แต่ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ นี่เอง
ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนแจ่มใส ไม่เคยลืมเลือนไปจากความทรงจำเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เคยผ่านมาเลย
เรื่องมันเป็นดังนี้ คือ
วันหนึ่งเราได้นัดแนะกับเพื่อนฝูงหลายคน ว่าจะเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่
โดยรถยนต์รถออกจากกรุงเทพฯ เวลา ๖.๐๐ น.
ที่บ้านคุณสนิท โชติกเสถียร เดินทางไปตามถนนพหลโยธิน
มีคุณสนิทพร้อมด้วยครอบครัวและข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง
การเดินทางตลอดทางทุกสิ่งทุกอย่างสะดวกเรียบร้อย
จนกระทั่งถึงปากน้ำโพประมาณ ๑๒.๐๐ น. เราได้แวะพักผ่อนที่บ้านญาติข้างฝ่ายภรรยาของคุณสนิท
ที่นั่นเราได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ในที่สุดเราก็ตกลงพักค้างแรม ๑ คืน รุ่งเช้าจึงออกเดินทางต่อไป
คืนนั้นเองข้าพเจ้าได้ประสบเหตุการณ์ประหลาด........
....เราได้เดินทางไปโดยรถยนต์ผ่านสถานีต่าง ๆจนถึงทางระหว่างอำเภอเถินกับอำเภอลี้
ซึ่งทางการเพิ่งจะทำเสร็จใหม่ ๆ เราต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่กรมทาง
และผ่านไปได้ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี
เราขึ้นรถมาสักพักใหญ่ก็จะต้องขึ้นเขา ที่เชิงเขามีป้ายเตือนผู้ขับขี่ยวดยานไว้ว่า
“หยุดตรวจดู ห้ามล้อของท่าน น้ำ และน้ำมันก่อนที่จะขึ้นไป”
เราได้ตรวจดูเครื่องทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเดินทางขึ้นไปทันที
การขึ้นเขาครั้งนี้รู้สึกว่าชันและเต็มไป ด้วยความน่ากลัวอันตราย
ทั้งถนนก็แคบและโค้งเลี้ยวก็อยู่ในระยะสั้น
รถต้องเปิดหน้าขึ้นไปและต้องใช้เกียร์หนึ่งเกียร์สองอยู่ตลอดเวลา
เครื่องยนต์ทำงานหนักเครื่องร้อนทำให้หม้อน้ำเดือด
แต่พอไปถึงสันเขาก็หยุดพักรถเพื่อให้เครื่องเย็น
ฯลฯ..ระหว่างที่รถหยุดพักบนเขานั้น ข้าพเจ้าได้ออกเดินเล่นไม่ห่างไปจากรถจอดเท่าไรนัก
พอเดินพ้นจากรถเพียงเหลี่ยมเขาบังรถอยู่
เบื้องหน้าก็มองเห็นทุ่งกว้างเป็นเนินเขาเขียวชะอุ่มแลดูน่าเพลินตา
หญ้าเขียวชะอุ่มเป็นชั้น ๆ สวยงามอย่างยิ่ง ทำให้จิตใจหลงใหลในความงามของธรรมชาติอย่างเหลือตัว
จึงรีบเดินลงจากเนินไปทันที
จะเป็นเวลานานเท่าใดข้าพเจ้าไม่ทราบ เข้าได้พาตัวเดินไปตามทางเล็ก ๆ สายหนึ่งอากาศสดชื่น
ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องนั่งรถขึ้นเขานั้นหายไปดังปลิดทิ้ง
ราวกับว่าตนเองได้เข้ามาสู่ดินแดนมหัศจรรย์
นอกจากธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวจะมีความงามประหลาดล้ำแล้ว
ยังเกิดความรู้สึกว่าในดินแดนแห่งนี้จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นเลย
ข้าพเจ้าเดินต่อไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ยิ่งเดินยิ่งทำให้จิตใจชื่นบานมากขึ้น
คิดแต่ว่าเป็นสถานที่ซึ่งมีแต่ความรื่นรมย์และสุขใจอย่างที่สุด
ตามเนินเป็นไม้ป่าออกดอกนานาสีกลิ่นหอมระรื่น
อยากจะกล่าวว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีความสุขสบายใจเช่นนี้เลย
เพราะสิ่งแวดล้อมนานาประการได้ทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงไป
ข้าพเจ้าเพลิดเพลินและจิตใจอบอุ่นไม่มีความหวาดกลัว แม้จะไม่พบผู้คนเลยก็รู้สึกว่าปลอดภัย
ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว อยากจะเดินชมให้ทั่วบริเวณ
สักครู่ก็เห็นคนเดินมาแต่ไกล ครั้นเข้ามาใกล้ก็มองเห็นว่าผู้นั้นเป็นชายอายุกลางคน
ข้าพเจ้ามีความยินดีมาก เพื่อจะไต่ถามดูถึงตำบลและหมู่บ้านว่าชื่ออะไรแน่
จึงสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วทำความเคารพ
เมื่อมองเห็นหน้าพ่อลุงคนนั้นก็เกิดความรู้สึกว่าแกมีสายตาที่เป็นมิตรอย่างน่าเคารพ
การแต่งกายเรียบร้อย นุ่งผ้าสีน้ำเงินแก่แบบชาวบ้านหรืออย่างชาวเหนือ ที่เรียกว่าม่อฮ่อม
เป็นการน่าประหลาดที่เพียงแรกมาพบปะ ข้าพเจ้ารู้สึกเคารพรักใคร่ชายผู้นี้
สายตาของพ่อลุงคนนั้นเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและยิ้มแย้มอย่างผู้มีใจดี
ข้าพเจ้าเอ่ย ขึ้น ว่า
“พ่อลุง อยู่ที่ตำบลนี้ใช่ไหม ผมอยากทราบว่าเมืองนี้ชื่อเมืองอะไรครับ
ช่างน่าอยู่เหลือเกิน ดินฟ้าอากาศสดชื่นอย่างนี้ ผมยังไม่เคยพบเห็นที่ไหนเลย”
“ใช่แล้วคุณ ผมอยู่ในเมืองนี้ ที่เราเรียกว่า “เมืองผา” คุณคงมาจากเมืองใต้กระมัง ? ”
รับคำแกแล้ว ข้าพเจ้าถามถึงความเป็นอยู่ต่าง ๆก็ได้รับคำตอบว่า
ที่นี่ไม่มีการลักขโมยหรือโจรกรรม อย่างไร เขาอยู่กันด้วยความสงบสุข
พ่อเมืองเป็นผู้ปกครองอย่างยุติธรรมและเป็นผู้พิพากษาคดีทุกอย่างทุกชนิด
“เอ-ถ้าเช่นนั้น มิเป็นเผด็จการหรือพ่อลุง”
ข้าพเจ้าสอดขึ้น แต่แกก็ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า
“เอ! อ้ายเผด็จการเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่พ่อเมืองก็ปกครองมาด้วยความสุขสบายทั่วหน้ากัน”
แล้วแกทำท่าจะนึกขึ้นได้
“อ้อวันนี้พ่อเมืองจะออกชำระคดีเรื่องหนึ่ง ถ้าคุณต้องการพบพ่อเมืองผมจะพาไป”
ข้าพเจ้ารีบรับปากทันที เมื่อพ่อลุงมีไมตรีจิตออกปากพาไปเช่นนั้น
หลังจากสนทนาพอสมควรแล้วแกก็พาข้าพเจ้าเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
ยิ่งเดินไปก็ยิ่งใกล้หมู่บ้านหนาแน่นเข้าทุกที
ผู้คนก็ยิ่งหนักแน่นมากขึ้นสังเกตดูกิริยาผู้คนทั้งหญิงชาย
ต่างมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแสดงว่ามีความสุขสบายทั่วหน้ากัน และทุกคนเป็นมิตรกัน
ข้าพเจ้าหันมาทางพ่อลุงผู้อารีคนนั้นและพูด ว่า
“พวกชาวบ้านนี้ ดูช่างมีความสุขสำราญหน้าตาแจ่มใสทุกคน”
พ่อลุงหัวเราะอยู่ในลำคอ
“พวกเราในเมืองนี้รักกันเหมือนพี่เหมือนน้องพร้อมที่จะยอมเสียสละให้แก่กันและกัน
โดยไม่เอารัดเอาเปรียบ ทุกคนเป็นผู้ยอมเสียสละทั้งสิ้น”
ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจในคำพูดเช่นนี้ จึงย้อนถามไปว่า
“ถ้าเช่นนั้น ในเมืองนี้ก็ไม่มีทหารและตำรวจน่ะซีครับ ”
ได้รับคำตอบว่า “ไม่มีคำว่าตำรวจหรือทหารไม่มีใครเรียกหรือรู้จักเลย”
“ถ้าอย่างนั้น ทำอย่างไรจึงจะนำตัวจำเลยมาให้พ่อเมืองได้”
“จำเลยสมัครใจมาเองโดยไม่ต้องคุมตัว”
เราคุยกันมาตลอดทาง ชั่วครู่เดียวก็ถึงหุบผาแห่งหนึ่ง ผู้คนหนาแน่น
ช่องผาทางเข้านั้นใหญ่โต สว่างไสวด้วยแสงประหลาดไม่ต้องใช้ไฟ มีลวดลายตามผนังงดงามมาก
มีผู้คนเดินเข้าออกกันไปมาไม่ขาดสาย ทุกคนมีหน้าตายิ้มแย้มต่อข้าพเจ้าเหมือนกับที่เห็นผ่านๆ มาแล้ว
ข้าพเจ้าหันมาถามพ่อลุงว่า
“การชำระคดีนี้ มีการชำระกันทุกๆ วัน ตลอดปีอย่างนี้หรือ”
“นานๆ จะมีสักครั้งหนึ่ง วันนี้คุณมีโชคดี พอมาถึงได้เห็นพ่อเมืองชำระคดี”
แกตอบเป็นปกติ แต่มันทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจมากที่ผ่านผู้คนมาตั้งแต่น้อยจนหนาแน่นเข้าทุกที
ข้าพเจ้า เห็นยิ้มกับข้าพเจ้าไม่ว่าเด็กและผู้ใหญ่
คล้ายว่าข้าพเจ้าเป็นเพื่อนรักหรือญาติสนิทที่จากกันไปนานๆ แล้วมาพบกัน
จากการสังเกตกิริยาท่าทาง เมื่อผ่านเข้ามาที่ประชุมใหญ่ในหุบผา
ทุกคนที่ข้าพเจ้าเห็นหรือเห็นข้าพเจ้าก็แสดงเช่นเดียวกันหมด
เมื่อเดินมาถึงที่ชำระความของพ่อเมืองซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่
ตรงกลางเป็นแท่นศิลาใหญ่มีผู้คนล้อมรอบแท่น
ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านพ่อเมืองจะออกว่าความ พวกชาวเมืองคงนั่งสนทนากันไปตามถนัด
คอยกว่าพ่อเมืองจะออกมา
ข้าพเจ้ากระซิบถามว่าคนไหนเป็นโจทก์ คนไหนเป็นจำเลย
พ่อลุงก็ชี้ให้ดูว่า
คนที่ใส่เสื้อขาวคนนั้น ชื่อผาคำเป็นโจทก์ และคนที่ใส่เลื้อชาวนา (สีน้ำเงินแก่)คนนั้นชื่อโฉมเป็นจำเลย
และคู่พิพาทกำลังนั่งคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีเค้าว่าจะมีการขัดแย้งกันจนเกิดคดีขึ้นโรงศาล
รู้สึกว่าทั้งสองฝ่ายรักใคร่กันดี ไม่น่าเชื่อว่าเป็นความพิพาทกันเลย
ควรจะปรองดองกันให้เรียบร้อยได้ ทำให้ข้าพเจ้าสงสัยจริง ๆ จึงอดที่จะถามพ่อลุงไม่ได้ว่า
“เหตุใดทั้งคู่จึงต้องเป็นความกัน ในเมื่อสังเกตดูว่าทั้งสองมีความรักใคร่กันมาก”
พ่อลุงยิ้ม แล้วตอบว่า
“เรื่องมันตกลงกันไม่ได้ซิคุณ จึงต้องร้อนถึงท่านพ่อเมือง”
“มันร้ายแรงอะไรนักหรือ จึงตกลงกันไม่ได้ พ่อลุงรู้ หรือเปล่า”
พ่อลุงจึงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
“นายโฉมผู้เป็นจำเลยมีนาแปลงหนึ่ง มีข้าวออกรวงเหลืองอร่ามไปทั้งท้องทุ่ง
นายผาคำผู้เป็นโจทก์มีควายอยู่ตัวหนึ่ง ได้เดินผ่านนาของนายโฉม เห็นข้าวในนาน่ากินแต่กินไม่มากนัก
พอนายผาคำมาถึงก็รีบจูงควายกลับบ้าน แล้วก็รีบไปสารภาพความผิดของตน
ที่ได้ปล่อยให้ควายกินข้าวในนาของนายโฉม ตนเองยินดีใช้ค่าเสียหายเป็นข้าว
แต่ฝ่ายนายโฉมเจ้าของนาไม่ยอมรับถือว่าไม่ใช่ความผิดของนายผาคำหรือของควาย
ถ้าจะเอาความผิดแล้ว ควรจะเอาผิดกับข้าวของนายโฉมมากกว่า
เพราะถ้าในนาไม่มีข้าวควายก็คงไม่กิน เรื่องก็คงไม่มี แล้วต่างคนไม่ตกลงกันหรือตกลงกันไม่ได้"
ก่อนที่จะซักถามพ่อลุงอีกต่อไป ได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้น ๓ ครั้ง
เสียงพูดกันว่าพ่อเมืองออกแล้ว เรามัวแต่ก้มหน้าคุยกัน พอเงยหน้าหันไปดูก็เห็นพ่อเมืองอยู่บนแท่น
ทุกคนก้มลงกราบ ข้าพเจ้าทำตามเขาบ้างโดยความสมัครใจ
เมื่อกราบเสร็จแล้ว พ่อลุงก็พาข้าพเจ้าเข้าไปใกล้แท่นที่ประทับของพ่อเมือง
ทุกคนหลีกทางให้ด้วยความยินดี
เมื่อเข้าไปใกล้แท่น ข้าพเจ้าได้มองเห็นท่านพ่อเมืองชัดเจนถนัดตา
ทำให้ข้าพเจ้าต้องตะลึง รูปร่างของพ่อเมืองนั้น ไม่ผิดแปลกกับพระปิยมหาราชฯ รัชกาลที่ ๕ของเราเลย
พระองค์มีพระพักตร์ยิ้มแย้ม ดวงเนตรแจ่มใส
ครั้นแล้วพ่อเมืองก็พูดกับฝ่ายโจทก์และจำเลยเป็นการซักถามปากคำจากโจทก์และจำเลย
ตามเรื่องที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว
เมื่อพ่อเมืองได้พิจารณาเสร็จแล้ว ก็วินิจฉัยและตัดสินว่า
การที่นายโฉมจำเลยไม่ยอมรับค่าเสียหาย จากนายผาคำผู้เป็นเจ้าของควาย
ซึ่งลงไปกินข้าวในนาของเขานั้น โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นความผิดของตนเอง
ที่ได้ปลูกข้าวไว้ทางเดินทางของควาย เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมรับค่าเสียหาย
เพราะควายเป็นสัตว์ที่เรียกว่าไม่มีความคิด ว่าจะเป็นความเสียหายหรือไม่
ส่วนนายผาคำผู้เป็นโจทก์แถลงว่าตามปกติควายของตัวไม่เคยที่จะไปกินข้าวในนาของใคร
แต่บังเอิญควายตัวนี้เกิดมีครรภ์ ทำให้รู้สึกผิดชอบแปรปรวนไป
เนื่องด้วยลูกในท้องทำให้อยากกิน
ฉะนั้นพ่อเมืองจึงตัดสินให้ยกลูกควายที่อยู่ในท้องจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียให้นายโฉม๑ ตัว
ไม่ว่าจะออกมากี่ตัวก็ตาม
ซึ่งลงไปกินข้าวในนาของเขานั้น โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นความผิดของตนเอง
ที่ได้ปลูกข้าวไว้ทางเดินทางของควาย เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมรับค่าเสียหาย
เพราะควายเป็นสัตว์ที่เรียกว่าไม่มีความคิด ว่าจะเป็นความเสียหายหรือไม่
ส่วนนายผาคำผู้เป็นโจทก์แถลงว่าตามปกติควายของตัวไม่เคยที่จะไปกินข้าวในนาของใคร
แต่บังเอิญควายตัวนี้เกิดมีครรภ์ ทำให้รู้สึกผิดชอบแปรปรวนไป
เนื่องด้วยลูกในท้องทำให้อยากกิน
ฉะนั้นพ่อเมืองจึงตัดสินให้ยกลูกควายที่อยู่ในท้องจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียให้นายโฉม๑ ตัว
ไม่ว่าจะออกมากี่ตัวก็ตาม
เมื่อพ่อเมืองทรงตัดสินเรียบร้อย ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ร้องสาธุ
ฝ่ายโจทก์ก็มีจิตใจชื่นบานที่ได้ชดใช้ค่าเสียหายเรื่องข้าวให้เป็นที่เรียบร้อยไป
ต่อจากนั้นพ่อเมืองก็ลุกขึ้นก้มคีรษะรอบ ๆ ตัว รับความเคารพของปวงชนที่อยู่ในที่นั้น
แล้วก็เสด็จขึ้นเข้าในหุบผาทันทีก่อนที่จะเสด็จไปนั้นท่านได้หันมายิ้มกับข้าพเจ้า แล้วกล่าวเรียบ ๆ ว่า
“ขอให้สูเจ้าจงเดินทางต่อไปโดยความปลอดภัยเถิด”
ข้าพเจ้ายกมือขึ้นประณมทำความเคารพ
ท่าน ที่รัก ข้าพเจ้าเห็นท่านพ่อเมืองเพียงครั้งเดียว
รู้สึกมีความจงรักภักดี มีความเคารพด้วยจิตใจอันสุจริต
ความจงรักภักดีนี้ดื่มด่ำอยู่ในความรู้สึก มันเกิดขึ้นจากส่วนลึกของดวงใจอย่างสะอาดบริสุทธิ์
ยากที่จะบรรยายให้ถูกต้องได้
ความจงรักภักดีนี้ทำให้ข้าพเจ้าสามารถจะยอมพลีชีวิตของข้าพเจ้าเพื่อพ่อเมืองได้ทุกเวลา
ทั้ง ๆที่พ่อเมืองยังไม่เคยที่จะชุบเลี้ยง หรือให้ความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าแต่ประการใดเลย
แล้วพ่อลุงก็ชวนข้าพเจ้าลุกขึ้นและเดินทางออกจากหุบผา
ข้าพเจ้าไม่ได้พูดจาอะไรกับพ่อลุงอีกเลยสมองต้องขบคิดอย่างหนัก
ต่อเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับหุบเขาที่ข้าพเจ้าได้พบเห็นมานี้
ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังใช้ความคิดอันนี้เอง
ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นก็เห็นคุณสนิทกำลังเขย่าตัวอยู่บอกว่าจวนเวลาแล้ว
จะเดินทางต่อไป ข้าพเจ้าจึงได้รู้สึกตัวว่าข้าพเจ้าได้ฝันไป
ฝันอย่างยืดยาว ฝันอย่างประหลาด
ข้าพเจ้าอยากให้เป็นความจริงข้าพเจ้าจึงเล่าให้คุณสนิทฟังถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
หลังจากนั้นเราได้รับประทานอาหารกันราวตี ๕ ของวันใหม่แล้วก็ออกเดินทางกันต่อไป
พอเข้าสู่ภูมิประเทศที่ถนนไต่ขึ้นไปบนไหล่เขา
ช่างน่าประหลาดอะไรเช่นนั้นต้นไม้และทิวเขาทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนสันเขา
ที่ข้าพเจ้าจะเลี้ยวเดินลงที่ลาดเชิงเขา ช่างเหมือนกับภาพในฝันของข้าพเจ้าทุกแห่ง
แต่ไม่มีทุ่งลาด ข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายอาลัยอาวรณ์ยิ่ง เมื่อจะจากไป
รู้สึกราวกับว่าข้าพเจ้าได้จากสาวที่รักยิ่งคนหนึ่ง
อย่างไม่มีโอกาสที่จะได้พบกันได้อีกต่อไปในชีวิตนั้นมีปรากฏอยู่จริง ๆ
และข้าพเจ้าได้ผ่านไปทั้งฝันและทั้งตื่น
สวัสดี
*** ค้นเจอ ๗๖ เรื่องกฎแห่งกรรม ของท่าน ท.เลียงพิบูลย์ ในเวบ ธรรมจักร ครับ
เชิญแวะที่
http://www.dhammajak.net/kram/2.html
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
บุญไม่ช่วย, หนังสือชุดกฎแห่งกรรม เรื่องลำดับที่ 67 ของ ท. เลียงพิบูลย์
http://dmc.tv/forum/...showtopic=23605
๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓