นายเอสบียอน ฮอร์เบิร์ก กรรมการบริหาร IOGT องค์การอิสระ ทำงานด้านเยาวชน
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาเสพติด ประเทศสวีเดน
กล่าวภายหลังการศึกษาดูงานแลกเปลี่ยนการทำงานรณรงค์ต่อต้านเครื่องดื่ม
แอลกอฮอล์ กับเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ประเทศไทย ว่า ในภูมิภาคเอเชีย
ประเทศศรีลังกา และประเทศไทย
มีกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มแข็งที่สุด
ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากนักวิชาการ และประชาสังคม
มีเครือข่ายองค์กรอิสระทำงานอย่างเต็มที่ สะท้อนให้เห็นว่า
เสียงของประชาชนต้องดังกว่าเสียงของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
จากการทำงานในหลายภูมิภาคพบว่า มาตรการที่ควบคุมได้ดีที่สุดคือ
1.ควบคุมราคา 2.จำกัดอายุทั้งการซื้อ และการบริโภค และ 3.ห้ามโฆษณา
และส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ (Total Ban)
ดร.เดวิท เออร์นิแกน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการตลาดแอลกอฮอล์และเยาวชน มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เมื่อปี 2551 มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ได้ทำการทดลองเรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้หนูทดลองกินเหล้า เบียร์ พบว่า หนูทดลองส่วนมากไม่ยอมกินเหล้า เบียร์ แต่เมื่อทำการเติมน้ำตาลลงในเหล้า เบียร์ เพื่อให้มีรสหวานมากขึ้น พบว่า หนูทดลองทุกตัวยอมกินเหล้า เบียร์ แสดงให้เห็นว่า การเติมน้ำตาลจะทำให้ดื่มได้ง่ายและทำให้ติดตามมา ซึ่งเป็นสาเหตุให้ใส่น้ำตาลในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทค็อกเทล หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (RTD) หรือเหล้าปั่น น้ำหวาน น้ำผลไม้ต่างๆ ให้มีรสหวาน กลิ่นหอม และทำให้บรรจุภัณฑ์สวยงาม เพื่อทำให้วัยรุ่น และกลุ่มผู้หญิงเป็นนักดื่มหน้าใหม่
ดร.เดวิท เออร์นิแกนกล่าวอีกว่า จากการศึกษาวิจัย พบว่าเยาวชนกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เกิดผลกระทบอย่างชัดเจนต่อร่างกาย และทำลายสมองในระยะยาว โดยพบว่า ปกติสมองมนุษย์มีการพัฒนาทางความคิดต่อเนื่องจนถึงอายุ 25 ปี การดื่มในวัยรุ่นจะทำให้ความจำลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ การเรียนรู้ลดลง สมองทึบ หากเริ่มดื่มก่อนอายุครบ 15 ปีมีโอกาสติดเหล้า เบียร์ในระยะยาวมากขึ้น 4 เท่า มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น 7 เท่า และเกิดปัญหาความรุนแรงเพิ่มขึ้น 11 เท่า แต่หากเริ่มดื่มหลังอายุครบ 25 ปีไปแล้วมีโอกาสติดเหล้า เบียร์ได้น้อย
"ภาครัฐจำเป็นต้องรณรงค์ ออกมาตรการต่างๆ ในการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะ ซึ่งมีกฎหมายควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยกำหนดอายุผู้ซื้อ และผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะต้องมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ รวมถึงการควบคุมสถานที่จำหน่าย โดยสหรัฐมีร้านค้าที่มีใบอนุญาต จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียง 550,000 แห่งทั่วประเทศ และร้านค้าส่วนใหญ่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ โดยมี 18 รัฐใน 52 รัฐของสหรัฐ ไม่อนุญาตให้เอกชน ร้านค้าปลีกจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม สหรัฐไม่มีมาตรการควบคุมทางภาษีเหมือนประเทศไทย จึงทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีราคาถูกมากกว่านม 1 ลิตรเสียอีก" ดร.เดวิทกล่าว
ที่มา-
ดร.เดวิท เออร์นิแกน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการตลาดแอลกอฮอล์และเยาวชน มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เมื่อปี 2551 มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ได้ทำการทดลองเรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้หนูทดลองกินเหล้า เบียร์ พบว่า หนูทดลองส่วนมากไม่ยอมกินเหล้า เบียร์ แต่เมื่อทำการเติมน้ำตาลลงในเหล้า เบียร์ เพื่อให้มีรสหวานมากขึ้น พบว่า หนูทดลองทุกตัวยอมกินเหล้า เบียร์ แสดงให้เห็นว่า การเติมน้ำตาลจะทำให้ดื่มได้ง่ายและทำให้ติดตามมา ซึ่งเป็นสาเหตุให้ใส่น้ำตาลในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทค็อกเทล หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (RTD) หรือเหล้าปั่น น้ำหวาน น้ำผลไม้ต่างๆ ให้มีรสหวาน กลิ่นหอม และทำให้บรรจุภัณฑ์สวยงาม เพื่อทำให้วัยรุ่น และกลุ่มผู้หญิงเป็นนักดื่มหน้าใหม่
ดร.เดวิท เออร์นิแกนกล่าวอีกว่า จากการศึกษาวิจัย พบว่าเยาวชนกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เกิดผลกระทบอย่างชัดเจนต่อร่างกาย และทำลายสมองในระยะยาว โดยพบว่า ปกติสมองมนุษย์มีการพัฒนาทางความคิดต่อเนื่องจนถึงอายุ 25 ปี การดื่มในวัยรุ่นจะทำให้ความจำลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ การเรียนรู้ลดลง สมองทึบ หากเริ่มดื่มก่อนอายุครบ 15 ปีมีโอกาสติดเหล้า เบียร์ในระยะยาวมากขึ้น 4 เท่า มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น 7 เท่า และเกิดปัญหาความรุนแรงเพิ่มขึ้น 11 เท่า แต่หากเริ่มดื่มหลังอายุครบ 25 ปีไปแล้วมีโอกาสติดเหล้า เบียร์ได้น้อย
"ภาครัฐจำเป็นต้องรณรงค์ ออกมาตรการต่างๆ ในการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะ ซึ่งมีกฎหมายควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยกำหนดอายุผู้ซื้อ และผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะต้องมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ รวมถึงการควบคุมสถานที่จำหน่าย โดยสหรัฐมีร้านค้าที่มีใบอนุญาต จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียง 550,000 แห่งทั่วประเทศ และร้านค้าส่วนใหญ่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ โดยมี 18 รัฐใน 52 รัฐของสหรัฐ ไม่อนุญาตให้เอกชน ร้านค้าปลีกจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม สหรัฐไม่มีมาตรการควบคุมทางภาษีเหมือนประเทศไทย จึงทำให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีราคาถูกมากกว่านม 1 ลิตรเสียอีก" ดร.เดวิทกล่าว
ที่มา-
