เนมิราชชาดก บำเพ็ญอธิษฐานบารมี (๒)
การประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยการทำใจหยุดใจนิ่ง
เป็นหัวใจของการสร้างบารมี...
เพราะการสร้างบารมีของมนุษยชาติทั้งหลาย จุดมุ่งหมายสูงสุด คือ การได้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้ากระทั่งเข้าสู่อายตนนิพพาน ซึ่งจะเข้าถึงได้ด้วยการทำใจหยุดใจนิ่งเท่านั้น หยุดในหยุดในกลางพระธรรมกาย จนกระทั่งเข้าไปถึงที่สุดของกลางนั้น คือที่สุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งธรรม นี่คือจุดหมายปลายทางของนักสร้างบารมีทั้งหลาย กว่าเราจะเข้าถึงตรงนี้ได้ ต้องอาศัยบุญบารมีมากมายมหาศาล อาศัยความเพียรอันกลั่นกล้า ต้องหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมโดยไม่ขาดแม้แต่วันเดียว ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มเติมบุญบารมีให้เต็มที่ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมให้ดีกันทุกคน
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏในเนมิราชชาดก ว่า
“อจฺเฉรํ วต โลกสฺมึ อุปฺปชฺชนฺติ วิจกฺขณา
ยทา อหุ นิมิราชา ปณฺฑิโต กุสลตฺถิโก
ราชา สพฺพวิเทหานํ อทา ทานํ อรินฺทโม
เมื่อใดพระเจ้าเนมิราชผู้เป็นบัณฑิต เป็นพระราชา ผู้ปราบอริราชศัตรู มีพระประสงค์ด้วยกุศล ทรงบริจาคทาน แก่ชาววิเทหะทั้งปวง เมื่อนั้นบุคคลผู้ฉลาดก็ย่อมเกิดขึ้นในโลก ความเกิดขึ้นของท่านเหล่านั้น น่าอัศจรรย์หนอ” มนุษย์ส่วนใหญ่ถูกความมืด คือ อวิชชาครอบงำดวงจิตไว้ ทำให้ไม่รู้ความเป็นจริงของโลกและชีวิต ไม่รู้ว่าต้องดำเนินชีวิตเช่นไรจึงจะถูกต้องและปลอดภัย ไม่รู้ว่าตัวเองยังตกเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร ของกิเลสตัณหาที่นำพาให้คิด พูดและทำในสิ่งที่เป็นอกุศล ความไม่รู้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการเดินทางในวัฏสงสาร เพราะอาจพลัดไปตกในอบายภูมิได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกัลยาณมิตรที่คอยชี้แนะให้ดำเนินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง
ในระหว่างการเวียนว่ายตายเกิด แม้ยังไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดเพื่อชี้ทางไปสู่อายตนนิพพาน แต่ยังมีพระโพธิสัตว์ผู้ซึ่งกำลังบ่มบารมีให้แก่รอบ คอยทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ให้ได้รู้จักการทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา ทำให้ชีวิตปลอดภัย มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า การอุบัติขึ้นของพระโพธิสัตว์แต่ละครั้ง เป็นสิ่งที่หาได้ยาก นับเป็นบุญลาภอันประเสริฐของผู้ที่ได้เกิดร่วมยุคร่วมสมัย ได้มีโอกาสฟังธรรม และรับคำแนะนำพรํ่าสอนจากท่านซึ่งเป็นผู้รู้ เราย่อมพลอยเป็นผู้รู้ ผู้ฉลาดตามไปด้วย
ดังเรื่องของพระเจ้าเนมิราชบรมโพธิสัตว์ที่จุติจากพรหมโลก ด้วยความตั้งใจที่จะมาสร้างบารมีอย่างเดียว และตั้งใจจะมาเกิดเป็นองค์สุดท้ายของวงศ์ตระกูลที่สืบทอดกันมายาวนานถึง ๘๓,๙๙๘ องค์ เมื่อพระเนมิกุมารประสูติแล้ว เป็นผู้ที่ทรงยินดีในการรักษาศีล และอุโบสถกรรม ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ท่านสอนตัวเองโดยไม่ต้องรอให้ใครมาสอน นี่เป็นลักษณะพิเศษของบุรุษอาชาไนย ท่านไม่ทรงยินดีและไม่ลุ่มหลงในเบญจกามคุณที่บำรุงบำเรออยู่รอบตัว ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากบุญในตัวที่ได้สั่งสมไว้มากนั่นเอง และความเคยชินที่มีปกติอยู่ในฌานสมาบัติในพรหมโลก ซึ่งไม่ยุ่งเกี่ยวกับเบญจกามคุณ ท่านได้รูปกายที่สมบูรณ์ ได้ลักษณะที่ใกล้เคียงกับลักษณะของพระธรรมกายมาก
ต่อมา พระราชาผู้เป็นพระชนกของเนมิราชกุมาร เมื่อครองราชสมบัติมาได้ ๘๔,๐๐๐ ปี ได้ทอดพระเนตรเห็นผมหงอก ก็เจริญอนิจจสัญญา คือ ความไม่เที่ยงของสังขารที่นับวันมีแต่ความชรา และความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ ทรงรำพึงขึ้นมาว่า “สังขารไม่เที่ยงหนอ วัยของเราแก่หง่อมแล้ว ถึงเวลาที่เราจะประพฤติธรรม แสวงหาที่พึ่งในโลกหน้า ด้วยการออกผนวชเป็นดาบสตามวงศ์ที่ได้ประพฤติสืบต่อๆ กันมา” ได้พระราชทานบ้านส่วยแก่เจ้าพนักงานภูษามาลา มอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส แล้วทรงผนวชในพระราชอุทยานอัมพวัน บำเพ็ญตบะเจริญภาวนาอยู่ตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี เมื่อละโลก ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้าพระเจ้าเนมิราชทรงยินดีในการให้ทานเป็นชีวิตจิตใจ พระองค์โปรดให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง ที่ประตูเมือง ๔ แห่ง คือ ประตูทางด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และในเมืองอีก ๑ แห่ง ทรงพระราชทานทรัพย์ที่โรงทานแห่งละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะทุกๆ วันไม่เคยขาด ทรงบำเพ็ญเบญจศีลเป็นนิจ สมาทานอุโบสถทุกวันปักษ์ข้างขึ้นและข้างแรม อีกทั้งทรงชักชวนมหาชนในการบำเพ็ญบุญ มีการให้ทาน เป็นต้น
ทรงแสดงธรรมชี้หนทางสวรรค์ ให้รักบุญกลัวบาป กลัวการไปบังเกิดในอบายภูมิ มหาชนต่างตั้งอยู่ในโอวาทของพระองค์ พากันบำเพ็ญบุญกุศลอย่างเต็มที่ เมื่อจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดในเทวโลก สมัยนั้นเทวโลกชั้นต่างๆ ล้วนเนืองแน่นไปด้วยเทพบุตรและเทพธิดา ส่วนนรกเป็นประดุจห้องโถงที่ว่างเปล่า ด้วยเหตุนี้ ทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของพระเจ้าเนมิราชแผ่ขจรขจายไปทั่วทั้งชมพูทวีป ใครได้ยินชื่อของพระองค์ จะเกิดปีติขนลุกชูชัน ต่างก็มีความปลื้มปีติว่า ชื่อนี้เป็นสิริมงคลจริงหนอ เป็นชื่อของบุคคลที่ชักชวนเพื่อนมนุษย์ให้ทำแต่คุณงามความดี บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากคนภัยคนพาล พระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าพระราชาองค์ใดๆ ในวงศ์ตระกูล ทำให้สมัยนั้นไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น เนื่องจากทุกคนประพฤติอยู่ในศีล ๕ กันหมด ละโลกไปแล้วจึงมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปเป็นอย่างต่ำ อนุโมทนากถาเป็นเครื่องกล่าวสรรเสริญพระคุณของพระเจ้าเนมิราชได้แผ่ไปทั่ว อีกทั้งยังดังกระฉ่อนไปถึงสวรรค์ทุกชั้นฟ้า
เมื่อกล่าวถึงสวรรค์ ในสมัยนั้น เทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาประชุมกันที่ เทวสภาชื่อ สุธรรมา เทพบุตรเทพธิดาที่เคยเกิดร่วมสมัยครั้งที่เป็นมนุษย์ ซึ่งได้สั่งสมบุญไว้ด้วยกัน ครั้นได้มาพบหน้ากัน ต่างทักทายกันว่า “ท่านมาแล้วหรือ วิมานของท่านสว่างไสวจริงหนอ พระเจ้าเนมิราชทรงสอนให้ท่านทำบุญอะไรไว้ จึงได้วิมานที่สวยงามสว่างไสวถึงเพียงนี้” จากนั้นได้กล่าวถึงบุพกรรมของตนเอง และต่างพากันกล่าวสรรเสริญคุณของพระเจ้าเนมิราชว่า “น่าชื่นชมจริงหนอ พระเจ้าเนมิราชเป็นอาจารย์ของพวกเรา พวกเราทั้งหลายอาศัยพระองค์ จึงได้เสวยทิพยสมบัติมากมายถึงเพียงนี้”
ลำพังการบังเกิดขึ้นเพื่อสร้างบารมีของพระบรมโพธิสัตว์ยังเป็นเหตุให้มนุษย์มากมายได้รับความสุขทั้งในภพนี้และในสัมปรายภพ เปรียบเสมือนแสงเงินแสงทองของดวงอาทิตย์ ที่เป็นนิมิตหมายว่า ความสว่างไสวกำลังจะบังเกิดขึ้นมาบนโลก ให้มนุษย์ได้มองเห็นภาพอันงดงาม ส่วนแสงสว่างที่ได้จากการฟังคำสอนของพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นนักปราชญ์บัณฑิตนั้น ทำให้ปัญญาจักษุของมวลมนุษย์สมบูรณ์มากขึ้น สามารถพิจารณาเห็นชีวิตที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ อีกทั้งก็ไม่ประมาทในชีวิต ชีวิตจึงไม่ตกอยู่ในความมืดมนอนธกาล ทำให้ได้พบกับความสว่างในภพชาติต่อไปอีกด้วย
พระเจ้าเนมิราชทรงสมาทานอุโบสถศีล ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ทรงเปลื้องเครื่องราชอาภรณ์ทุกชนิด สวมชุดขาวบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์บรรทมบนพระยี่ภู่อันมีสิริ ทรงหยั่งลงสู่นิทราตลอด ๒ ยาม ครั้นในปัจฉิมยาม ทรงตื่นขึ้นมานั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์ ทรงดำริว่า เราให้ทานมากมายแก่ประชุมชนและรักษาศีลมาโดยตลอด ระหว่างผลแห่งการให้ทานกับผลแห่งการประพฤติพรหมจรรย์ อย่างไหนหนอจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน ทรงดำริเช่นนี้ ก็ไม่ทรงสามารถตัดความสงสัยของพระองค์ได้ ส่วนมนุษย์หรือเทพองค์ใดจะเป็นผู้คลายความสงสัยของพระองค์ให้หมดสิ้นไป ขอให้ติดตามในตอนต่อไป