง
และยังลุ่มหลงอยู่ในกิเลสตัณหายังมีความโลภ รัก โกรธ หลง
ก็ย่อมจะวนเวียน ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย

ตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งเห็นจริง
ตามธรรมชาติที่เกิดดับไม่รู้สิ้นสุด หมกมุ่นอยู่บนกองกิเลสตัณหา
ฉะนั้น องค์พระศาสดาจึงทรงชี้ทางดับทุกข์ พ้นจากความเวียนว่ายตายเกิด
ให้สุดสิ้นลงจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ด้วยอาศัยอำนาจจิตที่มีศีล สมาธิ ปัญญา
ที่จะกำจัดทุกข์จากความรู้สึกให้สูญสิ้นไปจากใจ ไม่มีวันจะกลับคืนมาอีก

เมื่อมนุษย์เรารู้แล้วว่า เราเกิดมาต้องรับทุกข์ด้วยกันทุกคน
ที่สุดก็ไม่มีผู้ใดหนีความแก่ ความเจ็บความตายไปได้
ทำไมเราจึงไม่ทำจิตใจให้มีความเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์
ที่เกิดมาร่วมทุกข์ด้วยกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน


ในเมื่อเรามีโอกาสสามารถจะช่วยเหลือได้ โดยไม่ทำให้เราได้รับความเดือดร้อน
ข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต
ระวังอย่าทำบุญได้บาป
เพราะเคยมีบางท่านหลงงมงายในการทำบุญทำทาน
โดยกู้หนี้ยืมสินแทนที่จะก่อสุขทางใจกลับเกิดทุกข์
เพราะกระทบกระเทือนครอบครัวในการครองชีพ

ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้ปฎิบัติสายกลางย่อมจะได้ผลดีกว่า
ฉะนั้น ผู้ซึ่งเกิดมาดี เมื่อเป็นคนแล้วก็ควรจะประกอบแต่กรรมดี

เมื่อตายไปแล้วก็จะไปสู่ทางดีและผู้ที่เกิดมาไม่ดี
แต่เมื่อเป็นคนที่อยู่ในโลกก็ประกอบแต่กรรมดี
ความดีนั้นย่อมตามสนองโลกนี้และโลกหน้าเมื่อตายไปแล้วก็จะไปสู่ทางดี
ผู้เกิดมาดี แต่เมื่อเป็นมนุษย์ก็ประกอบแต่กรรมชั่ว ย่อมจะได้รับกรรมตามสนองเช่นเดียวกัน

ได้เคยมีเรี่องมา ผู้สร้างความดีมีจิตใจเมตตาสงสารแล้วในอดีต ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย
และก็ไม่เป็นสิ่งที่เก่าแก่ล้าสมัยเกินไป

คล้ายเพชรมณีอันมีค่าแม้จะตกจมอยู่ในโคลนตมจะช้านานเพียงไร
เมื่อมีมนุษย์ใปเห็นเข้าก็ย่อมมีคุณค่าไม่เสื่อมคลาย
ย่อมจะนำเอามาเป็นเครื่องประดับกาย และเรื่องของผู้ประกอบกรรมดีประดับความรู้เช่นเดียวกัน

เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นนับย้อนหลังจาก พ.ศ. ๒๕๐๐ ไปประมาณสี่สิบกว่าปี (ก่อนพ.ศ. ๒๔๖๐)

ครอบครัวผู้อันจะกินครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีมีคุณธรรมสูง
ได้ขอพระราชทานบัตรทำเหมืองแร่พลอย แขวงเมืองกาญจนบุรี
ซึ่งต่อมาเป็นกิ่งอำเภอบ่อพลอย ขึ้นกับอำเภอพนมทวน

เย็นวันหนึ่งมีคนเดินทางหมู่หนี่งมาหยุดพักแถวเขตหน้าบ้าน
เจ้าของบ้านเมื่อเห็นก็เกิดมีความสงสารเพราะเป็นคนมีเมตตาจิต
เห็นผู้ใดได้รับความลำบากก็อดจะเกิดคิดที่จะช่วยเหลือไม่ได้

เมื่อเห็นว่าคนหมู่นั้นจะพักแรมในที่แจ้งเช่นนั้นกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย
เพราะสมัยนั้นมีสัตว์ร้ายชุกชุมกลัวจะเป็นอันตราย
จึงเรียกให้คนหมู่นั้นขึ้นมาพักบนบ้านและได้สั่งให้คนในบ้านจัดหาอาหารมาเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ
และก็สนทนาด้วยความเห็นอกเห็นใจด้วยไมตรีจิตจากเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี
และซ้ำยังเชิญแขกที่มาพักให้รับประทานอาหารเช้าเสียก่อนค่อยออกเดินทางต่อไป

แต่พอรุ่งเข้าปรากฏว่า หมู่แขกที่มาพักได้ออกเดินทางไปแต่เช้าตรู่ ยังไม่ทันสว่างดี
ทำให้พ่อบ้านสงสัยว่า ทำไมเมื่อวานรับปากว่าจะทานอาหารเช้าและจะไป จึงกลับหายตัวไปก่อนเช่นนี้
เมื่อเข้าไปในห้องที่ชายหมู่นั้นพักก็เห็นข้างฝาเป็นไม้กระดาน
มีตัวหนังสือเขียนด้วยดินสอพองมีใจความว่า
“ข้าขอลาท่านผู้ใจดีไปก่อน ข้าจะจดจำความดีของท่านตลอดไป”


เจ้าของบ้านเมื่อได้เห็นหนังสือแล้วก็งง จึงซักถาม คนในบ้านว่า
ตอนที่เขาจะไปนั้น เขาพูดว่าอะไรบ้าง
แต่ไม่มีใครทราบนอกจากชายในบ้านผู้หนึ่ง
ชึ่งนอนติดกับห้องของแขกแปลกหน้าที่มาพักกล่าวว่า

ตอนดึกนอนไม่หลับได้ยินเสียงข้างห้องเขาปรึกษาพูดได้ตอบกันได้ยินชัดเจน
เพราะเป็นเวลาดึกสงัด นอกจากจะได้ยินเสียงสัตว์ป่าร้องอยู่ห่างไกล
นานๆ เสียงจะรบกวนสักครั้งเท่านั้น เสียงคนหนึ่งพูดว่า
“พี่ เมื่อไหร่จะลงมือล่ะ นี่ก็ดึกแล้ว ประเดี๋ยวจะสว่างเสียงานเสียการหมด”

เสียงชายผู้ถูกเรียกพี่ ถอนหายใจอย่างให้ความคิดหนัก แล้วพูดออกมาว่า
“เออ ข้ากลับใจเสียแล้ว ข้าจะไม่แตะต้องทำอะไรบ้านนี้เป็นอันขาด”

อีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นอย่างแปลกใจว่า
“อ้าว ทำไมล่ะพี่ มันไม่เสียเวลาเปล่าหรือก็ตกลงกันมาแล้ว พี่ว่าจะมาปล้น”

เสียงชายถูกเรียกว่าพี่ถอนหายใจ แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า
“นั่นข้าก่อนหน้านี้ แต่เดี๋ยวนี้ข้ากลับใจเสียแล้วข้าบอกตรงๆ ว่า ข้าทำไม่ลง
พวกเอ็งไม่เห็นหรือ บ้านนี้เข้าใจผิดเขาต้อนรับเลี้ยงดูพวกเราอย่างไร
พวกเรารู้พวกเราเห็น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้จักเราเลย ที่นี่เหมือนศาลาพักร้อนของคนเดินทางทั่วไป
ข้าเป็นโจรก็จริง แต่ข้าจะไม่ทำลายคนดี ๆ อย่างนี้เป็นอันขาด”

เสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า
“แล้วพวกเราจะมาหากินเป็นโจรทำไมล่ะ มัวแต่ใจอ่อนอย่างนี้
ข้าเคยเห็นพี่มีจิตใจเข้มแข็งตลอดมา ไม่เคยเห็นใจอ่อนอย่างนี้เลย”


เสียงผู้ที่พูดอย่างขึงขังว่า

“จริง ข้าเคยปล้นมามากแล้วไม่เคยย่อท้ออะไรเลย
แต่พวกเอ็งอย่าลืมนะว่าพวกที่เราปล้นมาแล้ว ล้วนแต่คนชั่ว
พวกรีดนาทาเร้นจากคนจนพวกทำนาบนหลังคน
พวกเหล่านี้ก็เป็นคนชั่วเหมือนเรา จะทำลายมันก็ไม่บาปหนักอะไรมากนัก
ชาวบ้านที่ถูกมันขูดรีดไถก็พากันสมน้ำหน้ามัน
คนชั่วทำลายคนชั่วด้วยกันไม่แปลกอะไร มันสมน้ำสมเนื้อกัน

เสียงพูดขึ้นว่า
“จริง พวกข้าคิดเหมือนอย่างพี่แล้วถ้าเราทำลายคนดี ๆ เราคงตกนรกหนักทีเดียว”

เสียงชายผู้ที่พูดว่า
“ข้าคิดว่าบาปหนักเท่ากับทำลายพระอรหันต์
แล้วชาวบ้านปากเกลือปากปลาร้าก็คงจะแช่งเราให้ฉิบหายตายโหง
ที่เรามาทำลายศาลาที่พักอาศัยของคนทั่วไปเช่นนี้
ต่อไปใครจะมากล้ารับคนแปลกหน้าอย่างเราอีกล่ะ
เพราะเรามาทำลายความดีเสียหมดแล้ว
ต่อไปนี้ข้าจะเลือกปล้นคนมั่งมีขึ้นมาเพราะความชั่ว ยกเว้นผู้ประกอบกรรมดี”

แล้วหลายเสียงก็ถามขึ้นว่า
“แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะพี่”
เสียงชายผู้พี่บอกว่า
“เราก็ต้องรีบออกจากบ้านนี้เสียก่อน สว่าง ”

เสียงถามขึ้นว่า
“แล้วเราไม่ลาเจ้าของบ้านเขาเสียก่อนหรือ เพราะเช้าเขาคงหาอาหารมาเลี้ยงเราอีก”
เสียงชายผู้เป็นพี่ว่า
“อย่ามัวห่วงกินเลยวะ ข้าจะเขียนหนังสือลาไว้ข้างฝา บอกเจ้าของบ้านไว้”

ชายผู้อยู่ในบ้านเล่าแล้ว ก็บอกว่า
“แรกผมได้ยินก็ตกใจกลัว แต่เมื่อฟังดูเห็นผู้ถูกเรียกว่าพี่ คงจะเป็นนายโจรนั้นได้กลับใจเสียแล้ว ก็เบาใจ”
ท่านผู้เป็นเจ้าของบ้านฟังแล้ว ก็มิได้พูดว่าอะไรนี่ก็เห็นได้ว่าความดีได้ประกอบขึ้นนั้น
ได้ทำให้คนกลับใจจากชั่วเป็นคนดีได้ระยะหนึ่ง
ทั้งที่ผู้ประกอบกรรมดีมิได้หวังสิ่งใดตอบแทน แต่ความดีก็แสดงผล เกิดขึ้นเอง

และเรื่องนี้ข้าพเจ้าคิดว่ามาร้ายก็ตั้งใจจะปล้นแต่เมื่อกลับใจได้เกิดความดีขึ้นจากจิตใจ
ทำให้รู้จักบุญบาปในระยะหนึ่งหรืออาจรู้สึกผิดชอบชั่วดี ได้ประกอบส้มมาอาชีวะตลอดไปก็ได้
เพราะไม่มีผู้ใดได้ติดตามวิถีชีวิตของพวกนี้ต่อไป

และข้าพเจ้าคิดว่าในยุคปัจจุบัน คงจะหาโจรที่ จิตใจกตัญญูเช่นนี้คงหายาก ในยุคนี้
แม้แต่บุตรธิดาก็ยังหาความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาผู้มีพระคุณ
และศิษย์ซึ่งเคารพบูชาอาจารย์เช่นสมัยก่อนไม่ค่อยจะได้แล้ว
จะเอาความดีอะไรกับโจรในยุคปัจจุบันนี้

สวัสดี



*** ค้นเจอ ๗๖ เรื่องกฎแห่งกรรม ของท่าน ท.เลียงพิบูลย์ ในเวบ ธรรมจักร ครับ

เชิญแวะที่
http://www.dhammajak.net/kram/2.html

กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
บุญไม่ช่วย, หนังสือชุดกฎแห่งกรรม เรื่องลำดับที่ 67 ของ ท. เลียงพิบูลย์
http://dmc.tv/forum/...showtopic=23605

๒๕ สิหาคม พ.ศ.๒๕๕๓
ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#2 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 29 March 2007 - 04:07 PM

ขอกราบอนุโมทนาบุญกับคุณแดงดีด้วยครับ สาธุ