มาบรรจบอีกครั้งกับงานการประชุมวิชาการศิริราชประจำปี 2550 ครั้งที่ 46 เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยปีนี้ใช้หัวข้อหลัก "การแพทย์ชั้นเลิศ ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-9 มีนาคม 2550 ที่หอประชุมกองทัพเรือ

โดยในวันที่ 5 มีนาคม ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานเปิดงาน โดยมี ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทย์เฝ้ารับเสด็จ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มีพระราชดำรัสว่า การจัดการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์ทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติ ได้เรียนรู้วิทยาการความก้าวหน้า ผลการค้นคว้าวิจัยและเทคโนโลยีใหม่ๆ อันทันสมัย บุคลากรทางการแพทย์จึงควรมีการพัฒนาองค์ความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ และสามารถนำความรู้ตลอดจนเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สุขภาพอนามัยของประชาชน ทั้งด้านการรักษา และการป้องกันโรค

สำหรับวัตถุประสงค์ของการประชุมดังกล่าว เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิทยาการความก้าวหน้า ผลงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและบูรณาวิชาการในสาขาต่างๆ นำไปใช้ในเวชปฏิบัติและพัฒนาองค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การรักษาภาวะหายใจผิดปกติในขณะนอนหลับ

โดย ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้ความรู้ว่า Sleep apnea เป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของการหายใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการนอนหลับ หรือที่เรียกว่าภาวะการนอนกรน

การนอนกรนแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.ภาวะนอนกรนธรรมดา สาเหตุมาจากกล่องเสียงหย่อนยาน จนกระทั่งไปอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่สะดวก และมีเสียงดังเวลานอนหลับ ภาวะดังกล่าวจะไม่มีอาการบ่งชี้ใดๆ แต่จะมีผลกระทบต่อคนข้างเคียง เกิดความรำคาญใจ ไม่อยากอยู่ใกล้
และ 2.ภาวะนอนกรนอันตราย เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณลำคอหย่อนตัวระหว่างช่วงการหลับจึงไปอุดทางเดินอากาศ กล้ามเนื้อที่มีการหย่อนตัวนี้ ได้แก่ กล้ามเนื้อของเพดานอ่อน โคนลิ้น และลิ้นไก่ ซึ่งเมื่อไปอุดกั้นทางเดินอากาศจะทำให้การหายใจต้องใช้แรงเอาชนะมาก เกิดเสียงดัง และนำไปสู่การหยุดหายใจในที่สุด ในบางรายภาวะนอนกรนยังทำให้เกิดโรคต่างๆ อาทิ โรคหลอดเลือดสมอง หัวใจขาดเลือด ฯลฯ

ผศ.นพ.ปารยะยังให้ความรู้ถึงสถานการณ์ผู้ประสบปัญหาการนอนกรนว่า ปัจจุบันพบบ่อยขึ้น ในต่างประเทศมีรายงานว่า ร้อยละ 5-10 ของประชากรทั่วไปมีปัญหาการนอนกรน พบมากในอายุตั้งแต่ 30-35 ปี โดยเพศชายสูงถึงร้อยละ 4 และเพศหญิงร้อยละ 2 สำหรับประเทศไทยแม้จะสามารถให้การวินิจฉัยผู้ป่วยได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีตัวเลขความชุกที่แน่นอน สำหรับอาการทั่วไป ในผู้ที่ประสบปัญหานอนกรนทั่วไป จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในผู้ที่ประสบปัญหานอนกรนอันตราย อาการทั่วไปจะง่วงมากผิดปกติในช่วงกลางวัน อ่อนเพลีย และสมรรถภาพทางเพศลดลง กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ คนที่มีน้ำหนักเกิน เนื่องจากไขมันจะสะสมมากบริเวณรอบคอทำให้หายใจลำบาก สำหรับการรักษาในปัจจุบันมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละราย อาทิ หากอาการไม่มาก แพทย์จะให้ทำการปรับปรุงพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ การลดน้ำหนักตัว รวมถึงการออกกำลังกายที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน รวมทั้งยาที่ทำให้มีอาการง่วง พยายามนอนตะแคงหรือท่าที่ทำให้อาการลดลง งดสูบบุหรี่ หากอาการไม่ดีขึ้น แพทย์จะให้ใช้เครื่องช่วยสร้างแรงดันบวกในทางเดินอากาศ และหากอาการยังไม่ดีก็ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

"ในอดีตมีความเชื่อว่าคนที่ป่วยด้วยโรคใหลตายอาจมีความสัมพันธ์กับภาวะนอนกรน" ผศ.นพ.ปารยะกล่าวทิ้งท้าย

สำหรับโรคใหลตาย เคยโด่งดังเมื่อหลายปีก่อน เพราะเคยปรากฏว่ามีคนงานไทยในสิงคโปร์ป่วยด้วยโรคใหลตายจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ความเชื่อดังกล่าวจะสัมพันธ์กับภาวะนอนกรนหรือไม่ ยังต้องรอพิสูจน์ทางการแพทย์ต่อไป

การประชุมครั้งนี้ นอกจากความรู้เกี่ยวกับปัญหาการนอนกรนแล้ว การประชุมดังกล่าวยังมีหัวข้อวิชาการอื่นๆ อาทิ การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ 10 ปัญหาน่ารู้ในโรคหัวใจ การฉายภาพเอ็กซเรย์หัวใจและหลอดเลือด วัคซีนมะเร็งปากมดลูก การทำให้ใบหน้าดูอ่อนวัย ตาบอดกลางคืนจากการขาดวิตามินเอ ความก้าวหน้าในการรักษากระดูก เป็นต้น

นับเป็นอีกงานที่ได้เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บไปเต็มๆ
 
 
 
 
 
ที่มา-
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง