
มโหสถก็รีบโต้กลับอย่างอาจหาญว่า “ท่านเสนกะหรือจะรู้อะไร เขามองเห็นเพียงแต่ทรัพย์ คนพาลมีทรัพย์ ย่อมอาศัยทรัพย์นั้นทำความชั่ว ไม่รู้ว่านายนิรยบาลกำลังเตรียมกระชากตัวไปสู่นรกอันร้ายกาจ ข้าพระองค์ขอยืนยันว่า คนมีปัญญาเท่านั้นประเสริฐ คนพาลมีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลย”
พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำของมโหสถแล้ว ก็ทรงอัศจรรย์ใจ ตรัสชื่นชมมโหสถว่า “เธอช่างพูดได้เข้าทีจริงเชียว” ขณะเดียวกันก็ทรงหันมาถามอาจารย์เสนกะว่า “ ท่านอาจารย์ล่ะจะว่าอย่างไร”
อาจารย์เสนกะก็ไม่ยอมจำนนโดยง่าย รีบยกอุปมาว่า “แม่น้ำทุกสาย ไม่ว่าสายไหน เมื่อไหลไปถึงมหาสมุทร ชื่อเดิมก็หายไป ได้ชื่อใหม่ว่า มหาสมุทร ผู้มีปัญญาเลิศก็เช่นเดียวกัน ครั้นมาถึงถิ่นของผู้มีทรัพย์ ชื่อของเขาย่อมไม่ปรากฏ คงปรากฏแต่เพียงชื่อของบุคคลผู้มีทรัพย์เท่านั้น”

เมื่อถูกเกทับด้วยข้ออุปมาที่เหนือชั้นกว่า ท่านเสนกะจึงต้องรีบกลับลำในทันที แล้วจึงตั้งประเด็นขึ้นใหม่ว่า “ช้าก่อนมโหสถ ข้ออุปมานั่นอาจไกลตัวเกินไป ลองมาฟังเรื่องจริงบ้างจะเป็นไรไป”


มโหสถยิ้มหน่อยหนึ่ง แล้วจึงโต้กลับพร้อมเหน็บท่านเสนกลึกๆว่า “คนพาลผู้โง่เขลามองเห็นแต่สุขจอมปลอมโลกนี้เท่านั้น แต่โลกหน้าเขากลับมองไม่เห็นเสียเลย ท่านอาจารย์อย่าได้เอาวิสัยของคนพาลมากล่าวเลย ก็คนไร้ปัญญาที่พูดเอาแต่ได้ มุ่งให้คุณแก่ตนเองแต่ให้ร้ายผู้อื่น โป้ปดมดเท็จอย่างไรไม่สนใจ พูดโกหกพกลม เพ้อเจ้อไปตามเรื่องตามราว ต่อให้เขามีทรัพย์สักปานใด ก็ย่อมถูกตำหนิได้แม้ในท่ามกลางที่ประชุมชน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว คนเหล่านี้ถึงมีทรัพย์มากแต่ก็เป็นคนหนักแผ่นดิน แล้วจะประเสริฐอะไร มิหนำซ้ำภายหลังเขายังจะต้องไปสู่ทุคติอีก”

มโหสถค้านในทันทีว่า “อาจารย์เสนกะ วาจาของท่านวิปริตไปเสียแล้ว ท่านผู้มีปัญญากว้างขวางดุจแผ่นดิน ย่อมไม่กล่าวคำเหลาะแหละเหลวไหล เขาย่อมได้รับการยกย่องสรรเสริญในท่ามกลางที่ประชุมชน ทั้งภายหลัง เขาย่อมได้ไปสู่สุคติอย่างแน่นอน ตรงข้ามกับคนพาลที่พูดเอาแต่ได้ เขาย่อมถูกตำหนิติฉิน และภายหลังย่อมไปสู่ทุคติโดยมิต้องสงสัย”

มโหสถบัณฑิตก็แย้งกลับด้วยเหตุผลที่หนักแน่นกว่า และยังเหน็บเข้าเต็มแรงว่า “ท่านเสนกะ ที่ท่านกล่าวมาก็จริงอยู่ แต่ท่านก็รู้อยู่ว่า ตระกูลผู้มั่งคั่ง ถึงแม้จะมีทรัพย์มาก แต่เพราะความที่เขาเป็นคนพาลสันดานหยาบ จึงไม่รู้จักจัดแจงการงาน ความภาคภูมิโอ่อ่าด้วยทรัพย์อันเป็นสิริจึงไม่อาจ

การโต้วาทะของบัณฑิตทั้ง ๒ เริ่มเข้มข้นขึ้นไปทุกขณะ อาจารย์เสนกะนั้นมุ่งแต่ประโยชน์ในปัจจุบัน มองสั้นๆ แค่เพียงในชาตินี้ว่า ให้ได้ใช้ทรัพย์แสวงหาความสุขไปวันๆ ก็เพียงพอแล้ว
ส่วนมโหสถบัณฑิต ไม่ได้มองเพียงแค่ในชาตินี้เท่านั้น แต่ได้มองไกลออกไปถึงในภพชาติเบื้องหน้า เพราะเห็นชัดถึงคุณและโทษของทรัพย์ว่า ถ้าหากขาดปัญญาในการใช้สอยแล้ว ก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ทรัพย์ไปในทางที่เป็นบาป เช่นนำไปเสียให้กับอบายมุข นำไปดื่มสุรา เล่นการพนัน และเที่ยวกลางคืนเป็นต้น ทรัพย์นั้นแทนที่จะเรียกได้ว่าเป็นทรัพย์สมบัติ แต่จะกลายเป็นทรัพย์วิบัติไป เพราะนำความวิบัติมาให้ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ส่วนว่าอาจารย์เสนกะนั้น แม้จะรู้ว่า ตนนั้นเริ่มเพลี่ยงพล้ำเข้าไปทุกที แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ แต่ว่าท่านเสนกะจะกล่าวแก้อย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)