ม ห า โ ค วิ น ท สู ต ร
( ต อ น ที่ ๓ ส นั ง กุ ม า ร พ ร ห ม )
( ต อ น ที่ ๓ ส นั ง กุ ม า ร พ ร ห ม )

ชาวโลกนี้ เป็นผู้มืดบอด มีน้อยคนที่เห็นแจ้งในโลกนี้ น้อยคนเหลือเกินที่จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เหมือนนกน้อยตัวที่รอดพ้นจากตาข่ายมีน้อยเหลือเกินฉะนั้น
การประพฤติปฏิบัติธรรม ทำใจหยุดใจนิ่ง จะนำความบริสุทธิ์ให้กับชีวิต และจะเป็นทางแห่งความสำเร็จ ใจที่หยุดนิ่งดีแล้วจะถูกจุดแห่งความสำเร็จ และความสุขที่ไม่มีประมาณ เป็นสุขที่ละเอียดประณีต ซึ่งเกิดจากการเข้าถึงดวงปฐมมรรคอันเป็นเบื้องต้น จนถึงสุขที่เกิดจากการเข้าถึงกายในกายที่ละเอียดขึ้นไป กระทั่งเข้าไปถึงพระธรรมกายซึ่งเป็นพุทธรัตนะในตัว เมื่อเราตระหนักถึงพระรัตนตรัยเช่นนี้แล้ว ต้องหมั่นหยุดใจ ให้ได้ทุกๆ วันอย่างสม่ำเสมอ
การประพฤติปฏิบัติธรรม ทำใจหยุดใจนิ่ง จะนำความบริสุทธิ์ให้กับชีวิต และจะเป็นทางแห่งความสำเร็จ ใจที่หยุดนิ่งดีแล้วจะถูกจุดแห่งความสำเร็จ และความสุขที่ไม่มีประมาณ เป็นสุขที่ละเอียดประณีต ซึ่งเกิดจากการเข้าถึงดวงปฐมมรรคอันเป็นเบื้องต้น จนถึงสุขที่เกิดจากการเข้าถึงกายในกายที่ละเอียดขึ้นไป กระทั่งเข้าไปถึงพระธรรมกายซึ่งเป็นพุทธรัตนะในตัว เมื่อเราตระหนักถึงพระรัตนตรัยเช่นนี้แล้ว ต้องหมั่นหยุดใจ ให้ได้ทุกๆ วันอย่างสม่ำเสมอ
มีวาระพระบาลีใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ความว่า
" อนฺธภูโต อยํ โลโก ตนุเกตฺถ วิปสฺสติ
สกุโณ ชาลมุตฺโตว อปฺโป สคฺคาย คจฺฉติ
สกุโณ ชาลมุตฺโตว อปฺโป สคฺคาย คจฺฉติ
ชาวโลกนี้ เป็นผู้มืดบอด มีน้อยคนที่เห็นแจ้งในโลกนี้ น้อยคนเหลือเกินที่จะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เหมือนนกน้อยตัวที่รอดพ้นจากตาข่ายมีน้อยเหลือเกินฉะนั้น "
สังสารวัฏมีภัยมากมาย ซึ่งเกิดจากบาปอกุศลที่ส่งผลให้ไปสู่อบายภูมิ ทำให้มีแต่ความทุกข์ทรมาน มีชาวโลกไม่มากนักที่จะใช้โอกาสในการเกิดมาเป็นมนุษย์ให้คุ้มค่า เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท ส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ โดยไม่รู้เป้าหมายของการเกิดมา น้อยคนนักที่สามารถประคับประคองตนให้รอดพ้นอบายภูมิได้ ผู้ที่สามารถนำชีวิตไปสู่จุดหมายอันสูงสุดได้ จะต้องรู้จักพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าเท่านั้น
* คราวที่แล้วหลวงพ่อนำเรื่องราวที่เหล่าเทวดาทั้งหลาย มาประชุมกัน ฟังท้าวสักกะจอมเทพตรัสถึงพระคุณ ๘ ประการ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเรื่องราวที่ปัญจสิขเทพบุตรได้ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ มาเล่าถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนี้หลวงพ่อจะได้นำมาเล่าต่อ ขณะที่เหล่าเทวดาฟังพระคุณของพระบรมศาสดาและพากันปีติโสมนัส ทันใดนั้น ทางทิศเหนือปรากฏ แสงสว่างเจิดจ้า ครอบงำรัศมีของเหล่าทวยเทพ ท้าวสักกะ จอมเทพจึงตรัสว่า "เพื่อนทั้งหลาย รัศมีที่ปรากฏขึ้นมานี้ เป็นบุพนิมิตแห่งการปรากฏของพรหม"
ครั้นท้าวสักกะกล่าวดังนั้น พวกเทพชั้นดาวดึงส์จึงนั่งนิ่งบนอาสนะของตน รอคอยด้วยใจที่จดจ่อ ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทันใดนั้น สนังกุมารพรหมได้ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางมหาสมาคมของหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ เพื่อร่วมฟังธรรมหรือแสดงธรรมตามวาระโอกาสที่ได้รับเชื้อเชิญ ท่านได้จำแลงอัตภาพที่พอเหมาะ เพราะโดยปกติกายพรหมนี้จะใหญ่โต และละเอียดกว่ากายทิพย์มาก แม้เทวดาชั้นดาวดึงส์เองก็มองไม่เห็นเกินสนังกุมารพรหม
ตอนที่สนังกุมารพรหมปรากฏกายให้เทวดาชั้นดาวดึงส์เห็นนั้น ท่านจะรุ่งเรืองยิ่งกว่าหมู่ทวยเทพทั้งหลายโดยรัศมี โดยยศ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนร่างทอง ย่อมรุ่งเรืองยิ่งกว่าร่างมนุษย์ สนังกุมารพรหมปรากฏกายแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ในบริษัทนั้นไม่มีเทพองค์ใดอภิวาทลุกขึ้นรับหรือเชื้อเชิญท่านด้วยอาสนะ ต่างนั่งนิ่งตะลึงงันกันหมด ได้แต่ประนมมืออยู่บนบัลลังก์ของตน
คราวนี้ สนังกุมารพรหมต้องการนั่งบัลลังก์ของเทพองค์ใด ย่อมนั่งบนบัลลังก์ของเทพองค์นั้นได้ทันที เจ้าของบัลลังก์จะไม่รู้สึกเสียใจ จะมีแต่ความปีติเบิกบานที่ตนเองได้ถวายบัลลังก์กับท้าวมหาพรหมผู้มีศักดิ์ใหญ่
เมื่อสนังกุมารพรหมมาถึง ท่านรู้ถึงความเลื่อมใสของทวยเทพชั้นดาวดึงส์ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวอนุโมทนาว่า "โอหนอท่านผู้เจริญ พวกเทพชั้นดาวดึงส์และท้าวสักกะจอมเทพ ต่างมีความศรัทธาเลื่อมใสในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีใจปีติร่าเริงบันเทิงไหว้พระตถาคต และทำความเคารพในพระธรรมอันยอดเยี่ยม เมื่อเห็นพวกเทพรุ่นใหม่ผู้มีรัศมี มียศ ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนามาบังเกิดในที่นี้ และพวกเทพเหล่านั้นรุ่งเรืองยิ่งกว่าพวกเทพเหล่าอื่น โดยรัศมี โดยยศ โดยอายุ เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่างพากันยินดีเลื่อมใส"
เสียงที่สนังกุมารพรหมกล่าวคาถานั้น ดังกลบทั่วอาณาบริเวณ สะกดเหล่าทวยเทพทั้งหลาย น้ำเสียงของสนังกุมารพรหมนั้น พร้อมด้วยองค์ ๘ คือ มีน้ำเสียงแจ่มใส ฟังเข้าใจง่าย ไพเราะ น่าฟัง หยดย้อย ไม่แตกพร่า มีน้ำเสียงลึกและกังวานยิ่งนัก
เมื่อพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้ฟังน้ำเสียงของท้าวมหาพรหม ต่างชื่นชมอนุโมทนา กล่าวกับสนังกุมารพรหมว่า "สาธุท่านมหาพรหม พวกข้าพเจ้าพิจารณาใจความที่ท่านกล่าวไว้ เกิดความปีติเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมของพระองค์ที่นำออกจากทุกข์ และพากันนั่งพินิจพิจารณาถึงพระคุณ ๘ ประการของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ท้าวสักกะจอมทวยเทพได้ทรงภาษิตไว้แล้ว ยิ่งรู้สึกเลื่อมใส กำลังนั่งตรึกถึงพระคุณ เหล่านั้นอยู่"
สนังกุมารพรหมฟังคำของเหล่าทวยเทพดังนั้น เกิดความปีติ ปรารถนาที่จะฟังพระคุณทั้ง ๘ ประการ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกล่าวกับท้าวสักกะว่า "ถ้าเช่นนั้นนับเป็นบุญลาภของเราที่มาในวันนี้ แม้เราก็อยากฟังพระคุณ ๘ ประการของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ขอจอมทวยเทพตรัสบอกถึงพระคุณของพระบรมศาสดาให้เราฟังด้วยเถิด"
ท้าวสักกะฟังคำของสนังกุมารพรหม จึงตรัสว่า "ข้าแต่ท่านมหาพรหมผู้มีบุญมาก ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์จงฟังเถิด" แล้วตรัสพระคุณ ๘ ประการ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า สนังกุมารมหาพรหมเกิดปีติโสมนัส รื่นเริงบันเทิงใจ เลื่อมใสในพระคุณทั้ง ๘ ประการของพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งนัก นั่งตรึกระลึกถึงพระบรมศาสดาอยู่ครู่หนึ่ง
สนังกุมารพรหมคิดว่า บัดนี้ เราควรประกาศถึงพระคุณของพระองค์ เพื่อยังเหล่าเทพบริษัท ให้ร่าเริงบันเทิงใจยิ่งกว่าเดิม จึงเนรมิตอัตภาพเป็นกุมาร มีร่างกายใหญ่โต ไว้ผม ๕ จุก เหาะขึ้นสู่เวหาท่ามกลางเทวบริษัท นั่งบนบัลลังก์ในอากาศ เหมือนกับบุรุษนั่งบนบัลลังก์ที่ปูลาดไว้อย่างดี หรือบัลลังก์บนภาคพื้นที่เสมอราบเรียบ พลางกล่าวกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์ว่า "ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เหล่าทวยเทพที่อยู่ในที่นี้เคยรู้บ้างไหมว่า ในอดีตชาติที่เกิดมาสร้างบารมีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระปัญญายิ่งใหญ่มาตลอดกาลนานเพียงไร" จากนั้นท้าวมหาพรหมได้นำเรื่องราวการสร้างบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาเล่าให้เหล่าทวยเทพฟัง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ขอให้ติดตามตอนต่อไป
จะเห็นได้ว่า เหล่าเทวาทั้งหลายเป็นผู้ที่ซาบซึ้งในพระพุทธคุณ เห็นคุณค่าในบุญกุศล เพราะบุญเท่านั้นที่อยู่เบื้องหลังความสุขและความสำเร็จทั้งหลาย แม้เป็นเทพก็ยังต้องการบุญ จึงหาโอกาสฟังธรรมให้ใจสดชื่นเบิกบานและสนทนาธรรมกันไม่เคยขาด เราเป็นมนุษย์ควรดูเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง และนำธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้ได้ จะได้มีแต่ความสุขความเจริญ และนับเป็นสหายในหมู่เทพอย่างแท้จริง
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)