ม ห า โ ค วิ น ท สู ต ร
( ต อ น ที่ ๕ พ บ ม ห า พ ร ห ม )
( ต อ น ที่ ๕ พ บ ม ห า พ ร ห ม )

บุคคลใด ละบาปกรรมที่ตนทำไว้แล้วได้ด้วยกุศล
บุคคลนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
ดุจดวงจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น
บุคคลนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง
ดุจดวงจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น
มนุษย์ทุกคนล้วนแสวงหาความสุขกันทั้งสิ้น แต่ความสนุกสนานเพลิดเพลินภายนอกนั้น ไม่ใช่เป็นการแก้ทุกข์ที่ต้นเหตุ ความสุขที่แท้จริงต้องเป็นความสุขที่เที่ยงแท้ถาวร เป็นสุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์เจือปน สุขอย่างนี้เกิดจากการเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งต้องเริ่มจากการนำใจมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ทำอย่างต่อเนื่องและถูกวิธี จึงจะพบกับความสุขที่แท้จริงได้
มีวาระพระบาลีใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ความว่า
" ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ กุสเลน ปิถียติ
โส อิมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา
โส อิมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา
บุคคลใด ละบาปกรรมที่ตนทำไว้แล้วได้ด้วยกุศล บุคคลนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่าง ดุจดวงจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น "
การใช้ชีวิตในโลกนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก จะต้องมีสติประคับประคองตนให้ดี ตัวเราเท่านั้นจะเป็นที่พึ่งได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความขยันหมั่นเพียรในการพัฒนาให้ชีวิตดำรงอย่างมีความสุข คำว่าตนเอง มีทั้งหยาบและละเอียด หยาบๆ ก็คือหมั่นพัฒนาตนเอง ให้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้ความสามารถ
ส่วนความหมายที่ละเอียดลึกซึ้ง คือต้องหมั่นปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในตัวให้ได้ พระธรรมกายเป็นตัวตนที่แท้จริง สามารถเป็นที่พึ่งให้กับเราทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ดังนั้นเราต้องลงมือปฏิบัติธรรมด้วยตัวของเราเอง ผู้อื่นไม่สามารถทำให้เราได้ เช่นเดียวกับชีวิตของมหาโควินทพราหมณ์รักในการฝึกตนอย่างมาก เป็นผู้ที่ไม่ยอมหยุดในการฝึกฝนตนเองเลย
* คราวที่แล้ว ได้นำเรื่องราวที่มหาโควินทพราหมณ์โพธิสัตว์ ใช้อัจฉริยปัญญา แบ่งแว่นแคว้นออกเป็น ๗ ส่วน ให้มหากษัตริย์ทั้ง ๗ พระองค์ปกครอง ทำให้กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของมหาโควินทพราหมณ์มาก วันหนึ่งจึงพากันเสด็จไปหาแล้วตรัสว่า "ท่านโควินท์ผู้เจริญ ท่านเป็นพระสหายที่โปรดปรานของพระเจ้าเรณุฉันใด ท่านก็เป็นสหายเป็นที่รักแม้ของพวกเราฉันนั้น ขอให้ท่านพราหมณ์โควินท์ผู้เจริญ ได้โปรดพร่ำสอนพวกเราด้วยเถิด ขอท่านอย่าได้ทอดทิ้งพวกเราเลย ท่านพราหมณ์มหาโควินท์ก็ตอบสนองพระดำรัสของกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ว่า "หากพระองค์ทั้งหมดต้องการ ข้าพระพุทธเจ้าก็จะสนองเบื้องยุคลบาท" นับตั้งแต่นั้นมา มหาโควินทพราหมณ์ดำรงตนเป็นที่ปรึกษา ได้พร่ำสอนพระราชาทั้ง ๗ พระองค์ ทำให้แว่นแคว้นต่างๆ มีแต่ความสงบสุข นอกจากนี้ ท่านยังสอนพราหมณ์ที่มีชื่อเสียงอีก ๗ คน ซึ่งเป็นที่นับถือของเมือง อีกทั้งสอนมนต์แก่บริวารอีก ๗๐๐ คน กิตติศัพท์อันดีงามของพราหมณ์มหาโควินท์ได้แพร่สะพัดไปทั่วชมพูทวีป
เมื่อมหาโควินทพราหมณ์มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปแล้ว ก็มีข่าวลือว่า "พราหมณ์มหาโควินท์เป็นผู้ที่สามารถเห็นมหาพรหม พูดคุย สนทนา ปรึกษากับพรหมได้" ข่าวได้แพร่สะพัดจากปากต่อปากจนเข้าหูของพราหมณ์มหาโควินท" แทนที่ท่านจะดีอกดีใจ กลับคิดว่า "ข่าวที่ลือกระฉ่อนไปนั้น บางอย่างเกินความจริง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เรายังไม่เห็นพรหม และยังไม่เคยสนทนาปราศัยกับพรหมเลย เราจะทำอย่างไรดีหนอ"
เมื่อมหาโควินทพราหมณ์มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปแล้ว ก็มีข่าวลือว่า "พราหมณ์มหาโควินท์เป็นผู้ที่สามารถเห็นมหาพรหม พูดคุย สนทนา ปรึกษากับพรหมได้" ข่าวได้แพร่สะพัดจากปากต่อปากจนเข้าหูของพราหมณ์มหาโควินท" แทนที่ท่านจะดีอกดีใจ กลับคิดว่า "ข่าวที่ลือกระฉ่อนไปนั้น บางอย่างเกินความจริง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เรายังไม่เห็นพรหม และยังไม่เคยสนทนาปราศัยกับพรหมเลย เราจะทำอย่างไรดีหนอ"
คิดดังนี้แล้ว ท่านฉุกคิดได้ว่า เราเคยฟังคำของพวกพราหมณ์ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์ของอาจารย์ว่า ผู้ใดหลีกเร้น ๔ เดือน ในฤดูฝน ปฏิบัติธรรมเพ่งกรุณาอยู่ ผู้นั้นย่อมเห็นพรหม สามารถสนทนาปรึกษากับพรหมได้ เราก็ควรทำ ข่าวลือที่ดีนี้ให้เป็นจริง ควรหาโอกาสหลีกเร้น เร่งปฏิบัติธรรมตลอด ๔ เดือน ในฤดูฝน เพื่อทำความจริงปรากฏให้ได้
มหาโควินทพราหมณ์ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเรณุ กราบทูลว่า "ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขณะนี้มีข่าวลือไปทั่วว่า ข้าพระพุทธเจ้าสามารถสนทนาปรึกษากับพระพรหมได้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ข้าพระพุทธเจ้ายังไม่เคยเห็นพรหมเลย แล้วจะสนทนากับพรหมได้อย่างไร แต่ข้าพระพุทธเจ้าเคยได้ยินได้ฟังจากพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้เป็นอาจารย์ของอาจารย์กล่าวว่า ผู้ใดหลีกเร้น ๔ เดือน ในฤดูฝน ทำสมาธิ เพ่งฌานอยู่ ผู้นั้นจะเห็นพรหม สนทนา ปรึกษากับพรหมได้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงอยากจะหลีกเร้นสัก ๔ เดือน เป็นผู้อันใครๆ ไม่พึงเข้าไปหายกเว้นคนนำอาหารเพียงคนเดียวเท่านั้น" พระเจ้าเรณุทรงอนุญาตตามนั้น
จากนั้นมหาโควินทพราหมณ์ได้ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ เพื่อทูลลาพักราชกิจชั่วคราว กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงประทานอนุญาต มหาโควินทพราหมณ์ได้เข้าไปหาพราหมณ์มหาศาลทั้ง ๗ คน และบริวารอีก ๗๐๐ คน พลางสั่งว่า "ขอให้พวกท่านจงทำสาธยายมนต์ทั้งหลายตามที่ได้เรียนจากเรา และจงสอนมนต์กันเถิด เราจะหลีกเร้น ๔ เดือนในฤดูฝน เพ่งกรุณาฌาน ยกเว้นคนส่งอาหารเพียงคนเดียว นอกนั้น ขออย่าเข้าไปรบกวนเรา"
เมื่อสั่งงานเรียบร้อยแล้ว มหาโควินทพราหมณ์ได้เข้าไปรํ่าลาภริยา จากนั้นให้สร้างสัณฐาคารใหม่ทางทิศตะวันออกของเมือง แล้วหลีกเร้นปฏิบัติธรรมจนครบ ๔ เดือน โดยไม่มีผู้ใดเข้าไปหานอกจากคนส่งอาหารเท่านั้น เวลา ๔ เดือนผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น มหาโควินทพราหมณ์คิดว่า เราหลีกเร้นอยู่ปานนี้ก็ยังไม่เห็นมหาพรหมเลย สงสัยคำกล่าวของอาจารย์ในกาลก่อน จักไม่เป็นความจริงอย่างแน่แท้
สนังกุมารพรหม ล่วงรู้ความคิดของมหาโควินทพราหมณ์ รีบมาจากพรหมโลกไปปรากฏตัวตรงเบื้องหน้ามหาโควินทพราหมณ์ทันที มหาโควินทพราหมณ์เห็นดังนั้น รู้สึกกลัวตัวสั่น ขนลุกชูชันทั้งตัว เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งรัศมีก็รุ่งเรืองมาก จึงถามว่า "ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใคร ทำไมจึงมีรัศมี มียศ มีสิริรุ่งเรืองเช่นนี้"
พรหมตอบว่า "ท่านมหาโควินท์ พวกเทพทั้งปวงในพรหมโลกย่อมรู้จักเรา เรามาในที่นี้เพื่อยังความต้องการของท่านให้บริบูรณ์ ท่านจงถามถึงสิ่งที่ต้องการเถิด" พราหมณ์ฟังดังนี้ก็รู้ว่า ท่านผู้นี้เป็นมหาพรหม รู้สึกดีใจมากที่การบำเพ็ญเพียรของตนประสบความสำเร็จ เกิดความคิดว่า "สนังกุมารพรหมเปิดโอกาสให้เราถามปัญหา ประโยชน์ปัจจุบันเราเป็นผู้ฉลาด แม้คนเหล่าอื่นย่อมถามประโยชน์ปัจจุบันกับเรา อย่ากระนั้นเลย เราพึงถามประโยชน์ที่เป็นไปในภพเบื้องหน้ากับสนังกุมารพรหม" คิดดังนี้ มหาโควินทพราหมณ์จึงถามสนังกุมารพรหมว่า "ข้าพเจ้า เป็นผู้มีความสงสัย ขอถามท่านสนังกุมารพรหมว่า สัตว์ตั้งอยู่ในอะไรและศึกษาอยู่ในอะไร จึงจะถึงพรหมโลกได้"
สนังกุมารพรหมตอบว่า "ดูก่อนท่านพราหมณ์ สัตว์ละความยึดถืออัตตาว่าเป็นของเรา ในสัตว์ทั้งหลายที่เกิดเป็นมนุษย์ เป็นอยู่ผู้เดียว มีใจน้อมไปในกรุณา ปราศจากกลิ่นเหม็น เว้นจากเมถุน ตั้งอยู่ในธรรมนี้และศึกษาอยู่ในธรรมนี้ จึงจะถึงพรหมโลกได้" มหาโควินทพราหมณ์ได้ฟังเช่นนั้นก็ดีใจ ที่ตนเองสามารถสนทนาปราศัยกับพรหม และได้รู้ประโยชน์ในภพเบื้องหน้า เรื่องราวของมหาโควินทพราหมณ์ยังไม่จบ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ขอให้ติดตามต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)