เนมิราชชาดก บำเพ็ญอธิษฐานบารมี (๑๐)
การได้อัตภาพเป็นมนุษย์ นับเป็นความโชคดีที่สุดในโลก...
เพราะจะทำให้มีโอกาสได้สั่งสมความดีสร้างบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป ในความเป็นมนุษย์นั้น ยังมีความแตกต่างกันทั้งรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ เชื้อชาติ รวมไปถึงความคิดและจิตใจ แม้จะเกิดมาวันเดียวกัน เป็นฝาแฝด เป็นครอบครัวเดียวกัน ยังมีศีลมีทิฏฐิไม่เสมอกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะบุญที่สั่งสมไว้ไม่เท่ากัน ความสุขและความสำเร็จย่อมต่างกัน รูปสมบัติ คุณสมบัติก็ต่างกัน ฉะนั้น การสั่งสมบุญจึงเป็นสิ่งที่เราทั้งหลายต้องทำกันให้มากๆ ทำทุกๆ วัน ทุกเวลาและทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อเราจะได้สมปรารถนาในทุกสิ่ง
มีวาระพระบาลีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปุญญสูตร ว่า
“ปุญฺญเมว โส สิกฺเขยฺย อายตคฺคํ สุขุทฺรยํ
ทานญฺจ สมจริยญฺจ เมตฺตจิตฺตญฺจ ภาวเย
เอเต ธมฺเม ภาวยิตฺวา ตโย สุขสมุทฺทเย
อพฺยาปชฺชํ สุขํ โลกํ ปณฺฑิโต อุปปชฺชติ
กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษาบุญอันสูงสุดต่อไป ซึ่งมีสุขเป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน ๑ มีความประพฤติสงบ ๑ เมตตาจิต ๑ บัณฑิตครั้นเจริญธรรม ๓ ประการอันเป็นเหตุเกิดแห่งความสุขเหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกสวรรค์ อันไม่มีความเบียดเบียน อยู่เป็นสุข”บันไดที่จะมาช่วยเราให้ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ขึ้นสู่ความเป็นทวยเทพในสุคติโลกสวรรค์นั้น คือ บุญอย่างเดียว บุญคำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง มีคุณค่าต่อจิตใจ และมีอานุภาพมากมายมหาศาลที่จะส่งผลให้เราได้ถึงพร้อมด้วยสมบัติต่างๆ ตามความปรารถนา พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เราศึกษาเรื่องบุญกุศล ส่วนเรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เป็นเรื่องรอง เรื่องหลักของชีวิตต้องเรื่องบุญ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องศึกษาให้เข้าใจและนำไปประพฤติปฏิบัติ จะได้เป็นผู้มีบุญที่สมปรารถนาในทุกสิ่ง
เมื่อเรามีบุญมาก ความสุขและความสำเร็จย่อมมีมาก ชีวิตหลังความตาย จะไม่เป็นสิ่งที่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะบุญที่เราได้สั่งสมไว้ดีแล้วนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีลหรือเจริญภาวนา จะพาเราไปสู่สุคติภูมิ เปรียบเสมือนเรากำลังต่อเติมบันไดแก้วทีละขั้น เพื่อทอดข้ามไปสู่โลกสวรรค์นั่นเอง
มาถึงตอนที่มาตลีเทพสารถีกำลังอธิบายถึงบุพกรรมของเทพบุตรเทพธิดา ในสมัยเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเสวยทิพยสมบัติ ซึ่งแตกต่างจากความทุกข์ในอบายอย่างเทียบกันไม่ได้พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานแก้วผลึกประดับด้วยยอดมากมาย อีกทั้งประดับด้วยต้นไม้ดอกไม้หลากชนิด ปกคลุมไปด้วยนานาบุปผชาติ แวดล้อมไปด้วยแม่น้ำมีน้ำใสสะอาด ฝูงวิหคต่างๆ พากันส่งเสียงร้องไพเราะ มีหมู่อัปสรแวดล้อม เป็นสถานที่อยู่ของเทพบุตรผู้มีบุญองค์หนึ่ง
พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานนั้นแล้ว เกิดความปีติเพลิดเพลิน ทรงไต่ถามมาตลีว่า “วิมานอันบุญญานุภาพตกแต่งดีแล้วนี้ เกลื่อนไปด้วยหมู่อัปสรผู้ประเสริฐ รุ่งเรืองด้วยเรือนยอด บริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ งดงามด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ส่องแสงสว่างจากฝาแก้วผลึก มีแม่น้ำอันประกอบด้วยไม้ดอกต่างๆ ล้อมรอบ เราเห็นแล้วมีความบันเทิงใจเหลือเกิน เทพบุตรนี้ได้ทำกรรมดีอะไรไว้ จึงได้บันเทิงอยู่ในวิมานนี้”
มาตลีเทพสารถีทูลว่า “เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีในกรุงมิถิลานคร เป็นทานบดี ได้สร้างอารามถวายสงฆ์ สร้างบ่อน้ำสำหรับใช้ดื่ม สระน้ำสำหรับสรงสนาน และสร้างสะพานสาธารณกุศล อุบาสกท่านนี้ได้ปฏิบัติบำรุงพระอรหันต์ทั้งหลายผู้สงบเย็น ด้วยความเคารพเลื่อมใสไม่คลอนแคลน นอกจากนี้ยังได้ถวายจีวร บิณฑบาต คิลานปัจจัย และเสนาสนะแด่พระอริยสงฆ์ด้วยใจเลื่อมใส ละโลกแล้ว จึงบันเทิงอยู่ในวิมานหลังนี้”ต่อมาพระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานทองสุกใสมีรัศมีเหมือนดวงอาทิตย์อ่อนๆ ในยามเช้าตรู่ มาตลีเทพสารถีได้อธิบายว่า “เทพบุตรนี้เป็นคฤหบดีอยู่ในกรุงสาวัตถี เป็นทานบดีถวายข้าวปลาอาหารแด่ภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลกอยู่เป็นประจำ ได้บริจาคเงินก่อสร้างอารามที่พักสงฆ์ ได้ถวายจีวร บิณฑบาต คิลานปัจจัย และเสนาสนะแด่ภิกษุสงฆ์ผู้เดินทางมาอารามซึ่งตัวเองได้สร้างไว้ ส่วนวันพระทั้งข้างขึ้น ข้างแรม ได้สมาทานศีล ๘ ไม่ให้ด่างพร้อย เมื่อละจากโลกมนุษย์ จึงบันเทิงอยู่ในสวรรค์”
ในขณะที่มาตลีเทพบุตรกำลังเป็นมัคคุเทศก์นำทางพระเจ้าเนมิราชท่องเที่ยวแดนสวรรค์อยู่นั้น ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า “มาตลีมาช้าจังเลย” เพราะเหล่าทวยเทพต่างก็ตั้งตารอคอยอยู่ จึงส่งเทพบุตรผู้ว่องไวอีกองค์ให้รีบไปตามมาเข้าเฝ้าโดยด่วน มาตลีเทพสารถีฟังคำของเทพบุตรนั้น ได้ใช้เทวานุภาพของตน บันดาลให้พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นในเวลาเดียวกันหลายๆ วิมาน เช่น วิมานทองลอยอยู่ในนภากาศ ไพโรจน์โชติช่วง เหมือนสายฟ้าในระหว่างก้อนเมฆ เป็นวิมานของเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก มีหมู่อัปสรห้อมล้อม ผลัดเปลี่ยนเวียนอยู่ในวิมานต่างๆ เหล่านั้น พระเจ้าเนมิราชทรงอดไม่ได้ที่จะถามถึงบุพกรรมในอดีตว่า “ได้สั่งสมบุญชนิดไหนไว้ เมื่อกลับลงไปโลกมนุษย์ จะได้นำไปบอกกล่าวแก่ชาวเมืองให้ได้สั่งสมบุญกันเต็มที่”
มาตลีเทพสารถีทูลว่า “เทพบุตรเหล่านี้เคยเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บวชในพระธรรมวินัย มีศรัทธาตั้งมั่นในพระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทำให้รู้แจ้งแล้ว ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา ท่านเหล่านี้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ บำเพ็ญสมณธรรมด้วยความเพียร ได้บรรลุโสดาปัตติผล แต่ไม่สามารถทำจิตให้หลุดพ้นจากอาสวกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว จึงมาเกิดในวิมานทองเหล่านี้ ข้าแต่พระราชา ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรสถานที่สถิตของเทพบุตรเหล่านั้นเถิด”
เมื่อเยี่ยมชมวิมานของเทพบุตรเทพธิดาพอสมควรแล้ว มาตลีได้ทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า สถานที่อยู่ของสัตว์ผู้มีกรรมลามก พระองค์ก็ทรงเห็นแล้ว สถานที่สถิตของผู้ทำกุศลกรรมไว้ พระองค์ก็ทรงเห็นแล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จขึ้นไปในสำนักของท้าวสักกเทวราช ในบัดนี้เถิด” ทูลดังนี้แล้ว มาตลีเทพสารถีก็ขับรถต่อไป แสดงสัตตปริภัณฑบรรพต ซึ่งตั้งล้อมสิเนรุราชบรรพตไว้ พระเจ้าเนมิราชทรงเห็นภูเขาชนิดต่างๆ ในระหว่างนทีสีทันดร จึงตรัสถามถึงชื่อของภูเขาต่างๆ เหล่านั้น
มาตลีเทพบุตรทูลตอบว่า “ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ คือ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขากรวีกะ ภูเขาอิสินธร ภูเขายุคันธร ภูเขาเนมินธร ภูเขาวินตกะและภูเขาอัสสกัณณ์ ภูเขาเหล่านี้สูงขึ้นไปตามลำดับ ระหว่างกลางของภูเขาแต่ละลูกจะเป็นมหาสมุทรสีทันดร ภูเขาเหล่านี้เป็นที่อยู่ของท้าวจาตุมหาราช ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตรเถิด” พระ
ราชาทรงสังเกตดูตามที่มาตลีกราบทูลให้ฟัง ทรงเห็นภูเขาเหล่านี้สูงขึ้นไปตามลำดับทุกประการ มีเหล่านาค ยักษ์ ครุฑ คนธรรพ์ประจำอยู่ตามทิศต่างๆ มากมายเรื่องนรกสวรรค์ที่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องปรัมปราที่แต่งขึ้นมาให้อ่านสนุกๆ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องจริงที่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระอรหันต์ ผู้มีรู้มีญาณทั้งหลาย ท่านปฏิบัติธรรมแล้วได้เข้าถึง ท่านเหล่านั้นสามารถไปเทวโลกได้ด้วยกายเนื้อ พบเห็นอย่างไรก็นำลงมาบอกเล่าให้เราได้ฟังกันจะได้มีกำลังใจในการทำความดีและเกิดสัมมาทิฏฐิ เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า เชื่อเรื่องผลของบุญและบาปว่ามีจริง นรกสวรรค์มีอยู่ ถ้าอยากรู้อยากเห็นกันจริงๆ ไม่ต้องรอให้เห็นหลังจากที่ตายไปแล้ว หากหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งจนเข้าถึงพระธรรมกาย ย่อมไปรู้ไปเห็นได้เช่นกัน หลวงปู่สดวัดปากน้ำของเราท่านพูดไว้ชัดเจนว่า “เข้าถึงธรรมกายเมื่อไร ไปนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ ไปสำรวจดู จับมือถือแขนกันได้ ไต่ถามชื่อและบุพกรรมกันได้” ครูของเราท่านยืนยันชัดเจนเช่นนี้แล้ว ขอให้พวกเราหมั่นปฏิบัติให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ทุกคน เราจะได้เข้าใจ ในเรื่องของภพภูมิต่างๆ เหล่านี้อย่างแจ่มแจ้งด้วยตนเอง