ปลื้มประจำวันจันทร์ที่
7 กันยายน 2552 ก็คือ การที่พระอุปัชฌาย์ พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติวงศ์
ท่านได้เมตตาเดินทางมาให้โอวาทแก่กองพลทุกรูป หลังจากที่เคยได้รับโอวาทไปเมื่อวันบรรพชาหมู่
วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม 2552 ในครั้งนี้ ท่านได้ให้กำลังใจแก่พระนวกะทุกรูปว่า
ชีวิตนักบวช อาจรู้สึกยากลำบากเพราะต้องฝืนกับความคุ้นเคยเดิมๆ แต่ความเปลี่ยนแปลงในความยากลำบากจะเป็นความทรงจำไปตลอดชีวิต
คนเราหาความสุขได้ไม่ยาก สุขทุกข์อยู่ที่ใจ ให้จดจำแต่สิ่งที่ดีๆ
ที่นึกแล้วมีความสุข เล่าให้ใครฟังแล้วมีความสุข
เราโชคดีได้มาสัมผัสกับพระพุทธศาสนาอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เป็นชาวพุทธแค่เพียงผิวเผิน
ระดับความเข้าใจพุทธศาสนาของชาวพุทธนั้นมี 3 ระดับคือ 1. รู้จัก เช่น
รู้ว่านี่คือวัด นี่คือพระสงฆ์ นี่คือพระพุทธรูป 2. เข้าใจ คือ รู้ถึงความหมายและวัตถุประสงค์
เช่น เข้าใจความหมายของพระพุทธรูปว่ามีไว้ทำไม
3. เข้าถึง คือ การเรียนรู้จนเข้าใจและนำไปประพฤติปฏิบัติให้เกิดผล และหากใครที่คิดจะลาสิกขากลับไปก็ให้ระวัง
3 อย่าง 1. ให้ระวังไฟไหม้ 2. ให้ระวังน้ำท่วม 3. ให้ระวังผีหลอก ถ้าระวัง 3
ข้อนี้ได้แล้วจะรวย ซึ่งในอุปมาแต่ละข้อนั้น ไฟไหม้ก็หมายถึงบุหรี่
น้ำท่วมก็หมายถึงสุรา ผีหลอกก็หมายถึงการพนัน หากไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข
ชีวิตก็จะดี ไม่ตกต่ำ ส่วนใครที่คิดว่าอยากจะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา
ตอนนี้สถานการณ์พระพุทธศาสนาไม่ค่อยดี วัดร้างมีเยอะ ถ้าไม่มีความจำเป็นอะไร
อยากให้อยู่ต่ออีกสักพรรษานึงเพื่อเป็นกำลังให้กับพระพุทธศาสนา
กระบวนการอบรมที่เข้มข้นในโครงการอุปสมบทหมู่หมื่นกว่ารูป
7000 ตำบลทั่วไทย ทำให้วงการพระพุทธศาสนาได้มีโอกาสคัดเพชรน้ำเอกเพื่อมาประดับในวงการ
ขณะนี้มีกองพลหลายๆ รูป ที่รู้สึกว่า วันเวลาแห่งการอบรม 3 สัปดาห์นั้น
สั้นเกินไปและแจ้งความประสงค์ขอต่ออายุการครองเพศสมณะ ทางโครงการฯจึงขอแจ้งถึงคุณสมบัติการรับพระธรรมทายาทหลังจากจบโครงการดังนี้
2. มีวินัยดี
สามารถปฏิบัติตามระเบียบวินัยของหมู่คณะได้
1.
มีความตั้งใจดี บวชเพื่อฝึกฝนอบรมตนเองเป็นพระแท้
3. สุขภาพแข็งแรง
ไม่มีโรคประจำตัว
4. อายุไม่เกิน
60 ปี (ถ้าเกินจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป)
5.
บุคลิกภาพเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา
ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติดังกล่าว
จะอบรมต่อที่ศูนย์ศึกษาเขาแก้วเสด็จ จ.ปราจีนบุรี
จนถึงออกพรรษาหลังจากนั้นจะได้ไปปฏิบัติธรรมต่อที่สนแก้ววนาราม จ.เชียงใหม่
6.
สามารถศึกษาธรรมะทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติได้
หนึ่งในกองพลที่ขอจองบวชต่อเพื่อเป็นพระพี่เลี้ยงให้แก่รุ่นพุทธบุตรแสนรูป
คือ พระมุขมนตรี วุฑฺฒิญาโณ (นามสกุลเดิม โตแปลก) อายุ 46 ปี
ก่อนมาบวชทำอาชีพธุรกิจส่วนตัว ท่านเป็นชาวคลองหนึ่งมาโดยกำเนิด
แต่ก็ไม่เคยคิดมาวัด เพราะข่าวจากสื่อได้สร้างกำแพงปิดกั้นใจของท่านไปเรียบร้อย
แต่ครั้งนี้ เมื่อมีคนบ้านใกล้เรือนเคียง มาขอความช่วยเหลือจากท่าน เห็นท่านเป็นคนกว้างขวาง
จึงอยากให้ช่วยเอากุศลใหญ่จากการชวนคนบวช ในโครงการ 7000 รูป 7000
ตำบลเพื่อเอาบุญให้ประเทศไทยร่มเย็น ท่านจึงตอบตกลง และก็ช่วยหาคนบวชมาได้ 2 คน
ด้วยบุญบันดาลท่านต้องเป็นคนพาคนที่ชวนบวชมาสมัครด้วยตนเอง ท่านจึงได้มี
โอกาสมาวัด ทันทีที่ได้มาเห็นวัด
ก็รู้สึกทันทีว่า นี่คือสถานที่มหัศจรรย์จริงๆ ผู้คนพากันมาสมัครบวชมากมาย นี่เราไปอยู่ที่ไหนมา
ย้อนกลับมาดูตัวเองว่า บวชคราวนี้เป็นโอกาส เราก็น่าจะลองกับเค้าบ้างนะ ก็เลยตัดสินใจบวชในวันนั้นเลย
เทพธิดาข้างกายก็เห็นด้วย บอกว่าพี่ก็ว่างๆ ก็บวชเอากุศลสิ กองพล 7000
ตำบลจึงได้ขึ้นทะเบียนท่านเป็นหนึ่งในบุคคลประวัติศาสตร์นับจากนั้น
พระมุขมนตรีกล่าวว่า
อาตมานับถือหลวงพ่อวัดปากน้ำมาตั้งแต่เด็ก
เพราะอาตมาได้พระผงรุ่น 1 วัดปากน้ำ เป็นมรดกที่คุณยายของอาตมาให้ไว้
เมื่ออาตมาได้สิ่งดีๆ จากการบวชมากมาย อาตมาก็ได้ไปอธิษฐานจิตตั้งปณิธานกับหลวงปู่ว่า
อาตมาจะหักดิบเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ตลอดชีวิต จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขเลย อาตมามีความประทับใจหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่มาก
ที่ท่านมีส่วนสำคัญทำให้พระพุทธศาสนาเติบโตและเข้มแข็ง
อยากเห็นทุกโครงงานของหลวงพ่อสำเร็จ อาตมาจึงขอสมัครเป็นลูกหลวงพ่อและขอมีส่วนช่วยหลวงพ่อในการสานงานพระศาสนา
1 แสนรูปให้สำเร็จ แม้อาตมาจะเปรียบเหมือนมดตัวเล็กๆ
แต่ก็ดีใจที่จะได้เป็นพลังเล็กๆ ที่สร้างความมหัศจรรย์ให้กับพระพุทธศาสนาโดยแท้
พระมุขมนตรี วุฑฺฒิญาโณ ปัจจุบันพระรุ่นกองพล อนาคตพระพี่เลี้ยงรุ่นแสนรูป
