

วิธุรบัณฑิต บำเพ็ญสัจบารมี (๓)
การสร้างบารมี เป็นงานใหญ่ของพวกเราทุกคน ที่จะต้องทำจนกว่าจะบรรลุจุดหมายปลายทาง
ในระหว่างทางอาจมีปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เกิดขึ้นบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องพิสูจน์กำลังใจของเราเท่านั้น บางปัญหาเราแก้ไขได้ แต่บางปัญหา ต้องรอคอยการแก้ไข ปัญหาทุกๆ ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม ถ้าใช้ปัญญา ปัญหาจะหมดไป ถ้าใจสงบจะพบทางออก เพราะใจที่สงบย่อมเกิดปัญญารู้แจ้ง เป็นปัญญาบริสุทธิ์ ที่จะทำให้ตัวเราและชาวโลกหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่อายตนนิพพาน การหมั่นฝึกฝนใจให้สงบ หยุดนิ่งอยู่ภายใน ทำให้เราเกิดปัญญาที่จะพิชิตปัญหาต่างๆ และยังแตกฉานในศาสตร์ทั้งปวง เราจะเข้าใจทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น รู้ไปถึงต้นเหตุที่มาของปัญหา อีกทั้งรู้วิธีการที่จะแก้ไขปัญหานั้น ดังนั้น การเจริญภาวนาจึงเป็นกรณียกิจที่สำคัญ เหมือนอากาศหายใจที่จะขาดไม่ได้ฉะนั้น
มีธรรมภาษิตที่พระบรมโพธิสัตว์ได้กล่าวไว้ว่า
“เยเกจิเม อตฺถิ รสา ปฐพฺยา
สจฺจํ เตสํ สาธุตรํ รสานํ
สจฺเจ ฐิตา สมณพฺราหฺมณา จ
ตรนฺติ ชาติมรณสฺส ปารํ
รสเหล่าใดมีอยู่ในแผ่นดิน สัจจะเป็นรสที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จกว่ารสเหล่านั้น เพราะว่าสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในสัจจะย่อมข้ามพ้นฝั่งแห่งชาติและมรณะได้” สัจจะหรือความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ถ้อยคำนี้ยังคงเป็นอมตวาจาและยืนยันสัจจธรรมนี้ตลอดมา คำว่า ไม่ตาย ในที่นี้หมายถึง ไม่ตายจากความดี คือสิ่งดีๆ ที่เราทำ คำพูดดีๆ ที่เราเคยกล่าวไว้ จะเป็นบุญติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ กลายเป็นผังสำเร็จที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ เราจะมีอัธยาศัยของคนจริง พูดจริง ทำจริง ไม่เหลาะแหละ ตัวของเราจะเป็นศูนย์กลางแห่งคุณธรรมความดีทั้งหลาย เหมือนท้องฟ้าเป็นที่ชุมนุมของหมู่ดาราทั้งปวง
ดังเช่นเรื่องของพระบรมโพธิสัตว์ ที่หลวงพ่อจะนำมาเล่าให้ได้รับฟังกัน เป็นตอนต่อจากคราวที่แล้ว เมื่อปุณณกยักษ์มาท้าเล่นสกากับพระราชา โดยมีดวงแก้วมณีและม้าอาชาไนยเป็นเดิมพัน ขณะที่กำลังเล่นสกาอยู่นั้น ปุณณกยักษ์ดำริว่า “พระราชาองค์นี้อาจหาญมาก เล่นสกากับยักษ์ผู้มีอานุภาพอย่างเรา แถมยังกล้ายื่นมือรับลูกบาศก์ที่กำลังตกลงมาได้ สงสัยต้องมีผู้คอยช่วยเหลือแน่นอน” จึงตรวจตราดูด้วยตาทิพย์ ก็รู้ว่า เป็นเพราะอานุภาพของอารักขเทวดาที่คอยช่วยเหลืออยู่ จึงถลึงตาใส่อารักขเทวดาด้วยความไม่พอใจ อารักขเทวดาเกิดความสะดุ้งกลัว รีบหนีไปหลบอยู่ที่ขอบจักรวาลทันที คราวนี้ เมื่อพระราชาทรงเล่นครั้งที่ ๓ พระองค์ต้องปราชัย เพราะไม่มีอารักขเทวดาคอยช่วยเหลือ ครั้นถึงคราวที่ปุณณกยักษ์โยนลูกสกาบ้าง ก็สามารถให้ลูกสกาตกลงทางด้านที่ตนปรารถนา ทำให้พระราชาเป็นผู้ปราชัยโดยสิ้นเชิง
เมื่อปุณณกยักษ์ได้รับชัยชนะแล้ว รู้สึกยินดีปรีดาปรบมือหัวเราะเสียงดังลั่นว่า “ข้าพเจ้าชนะแล้ว” พระราชาทรงเสียพระทัยมาก เพราะไม่เคยเล่นสกาแพ้มาก่อน ปุณณกยักษ์จึงปลอบโยนว่า “ข้าแต่มหาราช การเล่นแข่งขันทุกชนิด ย่อมมีผู้แพ้และผู้ชนะ การแพ้ชนะเป็นเกมส์กีฬาอย่างหนึ่ง ขอพระองค์อย่าเสียพระทัยไปเลย บัดนี้ข้าพเจ้าชนะแล้ว ขอพระองค์จงมอบทรัพย์อันประเสริฐเร็วๆ เถิด เพราะข้าพเจ้ามีกิจสำคัญที่ต้องรีบทำอีก”
พระราชาตรัสว่า “ท่านอยากได้สิ่งใดจงเอาไปเถิด ช้าง ม้า โค แก้วมณี กุณฑล และแก้วมณีอันประเสริฐกว่าทรัพย์ทั้งหลาย ที่มีอยู่ในแผ่นดินของเรา เชิญท่านขนไปตามปรารถนาเถิด” ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า “ช้าง ม้า โค แก้วมณี กุณฑลและรัตนะใดๆ ที่มีอยู่ในแผ่นดินของพระองค์ จะประเสริฐกว่าปุโรหิตของพระองค์เป็นมีไม่ ข้าพเจ้าชนะพระองค์แล้ว โปรดพระราชทานปุโรหิตแก่ข้าพเจ้าเถิด”
พระราชาถึงกับอุทานว่า “ท่านจะเอาหัวใจของเราไปเชียวหรือ” ทรงปฏิเสธทันทีว่า “ท่านปุโรหิตเป็นยอดแห่งบัณฑิตที่เสมือนหนึ่งตัวเรา เป็นที่พึ่ง เป็นคติ เป็นเกาะ เป็นที่เร้น และเป็นที่ไปในเบื้องหน้าของเรา ท่านไม่ควรจะเปรียบกับทรัพย์ทั้งหมดที่เรามีอยู่ เพราะปุโรหิตบัณฑิตนั้นเป็นเช่นชีวิตของเรา ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเอาชีวิตของเราไปแทนเถิด” ปุณณกยักษ์ไม่ประสงค์สิ่งใดนอกจากพระโพธิสัตว์ จึงไม่อยากโต้เถียงต่อไป ได้แต่ตัดบทว่า “การโต้เถียงของเราทั้งสอง จะพึงเป็นการช้านาน ขอเชิญเสด็จไปถามท่านปุโรหิตกันดีกว่า ว่าจะตัดสินใจอย่างไร จงอนุโลมตามนั้นเถิด”
พระราชาเสด็จนำปุณณกยักษ์ไปที่โรงธรรมสภา เพื่อพบพระโพธิสัตว์ ปุณณกยักษ์เริ่มเจรจาว่า “ท่านบัณฑิต กิตติศัพท์ของท่านได้ปรากฏไปในสากลโลกว่า ท่านตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่พูดเท็จแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ข้าพเจ้ามาวันนี้ เพื่อต้องการรู้ว่า ท่านเป็นอะไรกับพระราชา เป็นทาส หรือเป็นพระประยูรญาติของพระราชา” พระโพธิสัตว์ดำริว่า “ถ้าเราจะบอกเขาว่า เป็นญาติของพระราชา เป็นคนสูงกว่าพระราชา หรือไม่ได้เป็นอะไรกับพระราชาก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่เราจะนำมาสนับสนุนชี้แจง เพื่อยืนยันในสิ่งที่กล่าวไป แต่ขึ้นชื่อว่าสัจจธรรมในโลกนี้ จะเสมอด้วยคำจริงย่อมไม่มี เราควรจะพูดคำจริงเท่านั้น” ท่านได้ประกาศให้มหาชนในมหาสมาคมรับรู้ว่า
“ในหมู่นรชน ทาสมี ๔ จำพวก คือทาสในเรือนเบี้ย ทาสสินไถ่ ทาสที่ยอมตัวเป็นข้าเฝ้าและทาสเชลย ข้าพเจ้าเป็นทาสโดยกำเนิด คือเป็นทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย ความเจริญหรือความเสื่อมจะมีแก่พระราชาหรือไม่ แม้ข้าพเจ้าจะไปอยู่ ณ สถานที่ใด ก็ยังคงชื่อว่าเป็นทาส ของสมมติเทพนั่นเอง ดูก่อนมาณพผู้มาเยือน เมื่อพระราชาจะพระราชทานข้าพเจ้าให้เป็นค่าพนันแก่ท่าน ก็พึงพระราชทานโดยชอบธรรม เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระราชา” ปุณณกยักษ์ได้ยินดังนั้น ยินดีร่าเริงปรบมือชอบใจ กล่าวว่า “วันนี้ ชัยชนะได้มีแก่ข้าพเจ้าเป็นครั้งที่ ๒ เพราะผู้เป็นปราชญ์ได้ตอบปัญหาถูกใจข้าพเจ้ายิ่งนัก” พระราชาทรงสดับดังนั้น ยิ่งโทมนัสเพราะจะต้องเสียพระโพธิสัตว์ไป ทรงน้อยพระทัยว่า “พระโพธิสัตว์เหมือนไม่อยากอยู่กับเรา กลับเห็นแก่มาณพที่เพิ่งเห็นกันเพียงครู่เดียว” ทรงรับสั่งกับมาณพว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านจงพาตัวเขาไปเถิด”
ปุณณกยักษ์ดีใจมาก ที่จะได้นำพระโพธิสัตว์ไปฆ่า แล้วควักเอาหัวใจไปมอบให้กับพระนางวิมลาเทวี มเหสีของพญานาคราช เพื่อแลกกับการได้ธิดานาคกัญญามาเป็นคู่ครอง ส่วนปุณณกยักษ์จะฆ่าพระโพธิสัตว์ได้หรือไม่ เราต้องมาติดตามกันในตอนต่อไป เราจะเห็นว่า ธรรมดาของพระโพธิสัตว์เป็นคนมีสัจจะ รักความจริงยิ่งชีวิต ท่านไม่กลัวต่อความตาย แต่กลัวที่จะตายจากคุณธรรมความดี นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องศึกษาไว้ และให้นำไปประพฤติปฏิบัติกัน คนที่ยอมตายเพราะเห็นแก่ธรรมะ กับตายเพราะไม่ได้ประพฤติธรรม คือไปทำบาปอกุศลนั้น มีผลที่แตกต่างกันมาก คติก็แตกต่างกันไป คนที่มีวาจาสัตย์ พูดแต่เรื่องจริง มีจิตใจซื่อตรง ย่อมมุ่งตรงไปสู่หนทางสวรรค์และนิพพาน เมื่อถึงคราวนั่งสมาธิเจริญภาวนา ก็หยุดนิ่งใจที่ศูนย์กลางกายได้ง่าย ใจจะมุ่งตรงเข้ากลางของกลางภายในได้ง่าย สุดท้ายจะเข้าถึงพระธรรมกาย และบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด ดังนั้น ให้หมั่นฝึกฝนตนให้มีวาจาสัตย์ ให้สัจจบารมีเต็มเปี่ยมอยู่ในใจของเราทุกคนตลอดเวลา
*มก. วิธุรชาดก เล่ม ๖๔ หน้า ๓๙๘
*มก. วิธุรชาดก เล่ม ๖๔ หน้า ๓๙๘