การศึกษาสำคัญฉบับแรกมาจากยุโรป ซึ่งพบว่าผู้หญิงที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นมะเร็งตับอ่อน มะเร็งผิวหนัง มะเร็งมดลูก และมะเร็งท่อปัสสาวะ
ขณะที่การศึกษาในสหรัฐฯ อีกฉบับ พบสตรีสูงวัยที่กินอาหารไขมันสูง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 15% ที่จะเป็นมะเร็งเต้านม
ทั้งนี้ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกี่ยวพันกับอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งรวมถึงอาหารอุดมไขมันและอาหารสำเร็จรูป และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานประเภท 2
การวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า ความเสี่ยงของมะเร็งเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานประเภท 2 ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคนวัยกลางคน
แต่งานวิจัยล่าสุดชี้ว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงยังเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งสำหรับผู้หญิงด้วย
งานวิจัยดังกล่าวระบุว่า 25% ของผู้หญิงที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงที่สุด มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 26% ที่จะเป็นมะเร็ง
ขณะเดียวกัน ผู้หญิงก่อนวัยหมดประจำเดือนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง มีโอกาสสูงขึ้นที่จะเป็นมะเร็งเต้านม
ในจำนวนกลุ่มตัวอย่างวัยผู้ใหญ่เกือบ 65,000 คน ที่เข้าร่วมโครงการศึกษาระยะ 13 ปี มี 2,478 คนเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ดี ไม่พบความเชื่อมโยงเดียวกันนี้กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ชาย
ทีมนักวิจัยที่นำโดย ดร.พาร์ สแตตติน จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยยูมีในสวีเดน ยังสังเกตการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ซึ่งพบว่า สำหรับผู้ชาย ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นเพื่อปกป้องจากโรคมะเร็งต่อมอัณฑะ
งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนส่วนหนึ่งจากกองทุนวิจัยมะเร็งโลก
ขณะเดียวกัน นักวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติในรัฐแมริแลนด์ สหรัฐฯ พบว่าผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือนที่กินอาหารไขมันสูง อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นมะเร็งเต้านม
นักวิจัยกลุ่มนี้สอบถามผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน 188,000 คน เกี่ยวกับความถี่ในการกินอาหารบางประเภท และปริมาณอาหารที่กินเข้าไป เพื่อพิจารณาว่าปริมาณไขมันที่ร่างกายได้รับมีผลต่อความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมอย่างไร
ในกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ มี 3,500 คนเป็นมะเร็งเต้านมขั้นลุกลามในระหว่างการติดตามผลนาน 4 ปี
นักวิจัยยังพบว่า การบริโภคไขมัน 40% ของอาหาร ทำให้ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับคนที่บริโภคไขมันเพียง 20%
นอกจากนั้น จากการขอให้กลุ่มตัวอย่างระบุถึงอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปภายใน 24 ชั่วโมงล่าสุด ทำให้พบว่าผู้หญิงที่กินอาหารอุดมด้วยไขมันมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นถึง 32%
ดร.แอนนี ไทโบต์ ผู้นำการวิจัย กล่าวว่า ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดจากไขมันทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไขมันอิ่มตัว, ไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว หรือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน อีกทั้งยังดูเหมือนว่า ความเสี่ยงนี้จะจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่ไม่ได้ใช้ฮอร์โมนทดแทนเมื่อเริ่มต้นการศึกษา ทำให้ต้องศึกษาต่อไปว่า ฮอร์โมนดังกล่าวมีผลต่อความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคไขมันกับความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมหรือไม่
ที่มา-
