ทองคำกับเส้นทางการสร้างบารมีของผู้มีบุญในพระไตรปิฎกอุบาสิกาเสสวดีสตรีผู้นี้ เป็นหนึ่งในอุบาสิกาจำนวนไม่กี่สิบคนที่มีประวัติความเป็นมาชัดเจนในพระไตรปิฎก เธอเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัยในระดับที่ยอมสละได้แม้ชีวิตเพื่อบูชาพระรัตนตรัย จนทำให้เธอได้ครอบครองทิพยสมบัติอันโอฬารตระการตา แม้กระทั่งพระอรหันตเถระยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอมีความเป็นมาอย่างไรในอดีตกาล เมื่อครั้งที่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน มหาชนทั้งหลายปรารถนาที่จะบูชาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ จึงร่วมใจกันสร้างเจดีย์ทองคำสูงถึง 1 โยชน์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ให้มนุษย์และเทวดากราบไหว้ ครั้งนั้น มีเด็กน้อยคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ที่มหาชนกำลังช่วยกันสร้างเจดีย์ เธอสงสัยว่าผู้คนมากมายมาทำอะไรกัน จึงถามมารดาว่า “แม่จ๋า คนพวกนี้กำลังทำอะไรกันอยู่จ๊ะ” มารดาตอบว่า “เขาทำอิฐทองคำเพื่อสร้างเจดีย์จ้ะ”เด็กน้อยเป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ยังไม่ทันมีใครชวน เธอก็อยากทำบุญนี้ด้วยตนเอง และพอดีเธอมีเครื่องประดับทองคำชิ้นเล็กๆ อยู่ที่คอ เธอจึงขออนุญาตมารดาว่า “แม่จ๋า ลูกจะมอบเครื่องประดับนี้ให้เขาสร้างเจดีย์นะจ๊ะแม่” เมื่อมารดาอนุญาตและอนุโมทนาบุญกับเธอแล้ว เธอจึงปลดเครื่องประดับออกจากคอ แล้วนำไปมอบให้ช่างทองเพื่อนำไปทำอิฐทองคำสำหรับสร้างเจดีย์นางปลดเครื่องประดับออกจากคอ แล้วนำไปมอบให้ช่างทองเพื่อนำไปทำอิฐทองคำสำหรับสร้างเจดีย์ด้วยอานิสงส์แห่งความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและ บุญจากการถวายเครื่องประดับทองคำ แม้เป็นสมบัติชิ้นเล็กๆ แต่เธอสละให้ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เมื่อละโลกไปแล้ว เธอจึงได้ไปเกิดในสวรรค์ มีวิมานทองสว่างไสว เสวยทิพยสมบัติอันอลังการนานแสนนานเป็นเวลาตลอด 1 กัปต่อมา ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน นางเทพธิดาใจบุญได้มาเกิดในหมู่บ้านนาลกะ วันหนึ่งเมื่อนางมีอายุได้ 12 ขวบ มารดาของนางใช้ให้ไปซื้อของที่ตลาด เมื่อไปถึงตลาดแล้ว นางเห็นพ่อค้าคนหนึ่งเอาทรัพย์สมบัติมากองไว้ สมบัติเหล่านี้เป็นของเศรษฐีผู้เป็นบิดาของพ่อค้าคนนี้ แต่ด้วยกรรมตระหนี่ของพ่อค้า ทำให้สมบัติที่เคยมีอยู่วิบัติไปจนหมดสิ้น ของที่เคยเป็นเพชรนิลจินดา กลับกลายเป็นกระเบื้อง เป็นกรวด เป็นหินไปหมดแต่พ่อค้ายังพอมีปัญญาอยู่บ้าง เขาจึงนำสิ่งของเหล่านี้ไปกองไว้ในตลาด เผื่อว่าอาจจะมีคนมีบุญที่เป็นเจ้าของเงินทองเหล่านี้ผ่านมา วันนั้น เมื่อเด็กหญิงผ่านมาเห็นพ่อค้าเอาของมีค่ามากองไว้ ก็รู้สึกแปลกใจมาก นางจึงถามว่า “ทำไมท่านเอาเงิน ทอง แก้วมุกดา แก้วมณี มากองไว้ที่ตลาด ทำไมไม่เอาไปเก็บไว้ให้ดี” พ่อค้าได้ยินก็รู้ทันทีว่า ผู้มีบุญที่เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว สิ่งของเหล่านี้กำลังจะกลับกลายมาเป็นของมีค่าดังเดิม ด้วยอำนาจบุญของเด็กหญิงคนนี้ คิดดังนี้แล้ว พ่อค้าจึงไปสู่ขอเด็กหญิงกับมารดาของนาง เพื่อที่จะได้ครอบครองสมบัตินี้ร่วมกันสำหรับผู้มีบุญแล้ว บุญจะดึงดูดให้สมบัติทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหา ดังเช่นเด็กหญิงคนนี้ ชีวิตของนางพลิกผันไปด้วยอำนาจบุญที่เคยทำมา หลังแต่งงาน นางได้ครอบครองทรัพย์สมบัติมากมาย และมีสิทธิ์ขาดในการใช้จ่ายทรัพย์สมบัติเหล่านั้น เมื่อเด็กหญิงแต่งงานไปอยู่บ้านสามี และสามีเห็นความดีของนางแล้ว ก็พานางไปเปิดห้องเก็บสมบัติแล้วถามว่า “เธอเห็นอะไรในห้องนี้บ้าง” นางผู้มีบุญตอบว่า “น้องเห็นเงิน ทองคำ และแก้วมณี กองอยู่มากมาย” สามีจึงบอกกับนางว่า “สมบัติเหล่านี้กลายเป็นของไม่มีค่า เพราะพี่ไม่มีบุญพอที่จะครอบครอง แต่น้องมีบุญมาก ของเหล่านี้จึงกลับมาเป็นของมีค่าดังเดิม เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ต่อไป ขอให้น้องเป็นผู้ดูแลสมบัติทั้งหมดนี้ พี่จะใช้แต่ส่วนที่น้องให้เท่านั้น” ด้วยเหตุนี้ทำให้มหาชนทั้งหลายเรียกนางว่า “เสสวดี” ซึ่งแปลว่า ผู้มีส่วนนางเสสวดีเป็นอุบาสิกาที่มีศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา และไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต นางรู้ว่าบุญเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของความสุขและความสำเร็จทั้งปวง และที่สำคัญ หากใช้บุญไปเรื่อยๆ โดยไม่สร้างบุญเพิ่ม บุญที่มีอยู่ก็จะหมดไป และหากบุญหมดลงแล้ว อุปสรรคและทุกข์ภัยต่างๆ ก็จะพากันหลั่งไหลเข้ามา ดังนั้น นางจึงหมั่นสั่งสมบุญอยู่เป็นประจำ เพื่อมิให้บาปได้ช่องส่งผลในช่วงนั้น เป็นเวลาที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรรู้ตัวว่ากำลังจะปรินิพพาน ท่านจึงคิดจะตอบแทนคุณนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาเสียก่อน ท่านจึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทูลขออนุญาตไปปรินิพพานที่หมู่บ้านนาลกะ ซึ่งเป็นถิ่นเกิดของท่าน เมื่อพระสารีบุตรกลับไปถึงบ้านเกิดของท่าน ท่านได้แสดงธรรมโปรดมารดาจนกระทั่งบรรลุโสดาปัตติผล รุ่งเช้าท่านก็ปรินิพพานในห้องที่ท่านเกิดนั่นเองเมื่อพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลายต่างพากันกระทำการสักการะพระธาตุของท่านเป็นเวลา 7 วัน จากนั้นจึงก่อเจดีย์สูง 100 ศอก ด้วยไม้กฤษณาและไม้จันทร์ เพื่อบรรจุพระธาตุ ฝ่ายนางเสสวดีผู้มีบุญทราบข่าวว่า พระสารีบุตรมาปรินิพพานที่บ้านเกิดของท่าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านเดียวกับที่นางอาศัยอยู่ นางจึงคิดจะไปกราบพระธาตุของท่าน แต่พ่อสามีของนางห้ามไม่ให้ไป ให้ส่งดอกไม้และของหอมไปเท่านั้น เพราะกลัวนางจะโดนมหาชนที่แห่กันไปกราบพระธาตุของพระเถระเหยียบเอา แต่นางมีศรัทธาแรงกล้า ไม่กลัวความตายแม้แต่น้อย นางคิดว่า “ถึงแม้เราจะตายลงไปในที่นั้น เราก็จักไปทำการบูชาสักการะให้ได้” จากนั้นนางก็ออกเดินทางไปพร้อมกับคนรับใช้ที่ถือผอบซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ทองคำและของหอม ขณะที่นางและคนรับใช้ยืนประนมมือบูชาพระธาตุของพระสารีบุตรด้วยดอกไม้ทองคำและของหอมอยู่นั้น มีช้างตกมันเชือกหนึ่งวิ่งเข้ามาท่ามกลางฝูงชน ผู้คนตกใจกลัวจึงพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด นางเสสวดีถูกชนล้มลงและถูกฝูงชนเหยียบจนเสียชีวิตด้วยบุญที่นางมีจิตเลื่อมใสอย่างสูงสุดต่อพระสารีบุตร และบุญที่กระทำการบูชาสักการะท่านด้วยดอกไม้ทองคำและของหอม นางจึงได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวารเมื่อนางได้เป็นเทพธิดาและเห็นทิพยสมบัติอันมากมายของตนแล้ว ก็สงสัยว่า “เราได้สมบัตินี้ด้วยบุญเช่นใดหนอ” ครั้นรู้ว่าทิพยสมบัติเหล่านี้ได้มาเพราะความเลื่อมใสในพระสารีบุตรเถระ นางก็ยิ่งมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมากขึ้น นางจึงประดับร่างกายด้วยเครื่องประดับอันอลังการที่บรรทุกเกวียนได้ถึง 60 เล่มเกวียน แวดล้อมด้วยนางอัปสร 1,000 นาง ลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วมายืนประคองอัญชลีถวายบังคมพระบรมศาสดา ด้วยเทพฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของนาง ทำให้บริเวณวัดพระเชตะวันสว่างไสวดุจพระจันทร์และพระอาทิตย์ส่องแสงขณะนั้น พระวังคีสะ ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นสมบัติอันอลังการของนาง ท่านจึงทูลขออนุญาตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามถึงบุญที่นางเคยทำไว้ เมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้ว พระเถระจึงถามนางว่า “ดูก่อนเทพธิดาผู้เลอโฉม วิมานของท่านมุงด้วยแก้วผลึก ข่ายเงิน และข่ายทองคำ มีพื้นวิจิตรสวยงามน่ารื่นรมย์ มีซุ้มประตูทำด้วยแก้ว 7 ประการ ที่ลานวิมานเต็มไปด้วยทรายทองส่องแสงระยิบระยับไปทั่วทุกทิศ เหมือนพระอาทิตย์บนท้องฟ้าที่กำจัดความมืดให้หมดไป“วิมานของท่านส่องแสงเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่บนยอดเขายามค่ำคืน เป็นวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศ ก้องกังวานไปด้วยเสียงดนตรีอันไพเราะที่ประโคมอยู่ตลอดเวลา สุทัสนเทพนครอันเป็นเมืองของพระอินทร์ มั่งคั่งไปด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์ฉันใด วิมานของท่านก็เป็นฉันนั้น และยังหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณที่ตั้งอยู่บนริมฝั่งสระโบกขรณี และมีไม้เลื้อยชูช่อออกดอกห้อยระย้าเกาะก่ายกันลงมาคล้ายกับข่ายของแก้วมณี ต้นไม้ ดอกไม้ และผลไม้ทุกชนิด ที่มีอยู่ในเมืองมนุษย์ ตลอดจนพรรณไม้ทิพย์ประจำเมืองสวรรค์ ก็มีพร้อมอยู่ใกล้วิมานของท่าน ท่านทำบุญอะไรไว้ ถึงได้มีวิมานใหญ่โตสว่างไสวเช่นนี้ นางเทพธิดาได้ฟังดังนั้นจึงเล่าว่า เมื่อครั้งที่ดิฉันเกิดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่านาลกคาม ตั้งอยู่ทางทิศเบื้องหน้าของแคว้นมคธ ประชาชนในหมู่บ้านนั้นเรียกดิฉันว่า เสสวดี ดิฉันได้สร้างกุศลกรรมด้วยการบูชาพระธาตุของพระธรรมเสนาบดีนามว่า อุปติสสะ(พระสารีบุตร) ซึ่งเป็นที่บูชาของทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเครื่องสักการะหลายอย่างล้วนแต่แก้วและทองคำ ครั้นดิฉันละกายมนุษย์นั้นแล้ว จึงได้มาเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถึงพร้อมด้วยทิพยวิมาน”อุบาสิกาเสสวดีเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาข้ามภพข้ามชาติ สิ่งใดเป็นบุญเป็นกุศล นางทุ่มเททำด้วยความเต็มใจ แม้เมื่อครั้งเป็นเด็กน้อย นางก็ยังรู้จักหาบุญใส่ตัวโดยไม่ต้องมีใครมาชักชวน ในชาติต่อมานางก็เสี่ยงชีวิตนำดอกไม้ทองคำและของหอมไปบูชาพระสารีบุตรจนกระทั่งตัวตาย บุญที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยใจที่ศรัทธา และด้วยวัตถุที่ล้ำค่าคือทองคำ ส่งผลที่ยิ่งใหญ่ทำให้นางมีทิพยสมบัติอันโอฬารและน่ารื่นรมย์ จนกระทั่งพระวังคีสะต้องกราบทูลขออนุญาตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามนางว่า เคยทำบุญอะไรมาสำหรับตัวเราเองยังไม่ต้องถึงขั้นเสี่ยงชีวิต แต่เราก็สามารถทำบุญที่ส่งผลยิ่งใหญ่มโหฬารได้เช่นกัน ด้วยการหล่อรูปเหมือนหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งเป็นพระสงฆ์สาวกผู้งามพร้อมทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ด้วยทองคำ มอบไว้เป็นสมบัติแก่พระศาสนา รูปเหมือนทองคำนี้จะเป็นหลักฐานการมีตัวตนของท่านแก่อนุชนรุ่นหลัง และเมื่อคนรุ่นหลังเห็นรูปเหมือนทองคำของท่าน แล้วมาศึกษาประวัติท่าน มาปฏิบัติธรรมตามอย่างท่าน ก็จะทำให้สันติสุขบังเกิดขึ้นในใจของพวกเขา และจะทำให้พวกเขาเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากขึ้น ซึ่งจะมีผลให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองยั่งยืนนาน และจะเป็นทางมาแห่งสันติสุขของโลกได้ด้วย ดังนั้นการหล่อรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่ด้วยทองคำ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออายุของพระศาสนาและประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติด้วยเหตุนี้ คนที่มีส่วนร่วมในการหล่อรูปเหมือนของหลวงปู่จึงได้บุญที่ยิ่งใหญ่ไพศาล เพราะนอกจากจะได้บุญจากการถวายทองคำ ซึ่งมีอานิสงส์ให่สมบัติใหญ่บังเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและภพชาติเบื้องหน้าแล้ว ยังได้บุญอีกต่อหนึ่งจากการสืบทอดอายุพระศาสนาด้วย และในบรรดาการให้อายุนั้น ไม่มีการให้อายุใดมีค่ามากและได้บุญมากเท่าให้อายุพระศาสนา บุญจากการให้อายุและความมั่นคงแก่พระศาสนานี้ จะดลบันดาลให้เรามีอายุยืนนานเป็นพิเศษ สุขภาพแข็งแรงเป็นพิเศษ และมีฐานะมั่งคั่งมั่นคงเป็นพิเศษตลอดไปทุกภพทุกชาติเลยทีเดียว(จากอรรถกถาเสสวดีวิมาน)
http://goo.gl/0IYWK