ทำอย่างไรจึงจะเป็นเศรษฐี

ถ้าให้เลือกระหว่างความรวยกับความจน แน่นอนที่หลายคนคงอยากเลือกที่จะรวย เพื่อจะได้มีทรัพย์ไว้จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่ขาดมือ แต่จะทำอย่างไรเพื่อให้เราเป็นผู้ที่มีทรัพย์มาก https://dmc.tv/a14288

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ข้อคิดรอบตัว
[ 12 ก.ย. 2555 ] - [ ผู้อ่าน : 18264 ]
ข้อคิดรอบตัว
 
 
โดย พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ
เรียบเรียงจากรายการนานาเทศนา ทาง DMC
 
มุมมองเศรษฐี
 
        ความรวย ความจน ถ้ามองต่างกันก็จะเห็นต่างกัน และถ้าให้เลือกระหว่างความรวยกับความจน แน่นอนที่หลายคนคงอยากเลือกที่จะรวย เพื่อจะได้มีทรัพย์ไว้จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่ขาดมือ แต่จะทำอย่างไรให้เราเป็นผู้ที่มีทรัพย์มาก หรือหากมีทรัพย์มากอยู่แล้วก็ให้มีมากยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างไม่มีวันหมด
 
        มุมมองเศรษฐีในความเห็นทางพระพุทธศาสนา ในด้านนี้มีเรื่องที่น่าคิดอยู่ 2 ประเด็น คือ
 
        1. ทำอย่างไรจึงจะเป็นเศรษฐี
 
        2. มุมมองในการใช้ทรัพย์
 
        มี 2 อย่างนี้ คือ หาได้ ใช้เป็น ก่อนอื่นเลย คนที่จะเป็นเศรษฐีได้จะต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องในเรื่องทรัพย์ บางคนอาจมองว่าเงินทองเป็นของนอกกาย ไม่สำคัญ เงินไม่ใช่เครื่องยืนยันความสุขได้ มีเงินก็ใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป คนที่คิดพูดอย่างนี้ส่วนใหญ่จะไม่รวย ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดผิดอะไรหรอก แต่ส่วนใหญ่คนที่เป็นเศรษฐีจะไม่คิดอย่างนี้ คือเขาจะเห็นคุณค่าของทรัพย์ รู้ว่าเงินทองสำคัญ และเขาจะเห็นว่าการมีทรัพย์กับความสุขมันไปด้วยกันได้ แต่คนที่คิดว่าตัวเองไม่พร้อมที่จะมีทรัพย์หรือไม่พร้อมจะรวย ก็เลยบอกว่าเงินทองนั้นไม่สำคัญ แต่จริงๆ ลึกๆ ก็รู้ว่าสำคัญ มันคล้ายๆ คิดแบบปลอบใจตัวเอง
 
        ในพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องของความรวยเลย พระองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นเศรษฐีนั้นดี เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นแล้วต้องใช้ทรัพย์ให้เป็น ถ้าเป็นแล้วตระหนี่นั้นไม่ดี แล้วทำอย่างไรถึงจะมีทรัพย์ได้ จริงๆ เราจะเห็นลักษณะส่วนใหญ่ร่วมกันอันหนึ่งของเศรษฐีที่เรียกว่า เป็นกับดักของเศรษฐีก็ว่าได้
 
บิล เกตส์ ที่เคยครองตำแหน่งเศรษฐีเป็นอันดับ 1 ของโลกมาหลายปี
บิล เกตส์ ที่เคยครองตำแหน่งเศรษฐีเป็นอันดับ 1 ของโลกมาหลายปี
 
        อย่างเช่น บิล เกตส์ ที่ครองตำแหน่งเศรษฐีเป็นอันดับ 1 ของโลกมาหลายปีมาก และเป็นคนที่น่าสนใจเพราะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง เราเคยคิดหรือไม่ว่า ถ้า บิล เกตส์ เริ่มต้นเกือบจะเท่ากับศูนย์ จนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกมี 8 หมื่นล้านเหรียญ ในขณะที่อายุ 40 ปี ตอนนี้ บิล เกตส์ ก็อายุ 50 กว่าปีแล้ว และมีประมาณ 5-6 หมื่นล้านเหรียญ ก็แสดงว่าเกือบ 20 ปีมานี้เท่ากับว่า บิล เกตส์ ทำงานฟรี เพราะตอน 40 ปี มี 8 หมื่นล้านเหรียญ ทำมาอีก 10 กว่าปีมีประมาณ 5-6 หมื่นล้านเหรียญ เท่ากับขาดทุนไปอีก 2 หมื่นล้านเหรียญ แล้วเศรษฐีส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้กันมาก คือจะมีจังหวะขาขึ้นอยู่ช่วงหนึ่งแล้วมันก็จะทรงๆ อยู่อย่างนั้นอยู่หลายปี นี่คือกับดักเศรษฐี และตอนที่พวกเขากำลังทรงๆ อยู่นั้นพวกเขาก็ยุ่งตลอดเลยไม่ได้ว่างเว้น แต่ทำไมไม่รวยขึ้น โดยสรุปรวมก็คือว่า มูลค่าสินทรัพย์ไม่เพิ่ม เผลอๆ จะลดลงมาหน่อยด้วย ส่วนใหญ่ 99 % เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น ถามว่าทำไม ถ้าเราไปดูรายละเอียดจะพบว่า จังหวะที่ขึ้นมาได้นั้นเพราะแต่ละคนมีจุดแข็งที่เหนือคนอื่นเขา จุดแข็งมีได้หลายแบบคือ อาจจะจังหวะดี คือ เริ่มต้นก็อาจจะฟลุคขุดเจอทอง เหมืองแร่ต่างๆ อีกแบบคือด้วยมีฝีมือ อย่าง บิล เกตส์ ที่ยกตัวอย่างมาให้ดูนั้น เริ่มต้นจุดแข็งของเขานั้นคือเป็นคนที่รู้ มีวิสัยทัศน์ที่มองเห็นความสำคัญของซอฟท์แวร์ก่อนคนอื่นเขา ในขณะที่คนอื่นมองเห็นความสำคัญของคอมพิวเตอร์ว่าอยู่ที่ฮาร์ดแวร์ คือวิสัยทัศน์ถูกต้องและมีความสามารถทางด้านซอฟท์แวร์ที่ระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับเก่งที่สุดในโลก บวกกับเป็นนักเทคโนโลยีที่เข้าใจเรื่องการตลาด มีทักษะในการบริหารอีกระดับหนึ่งด้วย บังเอิญคุณสมบัติ 2-3 อย่างอยู่ในตัวคนๆ เดียวกัน บิล เกตส์ ก็เลยขึ้นมาได้ โปรแกรมเมอร์ที่เก่งกว่า บิล เกตส์ ก็มีแต่ไม่รู้เรื่องการตลาด การบริหารเลย เผอิญ บิล เกตส์ ครบเครื่องกว่าก็เลยไปได้
 
        ถ้าคนไหนสามารถหาจุดแข็งใหม่เพิ่มขึ้นมาได้ มันจะทะยานต่อไปได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ สตีฟ จ็อบส์ ช่วงที่ขึ้นมาครั้งแรกนั้น จริงๆ แล้ว สตีฟ จ็อบส์ เก่งกว่า บิล เกตส์ อีกนะ บิล เกตส์ นั้นไปเลียนแบบ สตีฟ จ็อบส์ ตั้งหลายอย่าง แต่ว่า สตีฟ จ็อบส์ ขึ้นมาครั้งแรกนั้นอายุมากกว่า บิล เกตส์ 2-3 ปี แต่ห้าวมากเลย เช่นว่า เป็นเจ้าของบริษัท แอปเปิ้ล แล้วเดินเท้าเปล่าในบริษัท ใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืดธรรมดา เดินไปมาในบริษัท เจ้าหน้าที่กำลังทำงานอยู่ก็ชะโงกหน้าไปดูว่าทำอะไร คือมนุษย์สัมพันธ์อะไรต่างๆ ตอนนั้นแย่มาก เพิ่งจะอายุได้ 20 กว่าปีแล้วรวยขึ้นมา รวยเอา รวยเอา ก็เลยปรับตัวไม่ทัน และวางตัวไม่เป็น บริษัทก็ค่อนข้างจะปั่นป่วนกับเขาอยู่พอสมควร
 
        อยู่มาพักหนึ่ง สตีฟ จ็อบส์ ก็ไปเชิญ CEO ของบริษัท เป็บซี่ มาช่วยบริหาร เพราะรู้ว่าตัวเองบริหารไม่เก่ง พออยู่ไปสักพักหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่า สตีฟ จ็อบส์ นั้นไม่ไหวเลยเป็นตัวปั่นป่วนเหลือเกิน ในที่สุดก็ถูก CEO ของบริษัท แอปเปิล ที่ สตีฟ จ็อบส์ เป็นคนเชิญมาจากเป็บซี่นั้น ก็โหวตเสียงกรรมการบริษัท แล้วไล่ สตีฟ จ็อบส์ ออกจากบริษัท ทั้งที่เขาเป็นคนสร้างบริษัทขึ้นมา เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยแต่ไม่ถึงครึ่ง แต่ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ เขาเชื่อ CEO ที่มาจาก เป็บซี่ มากกว่า สตีฟ จ็อบส์ ก็เลยต้องโหวตเสียงให้ออก ทำให้เขารู้สึกเสียใจมากเลย
 
สตีฟ จ็อบส์ กับการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เป็นที่ต้องการของตลาดโลก
สตีฟ จ็อบส์ กับการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เป็นที่ต้องการของตลาดโลก
 
        พอผ่านไปสัก 5-10 ปี แอปเปิลก็ขาดนวัตกรรมใหม่ๆ ยอดขายก็ตกลงๆ ทำท่าจะเจ๊ง มีอยู่ช่วงหนึ่ง ไมโครซอฟท์จะมา Take Over ไป พอทำท่าจะไปไม่รอดทุกคนก็คิดถึง สตีฟ จ็อบส์ ก็ไปเชิญเขากลับมา เนื่องจากที่เขาไปทำงานโน่น นี่ นั่น อยู่ข้างนอกมานานก็ตกผลึกตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง พอกลับมาเข้าแอปเปิลได้ปีแรกก็ฟื้นเลย เพราะเขารู้ว่าทุกออฟฟิศมันต้องมีคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องทำงานอย่างหนึ่ง แต่เขามองว่ามันควรจะเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งในออฟฟิศได้ด้วยที่มันดูสวยงาม ก็เลยออกแบบมาเป็นชุดคอมพิวเตอร์ที่มีสีสันสวยสดงดงาม ทำให้เป็นที่ได้รับความนิยมมาก ขายดิบขายดี ผ่านไป 1-2 ปีก็ออก ipod ไปแข่งกับ walk man ของโซนี่ ก็ขายดีอีก บริษัทก็ฟื้นเลย สักพักก็ออก iphone เข้าวงการโทรศัพท์มือถือ ทำให้วงการโทรศัพท์มือถือสั่นสะเทือนไปหมด พักเดียวออก ipad อีก เรียกว่าเกิด innovation ใหม่ๆ แต่ละอย่างนั้นเขย่าวงการเก่าตลอด ทำให้ยักษ์ใหญ่ของโลกแต่ละอย่างแทบจะไปไม่รอด ต้องมีการปรับตัวกันขนานใหญ่เลย ทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทแอปเปิลใหญ่กว่าไมโครซอฟท์ กลายเป็นบริษัทไอที ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะเขามีจุดแข็งใหม่ๆ ขึ้นมาตลอด เป็นตัวอย่างน้อยคนที่สามารถหลุดจากกับดักเศรษฐีได้
 
        ซึ่งการมองภาพรวมตรงนี้ คนที่จะคิดแบบเศรษฐีเวลามองอะไรจะไม่มองแบบเล็กๆ จะมองอะไรใหญ่ๆ เห็นความเป็นไปโดยภาพรวม แล้วมีความเชื่อมั่นที่จะก้าวเดินไป แต่ความเชื่อมั่นนั้นมันจะเกิดพร้อมกับความกระหายในความสำเร็จ อย่าง สตีฟ จ็อบส์ นั้นเขากระหายความสำเร็จ แรงจูงใจอาจจะไม่ใช่ทรัพย์อย่างเดียว แต่มันเหมือนเป็นความท้าทายที่เขาต้องการความสำเร็จ ที่มองเห็นช่องทาง มองเห็นโอกาส และอยากจะพิสูจน์ความคิดของตัวเองว่ามันใช่จริงๆ ต้องการความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ พูดง่ายๆ คือ มีความกระหายความสำเร็จอย่างยิ่ง ถ้ามีแนวคิดเฉยๆ แต่ขาดความกระหายความสำเร็จนั้น ถ้าใช้ศัพท์ในทางพระพุทธศาสนาก็คือ ฉันทะ นั่นเอง คือความรัก ความอยากที่จะทำมัน สิ่งที่ตามมาอีกก็คือ วิริยะ คือความทุ่มเท และสิ่งที่จะตามมาอีกอันหนึ่งก็คือ จิตตะ ใจจดจ่อคิดตลอดเวลา จะทำให้เราเห็นรายละเอียดมากกว่าคนอื่น แล้วมันจะโยงมาสู่ วิมังสา คือ เข้าใจทำ เพราะมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แล้วเขาจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น 4 ข้อนี้โยงกันหมดเลย
 
        คนในโลกส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดนั้น เป็นคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ดูเหมือนตื่นๆ แต่ความจริงสะลึมสะลือ แต่คนไหนที่เริ่มตื่นได้มากกว่าเขา จะทำให้มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แล้วเป็นจุดแข็งที่จะขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จได้
 
        คนเป็นเศรษฐีสำเร็จขั้นที่ 1 ไปแล้ว จริงๆ ย่อมได้เปรียบ เพราะจะทำอะไรย่อมมีต้นทุนที่ดีกว่า ในดีมีเสียในเสียย่อมมีดี ขณะเดียวกันก็มีความแฝงว่า รู้สึกว่าไม่เป็นไร ถ้าประสบความสำเร็จก็ดี ถ้าไม่สำเร็จเราก็ไม่ได้เดือดร้อน ฉะนั้นความรู้สึกท้าทายมันจะอ่อนลง ถ้าเราสามารถเอาจุดแข็งในภาวการณ์ที่เราเป็นมาใช้ ขณะเดียวกันเข้าใจและสามารถอุดช่องโหว่ได้ ถ้าได้อย่างนี้จะไปได้เรื่อยๆ นี้คือด้านแรกในด้านการหาทรัพย์
 
        ประเด็นที่ 2 คือ การใช้ทรัพย์ คือหาได้แล้วต้องใช้เป็น ใช้เพื่อประโยชน์ตัวเองด้วย เพื่อประโยชน์ของครอบครัว พวกพ้องบริวาร สังคม พระศาสนา ต้องทำตรงนี้ให้เป็น แต่ถ้าหาทรัพย์มาได้แล้วหวงแหนตระหนี่ถี่เหนียว อย่างนี้จะไม่เกิดประโยชน์ เพราะจริงๆ แล้ว เราจะสำเร็จได้นั้นต้องขึ้นอยู่กับทั้ง 2 อย่าง ที่บอกไว้เมื่อตอนต้นนั้นมันคือเรื่องของความวิริยะอุตสาหะ ความทุ่มเท อิทธิบาท 4 ในชาติปัจจุบัน แต่พลังขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังคือ บุญ ถ้ามีบุญหนุนส่งแล้วอะไรๆ มันจะลงตัวไปหมด มันเหมือนฟลุคๆ แต่จริงๆ ไม่ใช่ฟลุค ในโลกไม่มีอะไรฟลุค มันมีบุญเป็นตัวหนุนทั้งนั้น เลยรู้สึกว่าได้มาไม่ยากเท่าไหร่ แต่ถ้าคนไม่มีบุญแล้วละก็ดูเหมือนทำท่าเก่งๆ แต่ลงทีไรก็แย่ลำบากตลอด
 
        ฉะนั้นจะสำเร็จได้มันก็ต้องมีบุญประกอบด้วย ไม่ใช่แค่ 1 สมอง 2 มือ ประกอบกันทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้ามีบุญแล้วไม่ทุ่มเทเลยมันก็ไม่ได้อีก แม้จะเชื่อเรื่องบุญแต่ความวิริยะอุตสาหะไม่มีเลย ถ้าไม่ใช่ว่ามีบุญแบบยิ่งยวดจริงๆ แล้ว มันก็ยากเหมือนกัน มันต้อง 2 อย่างประกอบกัน อย่าสุดโต่ง ไม่งอมืองอเท้า
 
        พอเป็นอย่างนี้แล้ว มุมมองการใช้ทรัพย์ที่ใช้ให้เป็น ส่วนหนึ่งก็คือเป็นการสร้างบุญที่จะเป็นเครื่องเกื้อหนุนตัวเอง สำหรับความสำเร็จต่อไปในภายภาคหน้าด้วยนั่นเอง แต่คนไหนที่ตระหนี่ถี่เหนียวแล้ว พวกเราคงเคยได้ยินเรื่องปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ปู่โสมคือเจ้าของทรัพย์ที่มีความหวงแหนในทรัพย์สมบัติของตนมาก แม้ลูกหลานของตัวเองก็ไม่รู้ว่าตนนั้นมีทรัพย์มากแค่ไหน เพราะกลัวเขาจะมาแอบขุดไปใช้ เมื่อตายแล้วก็เป็นผีเฝ้าขุมสมบัตินั้นไปไหนไม่ได้ บางคนไปเกิดเป็นหนูวนเวียนในขุมสมบัติ
 
        ในสมัยพุทธกาล ก็มีพระอยู่รูปหนึ่งบวชมาแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมพอสมควร แต่เผอิญว่าไปได้จีวรมาเป็นผ้าเนื้อดีและชอบมาก เพิ่งตัดเสร็จแต่ยังไม่ทันได้ใช้เลยบังเอิญเป็นโรคขึ้นมาแล้วมรณภาพเสียก่อน แต่ใจกำลังผูกพันอยู่กับจีวรผืนนั้นอยู่ พอตายปั๊บก็ไปเกิดเป็นเลนวิ่งอยู่ในผ้า เพราะใจมันเกาะอยู่ที่ผ้าไม่ยอมไปที่อื่น ทั้งที่บุญมีพอจะไปเกิดในดุสิตบุรี แต่เพราะใจผูกติดอยู่กับผ้านั่นแหละ มันเลยเหนี่ยวรั้งเอาไว้
 
        ปกติเมื่อพระภิกษุมรณภาพแล้ว พระพุทธเจ้าท่านจะสั่งให้หมู่สงฆ์เอาข้าวของ ไม่ว่าจะเป็นบาตร จีวร อะไรต่างๆ เอาไปแบ่งกัน เพราะสมบัติของพระก็คือเป็นของส่วนกลาง แต่ของพระรูปนี้พอมรณภาพแล้วพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าห้ามแตะสมบัติของพระรูปนี้ ให้ทิ้งไว้ 7 วันก่อน สาเหตุเป็นเพราะว่าถ้าในช่วง 7 วันนี้นั้น แล้วพระนำสมบัติของพระรูปนั้นไปใช้ เลนที่วิ่งอยู่ในผ้าพอเห็นพระจะมาแบ่งผ้าบังอะไรไปใช้ เลนจะวิ่งมาบอกว่า ของกู ของกู ของกู อยู่อย่างนั้น ใครที่มาแย่งไปก็จะผูกอาฆาตในพระภิกษุที่จะมาเอาผ้านั้นไปใช้ และถ้าไปผูกอาฆาตในผู้ทรงศีลเข้าเมื่อตายปั๊บก็จะตกนรกเลย แต่พอให้เว้น 7 วัน พอเลนหมดอายุขัยแล้วก็ตาย บุญเก่าก็ได้ช่องส่งผลให้ไปเกิดในดุสิตบุรี พอพ้น 7 วันแล้วถึงค่อยได้มาแบ่งกัน
 
        ฉะนั้นเราเองให้พึงรู้ว่า สมบัติมีไว้มีคุณค่าต้องใช้ให้คุ้มค่าให้เกิดประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันก็อย่าไปยึดติดกับมันจนเกินไป ให้รู้ว่าเมื่อตายแล้วเราก็เอามันไปไม่ได้เลย สิ่งที่ติดตัวไปได้อย่างเดียวคือ บุญเท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักการใช้ทรัพย์ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง ต่อครอบครัว บริวาร สังคม และพระพุทธศาสนา ให้อยู่บนโลกได้อย่างเป็นสุข และมีบุญกุศลติดตัว เมื่อละโลกไปแล้วจะได้เป็นเสบียงสำหรับเราในการเดินทางไกลต่อไป ถ้าครบทั้ง 2 ส่วน ทั้งมุมมองในเรื่องการหาทรัพย์ และมุมมองในการใช้ทรัพย์ได้อย่างนี้ จะเป็นเศรษฐีได้ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า แล้วก็เป็นเศรษฐีไปทุกชาติๆ จนถึงที่สุดแห่งธรรมเลย

http://goo.gl/wnrMK


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ทำไมจีวรพระต้องเป็นสีเหลือง
      ขอไม่นับถือพระสงฆ์
      ข้อคิดธรรมะของพระสุธรรมญาณวิเทศ (สุธรรม สุธมฺโม) จากหนังสือ "หน้าสุดท้าย"
      I can’t respect monks, can I?
      กราบไหว้ทำไม งมงาย !
      Why do people have to pay homage? Ignorant!
      โซเดียม อันตรายใกล้ตัว
      บวชให้สุก
      พลังหญิง
      ตักบาตรใส่บุญ(ตอนที่2)
      ตักบาตรใส่บุญ (ตอนที่1)
      ปัญหามรดก
      ยิ่งใหญ่ในรายละเอียด




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  
  
  
  
  
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related