ผลการปฏิบัติธรรม
กัลยาณมิตร ดร.สมบูรณ์ ธนฤทธิพร (ประเทศไทย)วันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2550กระผม ดร.สมบูรณ์ ธนฤทธิพร อายุ 36ปี ผมเกิดในครอบครัวคนจีน เป็นพี่ชายคนโตที่เป็นความหวังของคุณพ่อ-คุณแม่ ท่านส่งผมไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่ผมอายุได้ 10ขวบ จนจบปริญญาโทเมื่ออายุ 23ปี หน้าที่ของผมก็คือเรียนให้จบเอาปริญญาไปให้ท่านทั้งสอง ตลอดระยะเวลากว่า 13ปี ที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ผมไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ และไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลย เพราะผมไม่คิดว่า ศาสนาจะมีความสำคัญอะไรจนกระทั่ง ผมเรียนจบ และกลับมาทำงานที่ธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่ง ในประเทศไทย วันหนึ่งมีฝรั่งมาถามผมว่า “พระพุทธศาสนา คือ อะไร” ผมอึ้งไปทันทีครับ และก็รู้สึกอายมาก เพราะถึงแม้ว่าผมจะขึ้นชื่อว่าเป็นคนไทย และเกิดในดินแดนของพระพุทธศาสนา แต่ผมก็เป็นชาวพุทธแต่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น ด้วยความที่ต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามากขึ้น ผมจึงตัดสินใจเอาตัวเองเข้ามาพิสูจน์ว่า “พระพุทธศาสนาสอนอะไร” ผมพยายามค้นคว้าเรื่องการฝึกสมาธิ(Meditation)ของหลายสำนัก ลงมือฝึกสมาธิอย่างจริงจัง และปวารณากับตัวเองว่า จะทุ่มเทกับการนั่งสมาธิทุกวันเป็นเวลา 1เดือน และหากว่าไม่พบประสบการณ์ภายในแบบที่อ่านมา ก็จะถือว่า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องงมงายผมนั่งสมาธิทุกวัน วันละ 3-4ชั่วโมง เรียกว่า หลับตาไปก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะผมเองก็ไม่รู้หลักการนั่งสมาธิมากนัก จนกระทั่งเข้าสู่อาทิตย์ที่3 ผมได้เห็นนิมิตแสงสว่างภายในกลางกาย แต่ก็ไม่รู้ว่า “สิ่งที่เห็นคืออะไร”ต่อมา ในปี พ.ศ. 2541 ทางสว่างของชีวิตได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ กัลยาณมิตร วิชัย เหรียญศรีวงศ์ ได้ชวนผมมานั่งสมาธิที่ Q-House ซอยคอนแวนต์ ผมไปทันทีไม่ลังเล เมื่อไปถึงผมทึ่งมากๆ ที่เห็นนักธุรกิจ คนทำงาน จำนวนมากมาปฏิบัติธรรมร่วมกัน หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่ดอยสุเทพเป็นเวลา 3วัน 2คืน ที่นี่ทำให้ผมได้พบกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อครั้งแรก ที่ได้เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผมรู้สึกว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นบุคคลที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ และมีบารมีมาก ทุกอิริยาบถของพระเดชพระคุณหลวงพ่อดูสง่างาม โหงวเฮ้งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อดูดีมากๆ ดูน่าเคารพเลื่อมใส ผมก็ดีใจมากว่า “เจอแล้ว...เราได้เจอครูบาอาจารย์ ที่จะสอนสมาธิเราแล้ว” บ่ายวันนั้น ฝนตกปรอยๆ น้องใหม่อย่างผม ตื่นเต้นมากๆครับ แม้ห้องที่นั่งสมาธิจะไม่ใหญ่มาก แต่ผมคิดว่าเป็นสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากๆ เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่เข้าถึงธรรมของใครๆหลายๆคน และผมก็หวังลึกๆว่า หนึ่งในนั้นต้องมีผมด้วยวันนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อนำนั่งสมาธิรวดเดียว 3ชั่วโมง ผมปล่อยใจตามเสียงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ ใจของผมนิ่งมากๆครับ แล้วอยู่ๆผมก็เห็นเป็นดวงไฟสีขาวๆ ค่อยๆลอยขึ้นมาจากศูนย์กลางกายของผม แล้วก็เห็นเป็นองค์พระธรรมกายขนาดหน้าตักประมาณครึ่งศอกมีแผ่นฌานรอง ปรากฏขึ้น แล้วท่านก็หมุนรอบทิศทาง ท่านใสและสามารถมองทะลุได้ ภาพนั้นติดตาผมตลอด ทั้งในรอบและนอกรอบ ไม่ว่าภายนอกผมจะทำอะไร แต่ผมจะเห็นท่านชัดใส สว่างอยู่ตลอด ยิ่งถ้าผมวางใจสบายๆ ภาพองค์พระก็จะชัดขึ้นเรื่อยๆ และสว่างมาก เหมือนผมมีดวงตาอีกคู่หนึ่ง เป็นตาในที่ผมจะเห็นท่านตลอดเวลาไม่ว่าผมจะทำอะไรผมรู้สึกเหมือนว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นแม่เหล็ก เป็นฟันเฟืองขนาดใหญ่ที่มีพละกำลังมากๆ ในการขับเคลื่อนธรรมะพาผม เฟืองตัวเล็กๆให้เคลื่อนเข้าไปสู่ภายใน ประสบการณ์ครั้งแรกของการนั่งสมาธิกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ช่างเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากๆครับต่อมา ผมได้ไปปฏิบัติธรรมที่สวนบัว ในวันที่3 ผมรู้สึกเหมือนตกวูบจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แล้วอยู่ๆก็มีพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำฯ นั่งสมาธิอยู่กลางกายเป็นสีรุ้ง สว่างแบบ 3มิติ ท่านเรืองแสงและเปลี่ยนสีได้ ท่านนั่งสมาธิอยู่บนแผ่นฌาน บางครั้งองค์ท่านก็เปลี่ยนเป็นสีทองคำสว่าง หลังจากวันนั้น ผมมีสมาธิตลอดเวลาไม่ว่าจะ นั่ง นอน ยืน เดิน แม้เวลาตื่นก็ตื่นในสมาธิ จะเห็นตัวเองนั่งสมาธิใส่ชุดอุบาสกสีขาวอยู่กลางท้อง และมีความรู้สึกว่า ในกลางกายของผมมีจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดวงดาวนับล้านดวงระยิบระยับตลอดเวลา ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา และดวงไฟที่เห็นนั้นทำให้ผมมีความรู้สึกว่า ได้อยู่ใกล้กระแสแห่งความสุขที่บริสุทธิ์ ซึ่งมีพลังมหาศาล และเยือกเย็นเหมือนว่ามีแอร์สัก 10ตัวอยู่ที่กลางกาย ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีไอเย็นออกมาจากทุกรูขุมขนของร่างกาย นอกจากนั้น ตอนที่ได้สมาธิใหม่ๆ ทุกครั้งที่ผมสวดมนต์หรือพูด ก็มีเสียงสะท้อนและก้องจากกลางกายอีกชั้นหนึ่งเมื่อกลับลงมาจากสวนบัว ผมได้มาวัดพระธรรมกายครั้งแรกในงานกฐินของคุณยายอาจารย์ ซึ่งตั้งแต่ผมเกิดมาผมก็ยังไม่เคยไปงานกฐินวัดไหนเลยครับ ผมตกใจมากไม่นึกว่า ศาสนาพุทธของเราจะมีคนนับถือ ศรัทธามากมายขนาดนี้ วัดพระธรรมกายเป็นแหล่งความรู้ทางพระพุทธศาสนาขนาดใหญ่ ที่มีสื่อธรรมะทุกประเภท ทุกครั้งที่ผมมาวัด ผมจะสนุกกับการสรรหาสื่อธรรมะและขนกลับบ้านไปเป็นลังๆในปี พ.ศ.2542 ผมเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อศึกษาต่อปริญญาเอก สมาธิช่วยทำให้ผมอ่านหนังสือได้เร็วขึ้น และจำได้แม่นขึ้น เหมือนมีเสียงอีกเสียงหนึ่งอ่านออกมาจากกลางท้อง แม้อยู่ต่างประเทศผมก็ไม่ยอมที่จะห่างวัด ห่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผมจะร่วมงานบุญอาทิตย์ต้นเดือนผ่านทางอินเตอร์เน็ตเสมอพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ ตั้งแต่ตอนนั่งสมาธิที่ดอยสุเทพกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ดวงที่ผมเห็นผมก็ยังคงเห็นอยู่ตลอดครับ ความชัดจะขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นใจไม่ขุ่น และปฏิบัติได้สม่ำเสมอ ผมนั่งสมาธิทุกวัน ตอนเช้าก่อนไปทำงาน 1ชั่วโมง ตอนเย็นอีก 1ชั่วโมง ตอนหลัง พอทำสมาธิมากเข้า ทำให้ผมรู้ว่า ผมสามารถทำสมาธิได้ทุกอิริยาบถผมทำงานเป็นผู้บริหารทำให้มีเรื่องต้องคิด ต้องแก้ปัญหา ทุกวันผมจะมีประชุมวันละ 5-6วง งานของผมไม่เหนื่อยกายครับ แต่เหนื่อยใจมากกว่า ผมจะอาศัยช่วงพักการประชุมแม้เพียง 5นาที 10นาทีเพื่อทำสมาธิ ทุกช่วงครับ ถ้าเป็นโอกาสที่จะทำให้ผมทำสมาธิได้ ผมก็จะทำทันทีครับ สมาธินี่เองครับที่ช่วยให้ผม ทำงานได้อย่างมีชีวิตชีวาพอกลับมาถึงบ้าน ผมก็ต้องมาล้างใจให้ใส ให้ธรรมะชัดใสเหมือนเดิม ด้วยการนั่งสมาธิครับ ตอนนี้ผมนั่งสมาธิ ก็ยังเห็นดวงแก้วใสอยู่ ขยายได้ เล็กได้ ถ้าวันไหนคุยน้อย นิ่งเยอะ ดวงที่เห็นก็จะใสสว่างกว่า และละเอียดกว่า จะนิ่งๆเย็นๆ บางครั้งดวงขยายใหญ่มากจนไม่เห็นขอบ ผมก็จะสนใจแต่จุดเล็กๆที่กลางท้องของผม เพราะที่จุดเล็กๆนี้จะมีกระแสความเย็นออกมา ทำให้ผมอยากทำความดีด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีใครบังคับ และความสุขที่ผมได้รับจากสมาธินี้ ช่างเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์สะอาด เป็นความสุขที่ทำให้ผมยิ้มได้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ และความสุขนี้...ไม่มีใครเอาจากผมไปได้... ผมคิดว่า ถ้าทุกคนในโลกทำสมาธิ เราก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และเหมือนเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ไม่มีความรู้สึกแตกต่าง แตกแยก และแปลกแยกผมกราบขอบพระคุณ พระเดชพระคุณหลวงพ่อมากๆนะครับ ที่ทำให้ผมและครอบครัวได้มีส่วนในบุญใหญ่ สร้างหลังคามหารัตนวิหารคด ผมคิดว่า การทำบุญก็เหมือนกับการฝากเงินกับธนาคาร คือ ถ้าเราฝากเร็ว เราก็จะได้ดอกเบี้ยเร็ว ถ้าฝากช้า ก็จะได้ดอกเบี้ยช้า ครอบครัวของผมเลือกที่จะฝากเร็วครับ ท้ายสุดนี้ผมขอกราบอาราธนาขอให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีสุขภาพแข็งแรง ให้มีอายุยืนยาว อยู่กับลูกๆไปนานๆ นะครับกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงดร.สมบูรณ์ ธนฤทธิพร
http://goo.gl/wpZuB