ทศชาติชาดก
เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 8
จากตอนที่แล้วอำมาตย์ทั้งหลายได้กราบทูลแนะนำให้พระเจ้ากาสิกราชทรงทดลองด้วยผลไม้ซึ่งพระองค์ก็ทรงให้กระทำตามนั้นโดยให้นำเอาผลไม้ใส่ถาดแล้วนำเข้าไปวางไว้โดยวิธีเดิม แต่พระราชกุมารก็ยังคงตั้งมั่นอยู่ในปณิธาน ไม่แสดงอาการให้ผิดแปลกไปจากเดิม แม้จะทดลองด้วยวิธีนี้อยู่หนึ่งปี แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย
พวกอำมาตย์จึงได้กราบทูลแนะนำอีกว่า ธรรมดาเด็กอายุสามขวบ มักโปรดปรานของเล่น ขอพระองค์ทรงโปรดให้ทดลองด้วยของเล่นเถิด แต่เมื่อให้ทำของเล่น เช่นตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า รถ และเรือเล็กๆ ไปให้พระราชกุมาร กุมารทั้ง 500 คนต่างพายื้อแย่งกัน ส่วนพระราชกุมารกลับไม่ทรงทอดพระเนตรดูเลยแม้แต่น้อย
ในปีถัดมา เมื่อพระราชกุมารมีพระชนมายุได้สี่ขวบ พระราชาจึงรับสั่งให้ปรุงอาหารรสเลิศนานาชนิดๆ แล้วนำไปวางไว้ใกล้พระราชกุมาร เหล่ากุมารทั้ง 500 คน ต่างพากันหยิบอาหารบริโภคเอง แต่พระราชกุมารก็มิได้สนพระทัย พระนางเจ้าจันทาเทวี เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นพระราชกุมารยังทรงนิ่งเฉยเนิ่นนานเข้าจึงทรงให้พระราชกุมารเสวยโภชนาหารด้วยพระหัตถ์ของพระนางเอง
ต่อมา เมื่อพระเตมิยกุมารมีพระชนมายุได้ 5 ชันษา พระราชาก็ทรงโปรดให้ทดลองพระราชกุมารด้วยไฟโดยทรงรับสั่งให้จุดไฟที่เรือนที่มุงและปิดบังด้วยใบตาล ซึ่งเป็นที่ประทับชั่วคราวของพระราชกุมาร ในขณะที่กุมารเหล่าอื่นพากันวิ่งหนีออกมาด้วยความหวาดกลัว แต่พระราชกุมารหาได้กลัวความตายไม่ ยังคงบรรทมนิ่งอยู่เช่นเดิม พวกอำมาตย์จึงต้องรีบเข้าไปอุ้มเอาพระองค์ออกมาจากเปลวไฟ
ครั้นพระราชกุมารพระชนมายุได้ 6 ชันษา พระราชบิดาก็ทรงโปรดให้ทดลองด้วยช้าง โดยรับสั่งให้ปล่อยพญาช้างให้แล่นเข้าหาพระราชกุมาร ในขณะที่กุมารที่เหลือพากันร้องระงมวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว แต่พระราชกุมารกลับบรรทมเฉย ปล่อยให้พญาช้างเอางวงจับพระองค์ยกชูขึ้นวิ่งไปโดยรอบสถานที่นั้น แต่เพราะช้างนั้นเป็นช้างที่ควาญช้างฝึกดีแล้ว จึงมิได้ทำร้ายพระราชกุมารให้ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
เมื่อการทดลองที่น่าหวาดเสียวครั้งนั้นจบลงแล้ว พระราชาก็ได้ตรัสถามพวกราชบุรุษว่า “ขณะที่รับลูกของเรามาจากพญาช้าง พวกท่านเห็นลูกเราขยับมือและเท้าบ้างหรือไม่” พวกราชบุรุษกราบทูลว่า “ไม่ทรงขยับเลย พระเจ้าข้า” พระราชาจึงหันพระพักตร์มาทางพวกอำมาตย์ แล้วรับสั่งว่า “ท่านอำมาตย์ แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป” เมื่อเหล่าอำมาตย์ได้ฟังพระกระแสแล้ว ครั้นจะกราบทูลให้ทรงยุติการทดลองเสียกลางคัน ก็เห็นจะเป็นการไม่สมควร จึงได้กราบบังคมทูลพระราชาให้ทรงทดลองด้วยวิธีอื่นต่อไป
แม้จะทดลองอยู่อย่างนี้เป็นระยะๆ นานนับปี ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวของพระราชกุมารแต่อย่างใด ทั้งพระราชาก็ทรงรับสั่งถามพวกราชบุรุษอยู่เนืองๆ ว่า “ขณะที่นำลูกของเราไปก็ดี ขณะที่นำมาก็ดี พวกท่านเห็นลูกของเราไหวมือและเท้าบ้างหรือไม่” ก็ทรงได้รับคำตอบเช่นเดิมว่า “ไม่เคยเห็นเลย พระเจ้าข้า” จึงทรงรับสั่งหารือต่อไปว่า “แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี”
ขณะนั้นคณะอำมาตย์จึงได้กราบทูลแนะนำว่า “ขอเดชะ ธรรมดาเด็กแปดขวบชอบดูการฟ้อนรำ พวกข้าพระองค์จะทดลองพระราชกุมารด้วยการฟ้อนรำ พระ
เจ้าข้า” เมื่อได้รับพระราชานุญาตแล้ว ก็นำพระราชกุมารมาให้ประทับนั่งที่พระลานหลวง กับกุมารทั้ง 500 คน แล้วให้แสดงการฟ้อนรำ กุมารทั้งหลายต่างก็สนุกสนาน พากันหัวเราะเฮฮา ส่วนพระราชกุมารทรงนึกว่า “ในเวลาที่เราอยู่ในนรก ความรื่นเริงไม่มีเลยแม้เพียงชั่วขณะเดียว” จึงนิ่งเฉยไม่ทรงทอดพระเนตรดูเลย เป็นธรรมดาของสัตบุรุษทั้งหลาย เมื่อได้รับชมรับฟังเรื่องราวอันน่าบันเทิงเริงรมย์น่าสนุกสนาน น่าเพลิดเพลินเจริญใจ แม้คนทั้งหลายจะสรวลเสเฮฮา ปล่อยอารมณ์ให้ไหลไปตามอำนาจของสิ่งกระตุ้นเร่งเร้าทั้งหลาย แต่ผู้ที่เป็นสัตบุรุษนั้น จะระงับใจไม่ให้ยินดีในสิ่งอันชวนให้ลุ่มหลง ซึ่งเป็นประดุจเหยื่อล่อเหล่านั้นจนเกินไป แต่จะยินดีในสิ่งเหล่านั้นแต่พองาม เพื่อเป็นการไม่เสียมารยาทของสังคม โดยจะนึกถึงโทษภัยและความทุกข์ที่ตนเคยประสบมาในอดีต และทุกข์ภัยที่จะต้องประสบในอนาคต เพื่อลดความยินดีนั้นให้ลงมาอยู่ในระดับที่พอดี
พระราชกุมารก็เช่นเดียวกัน ทรงนึกถึงความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสที่เคยประสบมาในนรก ด้วยทรงมีเป้าหมายที่จะต้องออกไปให้พ้นจากราชมณเฑียรแห่งนี้ อย่างผู้มีชัยให้ได้ จึงทรงอดทนอดกลั้นมั่นคงอยู่ในปณิธานเรื่อยมา จนกระทั่งในปีถัดมา พวกอำมาตย์ก็ได้กราบทูลพระราชาอีกว่า “ขอเดชะ ธรรมดาเด็กเก้าขวบย่อมกลัวศัสตรา พวกข้าพระองค์จะทดลองพระราชกุมารด้วยศัสตราดูพระเจ้าข้า”
เหล่าอำมาตย์จึงเปลี่ยนมาทดลองวิธีใหม่อีก โดยนำน้ำอ้อยปนข้าวยาคูผสมน้ำผลตาลสุกมาทาทั่วพระสรีระของพระราชกุมาร แล้วนำพระองค์ไปวางไว้ในแหล่งที่มีแมลงวันมาก พระราชกุมารแม้จะถูกฝูงแมลงวันไต่ตอมดูดดื่มกินน้ำหวานทั่วพระสรีระ ดุจถูกแทงด้วยเข็มนับไม่ถ้วน แต่ก็ทรงนิ่งเฉยเช่นเดิม
โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)