สำรวจพบเด็กและเยาวชนให้ความสำคัญกับวันมาฆบูชามากกว่าวันวาเลนไทน์ ตั้งใจมอบความรักให้กับพ่อแม่มากกว่าคู่รัก มีบางส่วนตั้งใจจะมอบความรักให้แก่คนที่ถูกทอดทิ้ง คนพิการ และผู้ยากไร้ สัญลักษณ์ของความรักคือ ดอกไม้ อีกทั้งเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการรณรงค์ให้ลดเลิกการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นในวันวาเลนไทน์ ส่วนผลสำรวจประชาชนทั่วไปให้ความสำคัญกับการมีเพศสัมพันธ์วันวาเลนไทน์เพียงร้อยละ 12.1 ส่วนใหญ่เป็นชายโสด
       
       นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “ค่านิยมเด็กและวัยรุ่นไทยต่อวันวาเลนไทน์” จากตัวอย่างอายุ 10-24 ปี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,289 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 10-12 กุมภาพันธ์ 2550 พบว่า เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 94.9 ทราบว่าวันที่ 14 ก.พ.เป็นวันวาเลนไทน์ ในขณะที่เพียงร้อยละ 5.1 เท่านั้นที่ไม่ทราบ และร้อยละ 50.9 ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันพิเศษ ในขณะที่ร้อยละ 49.1 ถือเป็นวันธรรมดาเหมือนวันอื่นๆ
       
       ประเด็นที่น่าสนใจ คือ เด็กและเยาวชนไทยให้ความสำคัญต่อ “วันมาฆบูชา” มากกว่า “วันวาเลนไทน์” เพิ่มมากขึ้นกว่าการสำรวจเมื่อปีก่อน คือจากร้อยละ 48.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 57.4 ในขณะที่เด็กและเยาวชนให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์ลดน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับวันสำคัญทางศาสนา ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีทิศทางที่ชัดเจนในการหนุนเสริมค่านิยมของเด็กและเยาวชนไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
จากการสำรวจครั้งนี้ เพื่อรักษาคุณภาพของเยาวชนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้หลงไปตามกระแสนิยมทางตะวันตก และโลกแห่งทุนนิยมแบบสุดโต่ง
       

       นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ถึงแม้เด็กและเยาวชนไทยที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 57.5 ระบุว่ามีแฟนแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 42.5 ยังไม่มีแฟน ร้อยละ 56.3 ตั้งใจจะมอบความรักให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครอง มากกว่าคนที่ตั้งใจจะมอบความรักให้แก่แฟนหรือคู่รักที่มีอยู่ร้อยละ 48.2 รองลงมา คือ ร้อยละ 39.7 ตั้งใจจะมอบความรักให้แก่เพื่อน ร้อยละ 34.4 ให้แก่ครูอาจารย์ ร้อยละ 20.2 ให้แก่นายกรัฐมนตรี และร้อยละ 14.5 ตั้งใจจะมอบความรักให้แก่เพื่อนบ้าน คนพิการ คนยากไร้ และคนที่ถูกทอดทิ้งตามบ้านสงเคราะห์ต่างๆ เป็นต้น
       
       ตัวอย่างร้อยละ 51.1 ตั้งใจจะมอบดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของความรัก รองลงมา คือ ร้อยละ 31.4 ระบุขนม เช่น ช็อกโกแลต ขนมเค้ก คุ้กกี้ ร้อยละ 21.3 ระบุเป็นตุ๊กตา ร้อยละ 19.4 ระบุเป็นการ์ดอวยพร และร้อยละ 7.5 ระบุเป็นเครื่องประดับ เป็นต้น ส่วนกิจกรรมที่ตั้งใจจะทำในวันวาเลนไทน์ พบว่า ร้อยละ 42 ดูภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์ ร้อยละ 33.1 ทานอาหารนอกบ้าน ร้อยละ 20.4 ทำบุญตักบาตร บริจาคทาน ร้อยละ 39.7 เข้าห้องสมุดอ่านหนังสือ ร้อยละ 32.7 ชอปปิ้งเดินห้างฯ
       
       เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 67.1 เห็นด้วยกับการรณรงค์ให้ลดเลิกการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นในวันวาเลนไทน์ ร้อยละ 77.1 เห็นด้วยกับการตรวจตราการมั่วสุมในสถานบันเทิงอย่างเข้มงวดในวันวาเลนไทน์ ร้อยละ 68.8 ให้โรงเรียนและสถานศึกษาต่างๆ ติดตามตรวจสอบพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาในวันวาเลนไทน์ ร้อยละ 62.5 รณรงค์ให้ผู้ปกครองไปเที่ยวกับบุตรหลานในวันวาเลนไทน์ ร้อยละ 71.9 ให้ตรวจตราตามโรงแรมในวันวาเลนไทน์ เพื่อไม่ให้เยาวชนไปใช้บริการ และร้อยละ 56.3 เห็นด้วยกับการแจกถุงยางอนามัย ในขณะที่ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 85 เห็นด้วยกับการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ให้มากขึ้น
       
       ขณะที่ ศูนย์ประชามติ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือรามคำแหงโพล สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในกรุงเทพฯ จำนวน 1,470 คน เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ในหัวข้อ “เพศสัมพันธ์วันวาเลนไทน์” พบว่า ร้อยละ 12.1 เท่านั้นให้ความสำคัญกับการมีเพศสัมพันธ์ แต่กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์ ส่วนใหญ่ คือกลุ่มที่เป็นวัยรุ่น ยังเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา และเป็นโสด ทั้งชายโสดและหญิงโสด โดยผู้ชายให้ความสำคัญมากกว่าผู้หญิง บ่งชี้ว่าการชิงสุกก่อนห่ามจะเกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้ และผู้ชายมีแนวโน้มจะพยายามแสวงหาโอกาสมีเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์มากกว่าผู้หญิง
 
 
 
 
ที่มา-
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง