เนมิราชชาดก บำเพ็ญอธิษฐานบารมี (๖)

การประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยการหมั่นทำใจหยุดใจนิ่งนี้จะนำความสุข และความบริสุทธิ์ให้บังเกิดขึ้นในชีวิต ...

 
        อีกทั้งจะเป็นบาทเบื้องต้นแห่งความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวง ใจที่หยุดนิ่งดีแล้วจะเป็นแหล่งรวมแห่งความสุข สุขที่ละเอียดประณีตเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ตั้งแต่สุขที่เกิดจากใจโล่งโปร่งเบาสบาย สุขเมื่อเข้าถึงแสงสว่าง เข้าถึงดวงปฐมมรรค จนถึงสุขที่เกิดจากการเข้าถึงกายในกาย กระทั่งเข้าถึงพระธรรมกายไปตามผังชีวิตของมนุษย์ทุกๆ คน ซึ่งการที่จะเข้าถึงความสุขนี้ได้ เราต้องหยุดใจให้ได้อย่างเดียวเท่านั้น
 
มีวาระพระบาลีใน เนมิราชชาดก ว่า
 
        “เย ทุพฺพเล พลวนฺโต ชีวโลเก 
        หึเสนฺติ โรเสนฺติ สุปาปธมฺมา
         เต ลุทฺทกมฺมา ปสเวตฺว ปาปํ 
       เตเม ชนา เวตรณึ ปตนฺติ ฯ
 
        ชนเหล่าใด  เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก เป็นผู้มีกำลังวังชา มีกรรมอันเป็นบาป ย่อมเบียดเบียนด่าว่าผู้อื่นซึ่งหากำลังมิได้ ชนเหล่านั้นมีกรรมหยาบช้า กระทำบาปกรรม จึงตกลงสู่เวตรณีนรก” การที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วนนี้ ล้วนเกิดจากกลไกของกิเลสกรรม และวิบากซึ่งเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากอวิชชาที่บดบังธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ของเราไว้ ทำให้ขึ้นสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานไม่ได้ ผู้ที่สามารถแสดงเรื่องนี้ได้ดี มีเพียงพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า พระอรหันต์และผู้มีรู้มีญาณเท่านั้น เพราะท่านเหล่านั้นระลึกชาติหนหลังได้ มีอนาคตังสญาณ รู้ได้กระทั่งอนาคตว่า กรรมที่เราประกอบเหตุไว้นี้ จะส่งผลอย่างไร ผลของการกระทำที่แสดงออกทั้งทางกาย วาจา ใจ นี้ไม่อาจพิสูจน์ได้ง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดซับซ้อน เป็นสิ่งที่พัวพันกันข้ามภพข้ามชาติ  เมื่อกล่าวถึงกฏแห่งกรรมแล้ว ใครทำกรรมใดไว้ย่อมต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น ไม่มีผู้ใดหลบหนีผลแห่งบาปได้ ดังเรื่องของพระเจ้าเนมิราช ผู้ได้รับคำเชื้อเชิญจากพระอินทร์และเหล่าทวยเทพทั้งหลาย ให้ขึ้นไปชมสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในขณะที่ยังเป็นมนุษย์ เพียงแต่ระหว่างการเดินทางนั้น ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกที่กำลังรับทุกข์ทรมานมากมาย จึงไต่ถามมาตลีเทพบุตรว่า สัตว์นรกเหล่านั้นทำบาปกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาเสวยวิบากกรรมอันทุกข์ทรมานเช่นนี้
 
        เมื่อพระเจ้าเนมิราชเสด็จขึ้นสู่ทิพยราชรถแล้ว มาตลีเทพบุตรทูลถามว่า “ทางไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์มี ๒ ทาง คือ ไปตามทางซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ที่ทำบาปอกุศลไว้ กับทางไปสถานที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำบุญ พระองค์ประสงค์จะโปรดให้นำเสด็จไปทางไหน”  พระราชาดำริว่า พระองค์ยังไม่เคยเห็นทั้งสองทาง จึงตรัสตอบว่า “อยากเห็นทั้งทางที่พวกสัตว์นรกกำลังเสวยผลกรรม และทางที่ผู้มีบุญได้เสวยความสุข” มาตลีเทพบุตรเห็นว่าไม่อาจจะแสดงสถานที่ทั้งสองในขณะเดียวกันได้ จึงทูลถามว่า “ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ทางหนึ่งไปที่อยู่ของผู้ทำบาป ทางหนึ่งไปที่อยู่ของผู้ทำบุญ จะโปรดให้ข้าพระองค์นำเสด็จไปทางไหนก่อน พระราชาดำริว่า “เราจะไปเทวโลกอยู่แล้ว ก่อนไปเราถือโอกาสขอไปชมเมืองนรกก่อนว่า ที่อยู่ของเหล่าสัตว์ผู้ทำบาป ผู้มีกรรมหยาบช้า ซึ่งเป็นคติของผู้ทุศีลเป็นอย่างไร จะได้นำกลับมาเล่าให้พสกนิกรของเรา เพื่อจะได้ตั้งใจทำบุญล้วนๆ ไม่ทำบาปอกุศลกันต่อไป” เมื่อเวชยันต์ราชรถเคลื่อนออกจากเมืองแล้ว มาตลีเทพสารถีชี้แม่น้ำชื่อเวตรณีให้พระเจ้าเนมิราชได้ทอดพระเนตร แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำที่ข้ามยาก ถ้าลงไปจะได้รับความแสบร้อนเดือดพล่านเปรียบเหมือนเปลวเพลิง นายนิรยบาลในนรกถือศัสตราวุธ มีดาบ มีด โตมร หอกและไม้ค้อน เป็นต้น ซึ่งลุกโพลงด้วยไฟ เที่ยวประหาร ทิ่มแทงโบยตีสัตว์นรกตนนั้นบ้างตนนี้บ้าง พวกสัตว์นรกทนต่อทุกข์นั้นไม่ได้ ต่างตกลงในแม่น้ำเวตรณีซึ่งจะเรียกว่าเวตรณีนรกก็ได้
 
        แม่น้ำเวตรณีนี้เต็มไปด้วยเครือเลื้อยที่มีหนามคมแหลมใหญ่และยาวประมาณเท่าหอก มีเพลิงลุกโพลงข้างบน พวกสัตว์นรกต้องอยู่ในแม่น้ำเวตรณีหลายพันปีนรก และถูกตัดเป็นท่อนเล็กท่อนใหญ่ เพราะเถาวัลย์มีหนามแหลมคมกริบ มีเพลิงลุกโชติช่วง มีหลาวเหล็กลุกโพลงประมาณเท่าลำตาล ตั้งขึ้นภายใต้เถาวัลย์เหล่านั้น เหล่าสัตว์นรกต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในแม่น้ำเวตรณียาวนานมาก  ครั้นตกจากเถาวัลย์ก็ตกลงที่ปลายหลาว ร่างกายถูกหลาวแทงทะลุไหม้ เหมือนปลาที่ถูกเสียบด้วยไม้ปลายแหลมแล้วย่างไฟอย่างนั้น หลาวเหล่านั้นก็ลุกเป็นไฟ พวกสัตว์นรกก็ลุกเป็นไฟ โดยเฉพาะบริเวณใต้หลาว ยังมีใบบัวเหล็กแหลมคมเหมือนมีดโกน ลุกเป็นไฟอยู่ใต้น้ำอีกชั้นหนึ่ง ครั้นพวกสัตว์นรกพลัดตกจากหลาวแล้ว ต่างต้องตกลงในใบบัวเหล็ก เสวยทุกขเวทนานานหลายปี จากนั้นสัตว์นรกต้องตกลงไปในน้ำที่แสบร้อน แม้น้ำก็ลุกเป็นไฟ ไฟก็ลุกท่วมสัตว์นรกเหมือนมีคนเอาน้ำมันมาราดรดทั้งตัว แล้วเอาไฟมาจุดเผาทั้งเป็นอย่างนั้น แต่ในนรกร้อนยิ่งไปกว่านั้นหลายเท่านัก ร้อนจนเกิดเป็นควัน และที่บริเวณใต้แม่น้ำก็ยังเต็มไปด้วยเครื่องประหารอันคมกริบอีกมากมาย
 
        เมื่อสัตว์นรกดำลงไปใต้น้ำด้วยคิดว่า ใต้น้ำน่าจะปลอดภัย ได้รับความทุกข์ทรมานน้อยกว่า แต่ดำลงไปกลับกลายเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ เพราะเครื่องประหารอันคมกริบนั้น พวกสัตว์นรกไม่อาจทนทุกข์ทรมานเช่นนั้นได้ พากันร่ำร้องน่ากลัวมาก บางครั้งก็ไหลไปตามกระแสน้ำ บางครั้งก็ทวนกระแส เท่านั้นยังไม่พอ นายนิรยบาลที่อยู่บนฝั่งยังซัดลูกศร มีด โตมร หอก แทงสัตว์นรกเหล่านั้น เหมือนคนหาปลาเอาฉมวกแทงปลาที่อยู่ในชะลอมอย่างนั้น พวกสัตว์นรกต้องคอยหลบหลีกแต่ไม่อาจหลบพ้น  เมื่อถูกแทงหนักเข้า ต่างทนทุกขเวทนาไม่ไหวพากันร้องลั่น จากนั้น นายนิรยบาลจะนำเบ็ดเหล็กที่ลุกเป็นไฟ เกี่ยวสัตว์นรกขึ้นมาจากแม่น้ำเวตรณี ฉุดให้นอนบนแผ่นดินเหล็กที่ลุกเป็นไฟ ยัดก้อนเหล็กแดงลุกเป็นไฟเข้าปากสัตว์นรกเหล่านั้น พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นพวกสัตว์นรกถูกทรมานเช่นนั้น ทรงสะดุ้งกลัว เพราะไม่เคยพบเห็นที่ไหนในโลกมนุษย์เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการทรมานผู้ทำผิดในโลกมนุษย์ ถือว่ายังมีความเมตตาอยู่บ้าง หรือแม้จะลงโทษก็ไม่ได้รับความลำบากขนาดนี้ ยังมีโอกาสพักการลงโทษบ้าง แต่สัตว์นรกต้องทรมานตลอดเวลา จึงตรัสถามมาตลีเทพสารถีว่า สัตว์เหล่านี้ได้ทำบาปกรรมใดไว้ จึงตกในแม่น้ำเวตรณีเช่นนี้ มาตลีเทพสารถีทูลตอบว่า “สัตว์เหล่านี้ สมัยที่ยังเป็นมนุษย์ในโลก มีเรี่ยวแรงมีพละกำลังมาก แต่นำไปใช้เบียดเบียนผู้อื่น เที่ยวทรมาน และรังแกสัตว์ที่มีกำลังน้อยกว่า ตายไปจึงต้องตกในเวตรณีนรกนี่แหละ”  ครั้นทูลตอบปัญหาแล้ว ก็ทำให้บริเวณนั้นอันตรธานไป และขับรถต่อไปเพื่อแสดงสัตว์นรกขุมอื่น ซึ่งกำลังถูกลงโทษเพราะผลแห่งกรรมที่ทำไว้ในอดีตครั้นที่เป็นมนุษย์
 
        การไปเที่ยวนรกโดยอาศัยกายมนุษย์หยาบนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ หรือหากจะไปได้ต้องเป็นผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมาก เพราะกายเหล่านี้ไม่อาจรองรับความร้อนของไฟในนรกได้ ต้องอาศัยกายธรรมที่สว่างไสวกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงมาเรียงกันเต็มท้องฟ้า อาศัยความสว่างจากธรรมกายจึงจะไปรู้ไปเห็นสัตว์นรกขุมลึกๆ ได้ ในพระไตรปิฏกกล่าวไว้ว่า มาตลีเทพสารถีได้อาศัยเทวานุภาพ เนรมิตแดนนรกเหล่านั้นให้พระเจ้าเนมิราชได้เห็น  เพราะฉะนั้น ถ้าอยากไปรู้ไปเห็น ไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ไปตรวจดูนิรยภูมิ ต้องหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในตัวให้ได้  เมื่อนั้นเราจะเข้าใจภพภูมิต่างๆ ได้อย่างแจ่มแจ้งกันทุกคน
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก. เนมิราชชาดก เล่ม ๖๓ หน้า ๒๕๗
 
ปิดการแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง