The Middle Way รุ่นแรกของเมืองเคปทาวน์ (แอฟริกาใต้)มีคำภาษิตโบราณของแอฟริกันบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “When you pray, move your feet.” ซึ่งแปลความว่า “อย่ารอคอยความสำเร็จ ด้วยการสวดอ้อนวอนแล้วอยู่เฉยๆ” ซึ่งนั่นก็คือต้องสู้…ต้องสู้จึงจะชนะ ด้วยวิธีการสู้ที่ถูกต้อง The Middle Way จึงเป็นโครงการดีๆระดับอินเตอร์ ที่คุณครูไม่ใหญ่ (พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์) ปรารถนาที่จะนำวิธีการปฏิบัติธรรมที่ง่ายแสนง่าย เพื่อให้ผู้คนทุกประเทศทั่วทุกมุมโลก ได้เข้าถึงสันติสุขภายในที่แท้จริงส่วนในวันนี้ก็เช่นเคย พวกเรายังคงมีเรื่องราวดีๆ จากผลการปฏิบัติธรรมจากชาวเคปทาวน์ และขอเสนอเป็นตอนสุดท้าย สำหรับการปฏิบัติธรรม The Middle Way รุ่นนี้ คราวนี้จะเป็นเรื่องราวดีๆของใคร ขอเชิญนักเรียนโรงเรียนอนุบาลฝันวิทยา ทั่วโลก ติดตามได้ ณ นาทีนี้เป็นต้นไป... ผลการปฏิบัติธรรมคุณแอนนิต้า นุสส์ (ประเทศแอฟริกาใต้) กราบนมัสการคุณครูไม่ใหญ่ที่เคารพอย่างสูงค่ะดิฉันชื่อ แอนนิต้า นุสส์ อยู่ที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศเซ้าท์แอฟริกา จบการศึกษาจากวิทยาลัย Cape Technikon ในหลักสูตรการจัดการประชาสัมพันธ์ค่ะ ปัจจุบันทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท OTI ซึ่งเป็นบริษัทผลิตบัตรสมาร์ทการ์ด หน้าที่ของดิฉันคือ ต้องทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจอย่างสูงสุดในสินค้าที่เราส่งไป และรายงานผลต่อบริษัทฯค่ะตั้งแต่ดิฉันได้ทราบข่าวโครงการปฏิบัติธรรม The Middle Way ที่จะเกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองเคปทาวน์จากเพื่อนคนหนึ่ง ดิฉันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาดึงดูดให้เข้าร่วมการปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ เพราะในขณะที่ดิฉันทราบข่าว ดิฉันกำลังมีปัญหา ไม่สามารถปล่อยวางอะไรต่างๆได้เลย ดิฉันจึงต้องการเรียนรู้เรื่องราวของชีวิต ความสุข ความทุกข์ และสัจธรรมที่แท้จริงดิฉันมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าขึ้นมาเลยว่า ดิฉันจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากการปฏิบัติธรรมอย่างแน่นอนค่ะ และดิฉันก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่ไปถึง ดิฉันมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีความกังวลใจอะไรเลย ทำให้ตลอดช่วงเวลาที่ได้เข้าร่วมโครงการ นับเป็นช่วงเวลาที่วิเศษสุดจริงๆค่ะเมื่อดิฉันได้เริ่มทำสมาธิ ก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ โล่ง เบาสบายมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสวยงามไปหมด ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ (แต่มันก็เป็นไปแล้ว) ดิฉันสนุกกับการทำสมาธิด้วยการแผ่เมตตา แบ่งปันความรักออกไปยังทุกคน ทุกชีวิต ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกใจสูงขึ้น มีความสุขมากยิ่งขึ้น อย่างที่ไม่มีใครมาพรากความสุขสบายใจไปได้เลยค่ะเหมือนกับว่า ดิฉันสามารถสื่อสารความรู้สึกแบบนี้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับความจริงของชีวิตว่า จริงๆแล้วดิฉันคือใคร ดิฉันเป็นอะไร พอรู้อย่างนี้ การปล่อยวางสิ่งต่างๆที่เกาะติดใจของเรา ก็ยิ่งง่ายเลยค่ะ เพราะเข้าใจแล้วว่า สิ่งทั้งหลายนั้นไม่ได้มีอยู่จริง ดิฉันไม่มีความอยากได้สิ่งต่างๆที่เป็นพันธนาการอีกแล้วค่ะเวลานั่งสมาธิ ดิฉันจะไร้ความรู้สึกว่ามีร่างกาย และศูนย์กลางกายของดิฉันก็ทรงพลังมากๆ เสมือนมีดวงอาทิตย์สว่างจ้า ลุกโชติช่วงอยู่ภายใน และดิฉันกำลังอยู่ในสถานที่ว่างเปล่า ที่ไม่มีอะไรเลยขนาดใหญ่ มีเพียงแค่ดิฉันเป็นศูนย์กลางของอวกาศค่ะดิฉันเริ่มเกิดความรัก และความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นมากๆ ซึ่งนั่นเป็นแหล่งของสันติสุขที่ยิ่งใหญ่สำหรับดิฉัน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน ก่อนสิ้นสุดการนั่งสมาธิ ที่ศูนย์กลางกายของดิฉันได้ขยายออกไปด้วยแสงสว่าง ดิฉันมีความสุขมากๆ และรู้สึกว่าศูนย์กลางกายมีชีวิต เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานอันบริสุทธิ์ที่ไร้ขีดจำกัดค่ะเมื่อดิฉันกลับไปที่บ้าน ดิฉันยังคงนั่งสมาธิ โดยเฉพาะในตอนเช้า ด้วยการแผ่เมตตาไปยังเพื่อนร่วมโลกทุกคน เมื่อใจของดิฉันวางเบาๆอยู่ที่กลางกาย ดิฉันรู้สึกมีความสุข อบอุ่นและปลอดภัยตลอดเวลา ตอนนี้ดิฉันรู้สึกว่า มันง่ายเหลือเกินที่จะสลัดความกังวล และความสับสนวุ่นวายออกไปจากชีวิต จนดูเหมือนกับว่า สิ่งวุ่นวายต่างๆเหล่านั้น ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล หรือไม่มีผลอะไรเลยสำหรับดิฉันภายหลังจากที่ดิฉันได้กลับไปเล่าความประทับใจ จากการมานั่งสมาธิให้เพื่อนและครอบครัวฟัง ปรากฏว่าเพื่อนๆที่ทำงานและครอบครัวของดิฉัน ต่างสนอกสนใจต้องการมาร่วมปฏิบัติธรรมด้วย หากโครงการปฏิบัติธรรม The Middle Way ครั้งหน้าจัดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ดิฉันจะเข้าร่วมอย่างแน่นอน แล้วอยากจะขอเป็นอาสาสมัครช่วยประชาสัมพันธ์โครงการนี้ให้ด้วยค่ะ หรือถ้ามีสิ่งใดที่ต้องการให้ดิฉันช่วยเหลือ ดิฉันก็ยินดีนะคะสุดท้ายนี้ ต้องกราบขอบพระคุณคุณครูไม่ใหญ่ ที่มอบโอกาสในการปฏิบัติธรรมที่แสนวิเศษ พาดิฉันก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายกลางอันบริสุทธิ์ The Middle Way ครั้งนี้ค่ะกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงแอนนิต้า นุสส์
http://goo.gl/rcqrX