มิตรภาพที่เกิดจากการดื่มสุราเป็นน้ำสาบานนั้น จะมีความยั่งยืนอย่างไร - หลวงพ่อตอบปัญหา

มิตรภาพที่เกิดจากการดื่มสุราเป็นน้ำสาบานนั้น จะมีความยั่งยืนอย่างไร, ทำยังไงจึงจะแก้การสร้างค่านิยมที่ผิดๆที่ว่า " ตำรวจทหารต้องมีความเข้มแข็ง ด้วยการดื่มสุรา" ได้, ทหารตำรวจ ถ้ามีโอกาสได้บรรพชาอุปสมบท ควรที่จะศึกษาธรรมะข้อใด https://dmc.tv/a2104

บทความธรรมะ Dhamma Articles > หลวงพ่อตอบปัญหา
[ 27 ก.ค. 2550 ] - [ ผู้อ่าน : 18271 ]
 

 
โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
 
 
คำถาม:หลวงพ่อครับ คนเรามักชอบดื่มสุรา ทั้งที่รู้ว่าสุราเป็นของไม่ดี โดยมักจะอ้างว่าสุราเป็นน้ำกระชับมิตร เป็นน้ำประสานใจ บางคนคบหากันแล้วนำสุรามาดื่ม เปรียบเสมือนน้ำสุรานั้นเป็นน้ำสาบาน มิตรภาพที่เกิดจากการดื่มสุราเป็นน้ำสาบานนั้น จะมีความยั่งยืนอย่างไรครับ
 
คำตอบ:คุณโยม...ในเรื่องของการดื่มสุรานั้นเรื่องหนึ่ง เรื่องของการสร้างมิตรภาพกันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง สองเรื่องนี่ มันไม่ไปด้วยกันหรอก ก็ไม่รู้ปัญญามันหายไปไหน คนยุคนี้จึงเอาสองเรื่องนี้เข้ามาปนกัน
 
เรื่องของสุรามันเป็นเรื่องมีแต่เสียกับเสีย ตั้งแต่ เสียทรัพย์ก็รู้กัน เสียสติก็รู้กัน เสียมารยาท หรือ ตัดรอนปัญญาของตัวเองก็รู้กัน
 
แต่ว่ามันเกิดความเข้าใจผิดอย่างต่อเนื่องกันมานาน คือ กลายเป็นค่านิยมผิดๆในสังคมขึ้นมา แล้วก็เห็นว่า เหล้า สุรา กลายเป็นของดี ความจริง เหล้ามันทอนปัญญา มันปิดปัญญา แต่ว่ามันเปิดนรกให้เยอะเลยนะ
 
เพราะฉะนั้น คนที่ไปดื่มสุรา ดื่มเหล้าเข้าเมื่อไหร่ เขากำลังแสวงหานรกอยู่ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปแสวงหาเพื่อน น้ำมิตร หรือเพื่อนแท้กับเขาได้ ถ้าได้ก็คงจะได้เพื่อนขาดสติด้วยกัน เพื่อนไร้ปัญญาด้วยกัน เพื่อนประเภทนี้คบไว้ก็มีแต่จะชวนกันลงนรกเท่านั้น
 
ส่วนในกรณีที่จะผูกน้ำมิตรกันให้ได้ เป็นมิตรภาพกันให้ได้ดี มันเป็นเรื่องของความมีสติสัมปชัญญะ...มันเป็นอย่างไร...มิตรภาพจะยั่งยืน อยู่ที่ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ขาดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันเมื่อไหร่ ไม่ว่าลูกรัก เมียรัก เพื่อนรัก อยู่ด้วยกันไม่ได้
 
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากจะมีมิตรภาพมีเพื่อนเยอะๆ เพื่อนรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่ รุ่นน้องอะไรก็ตามที มาสร้างความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่กันและกัน...นั่นแหละ...คุณจะได้เพื่อนแท้
 
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของมนุษย์นั้น จะเกิดมาได้อย่างไร...ก็ต้องบอกว่า เกิดมาได้ตรงที่ช่วยอุดความขาดแคลนของคนที่เราคบหาอยู่ อุดความขาดแคลนเหล่านั้นของเขาเสียให้หมด  แล้วเราจะรักกัน เราจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ตายก็ไม่พรากจากกัน
 
ความขาดแคลนของมนุษย์นี่มันมีอยู่ 4เรื่องด้วยกัน
1.ขาดแคลนในเรื่องทรัพย์
2.ขาดแคลนในเรื่องของกำลังใจ
3.ขาดแคลนในเรื่องของภูมิปัญญา ความรู้ความสามารถ
4.ยิ่งทำงานใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งขาดแคลน ความปลอดภัย
 
เมื่อไหร่เราช่วยอุดช่องว่างรอยโหว่หรือความขาดแคลนทั้ง 4อย่างนี้ ให้กับผู้ที่เราคบค้าสมาคมได้เต็มที่ เมื่อนั้นเราจะได้เพื่อนแท้
 
แต่บอกก่อนว่า เหนื่อยใจขาดเลย กว่าเราจะทำทั้ง 4อย่างนี้ได้ คือธรรมชาติของคนเรานั้น สมบัติมันมักจะขาดมืออยู่เรื่อยไป เพราะทำทานข้ามภพข้ามชาติมาน้อย เพราะฉะนั้น สมบัติจึงมักจะขาดมือ แต่ว่าความจริงใจของเรา...สมบัติขาดมือก็พอหยิบพอยืมกันได้...อย่างนี้ก็อุ่นใจกันมาได้ระดับหนึ่ง
 
อีกประการหนึ่ง เวลาเราทำงาน เราจะพบว่า หลายๆครั้ง กำลังใจมันไม่พอ เมื่อเจออุปสรรค สิ่งที่รอนน้ำใจคนอย่างมาก คืออะไร...คำพูด ดูถูกกัน คำพูดเหยียบย่ำกัน ตรงกันข้ามสิ่งที่ให้กำลังใจคนได้มาก คืออะไร...คำพูดอีกเหมือนกัน พุทธองค์ได้ตรัสไว้...ปิยวาจานะลูกนะ ถ้ารักจะกระชับมิตรไว้ให้ดี คำพูดที่ประสานน้ำใจ คำพูดที่ให้กำลังใจกันเป็นปิยวาจา นั่นแหละ สิ่งที่จะกระชับมิตรตัวจริง
 
ยิ่งกว่านั้น เวลาทำงานมากเท่าไหร่ ที่เกิดอีก คือ ปัญญากับงานมันตามกันไม่ค่อยทัน เราทำงานมากเท่าไหร่ ความรู้ ความสามารถมันก็ชักจะหย่อนลงไปเท่านั้น...แล้วจะทำอย่างไร...ใครมาช่วยเติมตรงนี้ให้เราได้...ขอเทคโนโลยีของคุณบ้าง...ขอปัญญาของคุณบ้าง เดี๋ยวเราก็เอาไปแก้ปัญหาได้ ใครทำอะไรให้ตรงนี้แก่เราได้...รักกันจนวันตาย
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่า อรรถจริยา ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่กัน คือให้ปัญญากันให้ได้
 
ประการสุดท้าย หนักหนาสาหัสที่สุดก็คือ ยิ่งทำงานระดับชาติ ระดับโลก ใหญ่ขึ้นไปเท่าไหร่ความปลอดภัยยิ่งไม่ค่อยจะได้เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ลูกเอ๊ย...ความปลอดภัยจากสภาพสังคมบ้าง ความปลอดภัยจากศัตรูที่แอบอยู่ข้างหลังบ้าง ใครสามารถให้ความปลอดภัยกับเราตรงนี้ได้ คนนั้นน่ารักที่สุด
 
ทั้ง 4ประการนี้
1.มีอะไรก็ปันกันกิน ปันกันใช้
2.พูดอะไรอย่ารานน้ำใจกัน มีแต่จะให้กำลังใจ ให้คำแนะนำกัน
3.ไม่หวงความรู้ ไม่หวงปัญญากัน
4.เสมอต้นเสมอปลาย
 
4ประการนี้ ท่านเรียกว่า ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ภาษาพระใช้คำว่า สังคหะ หรือ การสงเคราะห์กัน 4ประการ นี้มีอยู่ในตัวใคร คนนั้นจะได้เพื่อนแท้ และถ้าเรามีมากเท่าไหร่ ใน 4ประการนี้ เพื่อนแท้จะไหลมาหาเราเป็นสายทีเดียว จำไว้ก็แล้วกัน
 
คำถาม:หลวงพ่อครับ...ตำรวจทหารต้องมีความเข้มแข็ง จึงมักมีการสร้างค่านิยมด้วยการดื่มสุรา ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ทำอย่างไรจึงจะแก้การสร้างค่านิยมที่ผิดๆตรงนี้ได้ครับ
 
คำตอบ:เจริญพร ความจริงค่านิยมผิดๆเหล่านี้ มันกระจายไป ทั่วบ้าน ทั่วเมืองแล้ว แก้ไขค่อนข้างจะยากสักหน่อย แต่ว่า มันไม่เกินความสามารถของพวกเราหรอก ถ้าจะเอาจริงๆ
 
ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนว่า ความเข้มแข็ง หรือ ความกล้าหาญ ความบ้า ความเมา มันมีลักษณะคล้ายๆกัน แต่มันไม่เหมือนกัน ความเข้าใจที่ผิดพลาดใน “คำ” ดังกล่าวนี้...ความเข้มแข็ง หรือ ความกล้าหาญ ตรงนี้เป็นเรื่องของสติ เป็นเรื่องของปัญญา แล้วก็เป็นเรื่องของความแกร่งทางร่างกาย
 
อีกคำ คือ ความบ้า...เป็นอย่างไร...คนบ้านี่แข็งนะ...ตัวต่อตัว ใครอย่าได้ไปจับคนบ้าเข้าไปเชียว 5ต่อ1 หรือ 10ต่อ1 จับกันไม่ค่อยอยู่เลย พวกนี้ด้วยฤทธิ์บ้าของเขา ร่างกายดูเหมือนว่ากล้าแข็ง แข็งแรงสุดๆ แต่ว่าไม่มีสติเหลือเลย
 
พวกนี้ ถ้าใครมองไม่ออก คิดว่า คนพวกนี้คือคนเข้มแข็ง แต่ความจริงเขาคือคนที่ขาดสติจนกระทั่งเป็นบ้า
 
อีกพวกหนึ่ง คนเมา ถ้ามันเมาจนกระทั่งมันหมดสติ นอนล้มผลึ่งไปก็แล้วไป ที่มันร้ายก็คือเมา แต่ว่ายังมีแรงดี พวกนี้ก็เช่นกัน ความขาดสติของเขาตรงนั้น แต่เรี่ยวแรงยังมีอยู่ แล้วก็เลยอาละวาดเสียจนกระทั่งใครๆย่ำแย่ไปหมด
 
เรามองอาการบ้า อาการเมา คิดว่า มันคือความเข้มแข็ง คิดว่า มันคือความกล้าหาญ มันเป็นความเข้มแข็ง ความกล้าหาญที่ขาดสติ คือ เราเอาสิ่งที่ใช้ไม่ได้ มายึดถือว่าเป็นสิ่งที่ถูก จึงเกิดความสับสนกันทั้งบ้านทั้งเมือง ตรงนี้เสียหายต่อประเทศชาติ ในการทำงานของทหารตำรวจมาก...แก้เสียเถอะ
 
ถามว่า แล้วแก้อย่างไร...มันก็ไม่ยากจนเกินไป ในเมื่อเรารู้ เราแยกได้แล้วว่า ความกล้าหาญ ความบ้า ความเมา มันไม่เหมือนกัน
 
แยกประเด็นให้ชัดๆว่า ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ มันอยู่บนพื้นฐานของความมีวินัย ความเคารพต่อผู้บังคับบัญชา หรือความเคารพต่อหลักการของทหาร ของตำรวจ แล้วก็ความทรหดอดทนที่เราฝึกมาตลอดชีวิต
 
เมื่อต้องแบกภารกิจในหน้าที่ที่หนักๆนั้น ทั้งวินัย ทั้งความเคารพ ทั้งความอดทน นี้คือพื้นฐานของความกล้าหาญ ความเข็มแข็ง
 
ถ้าเรามองตรงประเด็นนี้ชัดเจนลงไปแล้ว เราให้ความเข้าใจถูกในเรื่องนี้กับคนของเราให้เต็มที่ ทั้งทหารทั้งตำรวจ ย้อนกลับมาเข้มงวดกวดขันวินัยของตัวเอง เข้มงวดกวดขันในเรื่องของความเคารพต่อหน้าที่ ความเคารพต่อผู้บังคับบัญชา
 
และแน่นอน ฝึกความอดทนของเราให้ยิ่งๆขึ้นไป หลวงพ่ออยากจะพูดนิดหนึ่ง พอพูดถึงความอดทน เรามักจะมองหรือให้ค่าของความอดทนต่อความลำบากตรากตรำในงานมากเกินเหตุ หรือความอดทนต่อความไม่เอื้ออำนวยของดินฟ้าอากาศ เราให้คุณค่าตรงนี้มากเกินเหตุ
 
ความจริง ความอดทนที่เราต้องการมากๆ...คืออะไร...คือ ความอดทนต่อความยั่วเย้าเย้ายวน หรือความอดทนต่ออำนาจของกิเลสนั่นเอง ความอดทนต่อความยั่วเย้า เย้ายวนของอบายมุข
 
ถ้าเราฝึกคนของเรา ให้มีความอดทนต่อความยั่วเย้าเย้ายวนได้มากเท่าไหร่ ความเข้มแข็งของจิตใจของคนของเรา ทั้งทหาร ทั้งตำรวจ ก็จะทับทวีเพิ่มพูนขึ้นมา อย่างไม่น่าเชื่อ
 
และจากตรงนี้ เมื่อเขามีความอดทนต่อความยั่วเย้า เย้ายวนได้อย่างดี ในการที่เขาจะไปอดทนต่อเรื่องเหล้า เรื่องบุหรี่ เรื่องอบายมุขอย่างอื่นมันง่าย ถ้าเรามองภาพตรงนี้ออก
 
ในการอดทนต่อความยั่วเย้า เย้ายวนเหล่านี้...พูดแล้วมันไม่น่าเชื่อ เริ่มจากง่ายๆ...ลองดูเถอะ...ตำรวจก็ดี ทหารก็ดี ลองดูก่อน ลองสวดมนต์ไหว้พระสักจบหนึ่ง สวดมนต์ไป นั่งสมาธิ(Meditation)สำรวจตัวเองไป 3นาที 5นาที หมั่นทำของเราอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วความยั่วเย้า เย้ายวนต่างๆ มันจะค่อยๆละลายไป
 
จากนั้นช่วยกัน สร้างค่านิยมให้ถูกต้องว่า...
1.
เหล้าไม่ใช่ของดี เป็นสิ่งที่ทำลายศักดิ์ศรีของตำรวจ ของทหาร
2.ผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานนั้นๆ ต้องทำตัวเองให้เป็นตัวอย่าง อย่าไปแตะต้องเรื่องเหล้า  เรื่องอบายมุข
 
เมื่อผู้บังคับบัญชาเป็นต้นแบบแล้ว การที่คนอื่นจะทำตามมันจะไม่ยาก เพราะผู้บังคับบัญชานั้น เข้มแข็งให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว โอกาสที่ลูกน้องจะหักดิบตามมานั้นง่าย
 
ถ้าอย่างนี้ เดี๋ยวที่ทำงานนั้นๆ มันก็เลิกเหล้าได้หมด แล้วความเข้มแข็งทั้งด้านร่างกาย และจิตใจมันจะเข้ามาแทนที่ เมื่อไม่มีเหล้าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะเหล้ามันไม่ได้เพิ่มความเข้มแข็ง มันเพิ่มความบ้ากับความเมาต่างหาก
 
คำถาม:หลวงพ่อครับ...ทหารตำรวจ ถ้ามีโอกาสได้บรรพชาอุปสมบท ควรที่จะศึกษาธรรมะข้อใดครับ
 
คำตอบ:ไม่ว่า จะเป็นทหาร หรือว่า เป็นใครมาบวชก็ตาม วัตถุประสงค์นั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะ บวชช่วงสั้น บวชช่วงยาว วัตถุประสงค์จริงๆที่เป็นหลักจะต้องเหมือนกันคือ ทำพระนิพพานให้แจ้ง
 
ถ้าพูดอย่างนี้...อาจจะมีคนกลัวกิเลสหมดกันบ้าง...อย่าไปกลัว...ทุกคนตั้งแต่เกิดมา มีสิ่งหนึ่งทำความเดือดร้อนให้เรามากเลยตั้งแต่เกิด คือ มีกิเลส หรือเชื้อร้ายๆ ห่อหุ้มใจของเรามา เชื้อร้ายๆตรงนี้ที่ห่อหุ้มใจของเรามานี้ ไม่ใช่เชื้อโรคที่จะเอากล้องส่องได้ แต่ว่า มันเป็นความขุ่นความมัวหมองที่เกิดขึ้นในใจของเรา พร้อมๆกับการเกิดมาด้วยกายมนุษย์
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกเชื้อร้ายๆ ในใจของคนว่า กิเลส ปราบกิเลสในใจนี้หมดได้เมื่อไหร่ ก็ไปนิพพานกันเมื่อนั้น หรือปราบทุกข์ได้หมดเมื่อนั้น
 
เพราะฉะนั้น เวลาบวช จึงมีคำปฏิญาณของพระ...บวชเพื่ออะไร...บวชเพื่อกำจัดทุกข์อันเกิดจากกิเลสให้มันหมดไป แล้วก็ความสุขอย่างยิ่ง คือ พระนิพพานก็จะแจ้งขึ้นมาในใจของเรา
 
ทีนี้ เมื่อรู้อย่างนี้ว่า บวชเพื่อกำจัดกิเลส แต่ว่าเราเป็นทหาร เราบวชกันในระยะสั้นก็ไม่เป็นไรหรอก เป้าในการบวชเหมือนเดิม แต่พระอาจารย์ที่ลงมาควบคุม ถ้าท่านฉลาดในการอบรม ท่านจะใช้ความรู้พื้นเดิมของทหาร เอามาขยายความในทางธรรม เพราะว่าทหารก็เป็นกำลังกองทัพทางโลก ส่วนพระเป็นกำลังของกองทัพธรรม
 
ทั้งกองทัพโลก และ กองทัพธรรม มีหลักการที่เหมือนกัน คือ
1.ต้องมีวินัย แต่วินัยของทหาร มีเอาไว้สำหรับสร้างความเข้มแข็งให้ทหาร เพื่อจะเอาไปใช้ปราบศัตรูที่รุกรานประเทศชาติบ้านเมือง วินัยของตำรวจก็มีเอาไว้ปราบปรามโจรผู้ร้าย
 
คล้ายกัน...วินัยของพระเมื่อบวชมาแล้ว ใช้วินัยเหมือนกัน แล้วใช้อย่างหนักเลย แต่วินัยเพื่อมาปราบกิเลสในใจ
 
เมื่อบวชแล้วศึกษาพระวินัยให้ดี วินัยของพระนั้น ถ้าศึกษากันอย่างลึกซึ้งแล้ว ยิ่งปฏิบัติตาม ยิ่งชุ่มหัวอกหัวใจไม่เคร่งเครียด
 
ในขณะที่วินัยทางโลก เช่นวินัยในการรบของทหาร วินัยในการปราบโจรของตำรวจ วินัยเหล่านี้ ยิ่งปฏิบัติตามวินัยมากเท่าไหร่ ค่อนข้างจะเคร่งเครียดสักหน่อย
 
แต่ว่าเมื่อได้หลักวินัยของสงฆ์ของพระ เข้าไปอยู่ในใจแล้ว มันเข้าใจถึงแก่นของที่มาที่แท้จริงของวินัยทางโลกแล้ว เราจะสามารถประคองตัวประคองใจของเราให้ปฏิบัติหน้าที่ของเราได้เต็มที่แล้วก็ไม่เครียด เพราะอาศัยวินัยสงฆ์ที่ได้ มาประคับประคอง
 
เพราะฉะนั้น เรื่องแรกที่พระเพิ่งบวชมาจากทหารแล้วบวชจากช่วงสั้นๆอย่างนี้ ควรจะได้รับการปูพื้นอย่างมาก คือ วินัยทางสงฆ์ ซึ่งเอาไปเปรียบกับวินัยทหารว่า วินัยทหารปราบศัตรูภายนอก วินัยของพระปราบศัตรูภายใน คือ กิเลส จับสองเรื่องนี้มาเชื่อมให้ดี
 
2.ทั้งพระทั้งทหาร ตำรวจ เหมือนกันอีก คือ ต้องมีความเคารพ ขาดความเคารพเสียแล้ว กองทัพทั้งทางโลกทางธรรมตั้งไม่ได้
 
แต่ว่า ของทหาร ของตำรวจ ความเคารพนั้นมุ่งไปที่ไหน มุ่งไปที่เคารพต่อคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เคารพต่อหน้าที่ในการปราบโจรผู้ร้าย ในการปราบข้าศึกศัตรู แต่ว่าของพระของสงฆ์ เน้นที่สำคัญ...เคารพอะไร...เคารพในพระรัตนตรัยเป็นชีวิตจิตใจอีกเหมือนกัน
 
และก็อยากจะฝากสักนิดหนึ่ง ความเคารพในพระรัตนตรัย ในพระพุทธ ในพระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นเรื่องของการค้นหาคุณความดีที่มีอยู่ในพระพุทธ ที่มีอยู่ในพระธรรม ที่มีอยู่ในพระสงฆ์ ค้นพบแล้วก็ปฏิบัติตามคุณงามความดีนั้นๆ เพื่อวันหนึ่ง เราจะได้ดีตามไปด้วย นี่ก็เป็นเรื่องของความเคารพของพระภิกษุที่มีต่อพระรัตนตรัย
 
จากหลักการของพระภิกษุตรงนี้ ถ้าหากพระอาจารย์ที่ควบคุมดูแลในการบวช นำมาเชื่อมกับความเคารพที่ทหาร ที่ตำรวจ มีต่อผู้บังคับบัญชา เชื่อมให้ดี แล้วเดี๋ยวจะเห็นว่า มันเป็นเรื่องเดียวกัน
 
3.เรื่องของทหาร เรื่องของตำรวจ มีอยู่บนพื้นฐานของ ความอดทน เรื่องของพระ เรื่องของนักบวช พื้นฐานก็อันเดียวกันอีกคือ ความอดทนอีกเช่นกัน แต่อย่างกล่าวมาแล้ว ความอดทนของทหารของตำรวจนั้น มักจะกลายเป็นว่า อดทนต่อภารกิจที่จะต้องไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ส่วนความอดทนของพระ เน้นหนักอยู่ที่ ความอดทนต่อ กิเลส ต่อความเย้ายวนต่างๆ
 
ความรู้เรื่องความอดทนของพระ เมื่อเอาไปเชื่อมกับความรู้เรื่อง ความอดทนที่ตำรวจที่ทหารมี เชื่อมให้ได้ แล้วจะเห็นว่า เส้นทางในการทำความดี เส้นทางในการปราบโจรผู้ร้าย หรือปราบศัตรูที่มารุกรานประเทศนั้น เป็นเส้นทางเดียวกันแต่ว่าคนละระดับ
 
และแน่นอน ใครจะได้ประโยชน์ตรงนี้มากที่สุด...ก็บอกว่า คนบวชนั่นแหละ ทหารหรือตำรวจที่มาบวชเอง ก็จะได้คุณค่าในการบวชนี้มาก คือ นอกจากได้บุญแล้ว จะได้นิสัยดีติดตัวข้ามภพข้ามชาติไป จะกี่ชาติก็แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริง และที่แน่ๆ...กองทัพก็จะได้ทหารดีๆเอาไว้ใช้  ตำรวจก็จะได้ตำรวจดีเอาไว้ใช้ ประชาก็อุ่นใจกันถ้วนหน้านะ

http://goo.gl/Q9EMm


พิมพ์บทความนี้



บทความอื่นๆ ในหมวด

      ทำอย่างไรจึงจะไม่ท้อไม่เหนื่อยในการทำงาน
      สาเหตุที่ทำให้โลกวุ่นวายมากขึ้น
      "สังคมเปลี่ยนไป" แนวทางการใช้ชีวิตเปลี่ยนตามพระพุทธศาสนามีคำแนะนำอย่างไร ?
      หลักการขยายกิจการให้เจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม
      คำสอนของวัดพระธรรมกายถูกต้องตามแนวทางคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาหรือไม่
      อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สังคมแตกแยก
      การสวดมนต์ให้พรของพระสงฆ์มีส่วนช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างไร
      ทำไม ? จีวรต้องเป็นสีเหลือง
      เราจะพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างไร ?
      เราจะปลูกฝังให้ลูกหลานทำหน้าที่ชาวพุทธให้สมบูรณ์ได้อย่างไร ?
      เราควรจะเลือกทำงานด้วยทัศนคติอย่างไรที่จะส่งผลให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
      การเกิดขึ้นของนิสัยดี นิสัยชั่วมีที่มาอย่างไร
      การดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจให้เหมาะสมแก่การฝึกสมาธิและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงธรรม




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related