กรุงเทพโพลล์เผยเยาวชนไทยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่อง “ไร้สาระ” ชี้กิจกรรมที่ทำมากสุด 3 อันดับแรกคือ พูดคุยสังสรรค์กับเพื่อน ดูโทรทัศน์ ทำการบ้านอ่านหนังสือและเรียนพิเศษ แถมไร้จุดมุ่งหมายในชีวิต
ด้วยวันที่ 20 กันยายนของทุกปีเป็น “วันเยาวชนแห่งชาติ” ในปีนี้ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพจึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “เยาวชนไทยกับการใช้เวลาหลังเลิกเรียน” ขึ้นโดยเก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม - 2 กันยายนที่ผ่านมา จากเยาวชนที่ศึกษาในระดับมัธยมปลาย ปวช./ ปวส./ อนุปริญญา และปริญญาตรี ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนรวม 59 แห่ง จาก 14 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 1,671 คน เป็นเพศชายร้อยละ 40.8 และเพศหญิงร้อยละ 59.2 สรุปผลได้ดังนี้
กิจกรรมในช่วงเย็นถึงค่ำหลังเลิกเรียนที่เยาวชนทำมากเป็นอันดับแรก คือ การพูดคุยสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ร้อยละ 50.6 รองลงมา คือ ดูโทรทัศน์ ร้อยละ 46.6 ทำการบ้าน อ่านหนังสือ และเรียนพิเศษ ร้อยละ 46.3 เล่นเกม เล่นอินเทอร์เน็ต และคุยโทรศัพท์ ร้อยละ 42.6 เล่นกีฬา ออกกำลังกาย และทำงานอดิเรก ร้อยละ 38.9 ทำงานบ้าน ช่วยงานที่บ้าน และทำงานหารายได้พิเศษ ร้อยละ 27.7 ชอปปิ้ง ซื้อของ ดูหนัง และฟังเพลงนอกบ้าน ร้อยละ 26.1 และอื่นๆ อาทิ นอน อยู่กับคนรัก และปฏิบัติธรรม ร้อยละ 3.2 เยาวชนร้อยละ 70.1 กลับถึงบ้านไม่เกิน 18.00 น. ขณะที่ร้อยละ 10.1 กลับถึงบ้านหลัง 20.00 น.
สำหรับบุคคลที่เยาวชนใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดในช่วงเย็นถึงค่ำหลังเลิกเรียน พบว่า อันดับแรก คือ เพื่อน ร้อยละ 38.6 พ่อแม่ ร้อยละ 34.6 อยู่คนเดียว ร้อยละ 10.5 อยู่กับญาติพี่น้อง ร้อยละ 9.3 อยู่กับคนรัก ร้อยละ 5.9 อยู่กับครู ร้อยละ 0.2 และอยู่กับบุคคลอื่น อาทิ โค้ช ร้อยละ 0.9
เมื่อถามถึงเป้าหมายในชีวิต ส่วนใหญ่ร้อยละ 53.7 ระบุว่ายังไม่มีเป้าหมายในชีวิตว่าหลังจบการศึกษาแล้วจะทำอะไร ขณะที่ร้อยละ 46.3 ระบุว่ามีเป้าหมายในชีวิตแล้ว เช่น อยากเป็นเจ้าของกิจการ แพทย์ วิศวกร และนักแสดง เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาที่ระดับการศึกษา พบว่า เยาวชนที่ศึกษาในระดับ ปวช. ปวส. และอนุปริญญาระบุว่ายังไม่มีเป้าหมายในชีวิตมากที่สุด คือ ร้อยละ 63.0 รองลงมา คือ ระดับมัธยมปลาย ร้อยละ 51.6 และระดับปริญญาตรี ร้อยละ 46.1
เมื่อถามต่อว่าทุกวันนี้ได้ใช้เวลาที่มีอยู่อย่างเป็นประโยชน์คุ้มค่าเพื่อเตรียมสร้างอนาคต
ด้วยวันที่ 20 กันยายนของทุกปีเป็น “วันเยาวชนแห่งชาติ” ในปีนี้ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพจึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “เยาวชนไทยกับการใช้เวลาหลังเลิกเรียน” ขึ้นโดยเก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม - 2 กันยายนที่ผ่านมา จากเยาวชนที่ศึกษาในระดับมัธยมปลาย ปวช./ ปวส./ อนุปริญญา และปริญญาตรี ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนรวม 59 แห่ง จาก 14 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 1,671 คน เป็นเพศชายร้อยละ 40.8 และเพศหญิงร้อยละ 59.2 สรุปผลได้ดังนี้
กิจกรรมในช่วงเย็นถึงค่ำหลังเลิกเรียนที่เยาวชนทำมากเป็นอันดับแรก คือ การพูดคุยสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ร้อยละ 50.6 รองลงมา คือ ดูโทรทัศน์ ร้อยละ 46.6 ทำการบ้าน อ่านหนังสือ และเรียนพิเศษ ร้อยละ 46.3 เล่นเกม เล่นอินเทอร์เน็ต และคุยโทรศัพท์ ร้อยละ 42.6 เล่นกีฬา ออกกำลังกาย และทำงานอดิเรก ร้อยละ 38.9 ทำงานบ้าน ช่วยงานที่บ้าน และทำงานหารายได้พิเศษ ร้อยละ 27.7 ชอปปิ้ง ซื้อของ ดูหนัง และฟังเพลงนอกบ้าน ร้อยละ 26.1 และอื่นๆ อาทิ นอน อยู่กับคนรัก และปฏิบัติธรรม ร้อยละ 3.2 เยาวชนร้อยละ 70.1 กลับถึงบ้านไม่เกิน 18.00 น. ขณะที่ร้อยละ 10.1 กลับถึงบ้านหลัง 20.00 น.
สำหรับบุคคลที่เยาวชนใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดในช่วงเย็นถึงค่ำหลังเลิกเรียน พบว่า อันดับแรก คือ เพื่อน ร้อยละ 38.6 พ่อแม่ ร้อยละ 34.6 อยู่คนเดียว ร้อยละ 10.5 อยู่กับญาติพี่น้อง ร้อยละ 9.3 อยู่กับคนรัก ร้อยละ 5.9 อยู่กับครู ร้อยละ 0.2 และอยู่กับบุคคลอื่น อาทิ โค้ช ร้อยละ 0.9
เมื่อถามถึงเป้าหมายในชีวิต ส่วนใหญ่ร้อยละ 53.7 ระบุว่ายังไม่มีเป้าหมายในชีวิตว่าหลังจบการศึกษาแล้วจะทำอะไร ขณะที่ร้อยละ 46.3 ระบุว่ามีเป้าหมายในชีวิตแล้ว เช่น อยากเป็นเจ้าของกิจการ แพทย์ วิศวกร และนักแสดง เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาที่ระดับการศึกษา พบว่า เยาวชนที่ศึกษาในระดับ ปวช. ปวส. และอนุปริญญาระบุว่ายังไม่มีเป้าหมายในชีวิตมากที่สุด คือ ร้อยละ 63.0 รองลงมา คือ ระดับมัธยมปลาย ร้อยละ 51.6 และระดับปริญญาตรี ร้อยละ 46.1
เมื่อถามต่อว่าทุกวันนี้ได้ใช้เวลาที่มีอยู่อย่างเป็นประโยชน์คุ้มค่าเพื่อเตรียมสร้างอนาคต
ที่ดีให้กับตนเองหรือไม่ ร้อยละ 46.3 ระบุว่าไม่แน่ใจ ขณะที่ร้อยละ 36.7 คิดว่าได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์คุ้มค่าแล้ว อีกร้อยละ 17.0 เห็นว่ายังไม่ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์คุ้มค่า
ทั้งนี้ เยาวชนร้อยละ 51.1 เห็นว่าที่ผ่านมายังไม่ได้รับคำแนะนำส่งเสริมอย่างถูกต้องเพียงพอในเรื่องการใช้เวลา
ทั้งนี้ เยาวชนร้อยละ 51.1 เห็นว่าที่ผ่านมายังไม่ได้รับคำแนะนำส่งเสริมอย่างถูกต้องเพียงพอในเรื่องการใช้เวลา
ให้เกิดประโยชน์ ขณะที่ร้อยละ 48.9เห็นว่าได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องเพียงพอแล้ว
สำหรับกิจกรรมที่เยาวชนต้องการให้มีการส่งเสริมเพื่อให้เกิดการใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ อันดับแรก คือ กิจกรรมด้านกีฬาและการออกกำลังกาย ร้อยละ 36.4 ด้านบันเทิง ดนตรี และการแสดง ร้อยละ 23.1
ด้านการพัฒนาความรู้ความสามารถเชิงวิชาการ ร้อยละ 14.8 ด้านการช่วยเหลือสังคมและชุมชน ร้อยละ 6.7 ด้านใดก็ได้ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำซากจำเจ ร้อยละ 5.0 ด้านการสร้างอาชีพเพื่อให้มีรายได้ ร้อยละ 4.2 ด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ร้อยละ 1.5 ด้านการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม ร้อยละ 1.3 และด้านอื่นๆ ร้อยละ 2.6
เมื่อถามว่า ระหว่างการมานะพยายามด้วยตนเองกับการใช้เส้นสาย หรือระบบอุปถัมภ์ คิดว่าสิ่งใดส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตมากกว่ากัน ร้อยละ 80.7 ยังคงเชื่อว่าการมานะพยายามด้วยตนเองส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตมากกว่า แต่ก็มีถึงร้อยละ 19.3 หรือประมาณ 1 ใน 5 ที่เชื่อว่าการใช้เส้นสายหรือระบบอุปถัมภ์ส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตมากกว่า
ผศ.สุนิสา ประวิชัย หัวหน้าศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าเยาวชนไทยในทุกวันนี้สนใจและใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิด
สำหรับกิจกรรมที่เยาวชนต้องการให้มีการส่งเสริมเพื่อให้เกิดการใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ อันดับแรก คือ กิจกรรมด้านกีฬาและการออกกำลังกาย ร้อยละ 36.4 ด้านบันเทิง ดนตรี และการแสดง ร้อยละ 23.1

เมื่อถามว่า ระหว่างการมานะพยายามด้วยตนเองกับการใช้เส้นสาย หรือระบบอุปถัมภ์ คิดว่าสิ่งใดส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตมากกว่ากัน ร้อยละ 80.7 ยังคงเชื่อว่าการมานะพยายามด้วยตนเองส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตมากกว่า แต่ก็มีถึงร้อยละ 19.3 หรือประมาณ 1 ใน 5 ที่เชื่อว่าการใช้เส้นสายหรือระบบอุปถัมภ์ส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตมากกว่า
ผศ.สุนิสา ประวิชัย หัวหน้าศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าเยาวชนไทยในทุกวันนี้สนใจและใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิด
ประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคมเท่าไรนัก โดยส่วนใหญ่หมดไปกับการพูดคุยสังสรรค์กับเพื่อนฝูง เล่นเกม คุยโทรศัพท์ และดูโทรทัศน์ ประกอบกับการที่พวกเขาใช้เวลาหลังเลิกเรียนอยู่กับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ หรือบางคนต้องอยู่คนเดียวเพราะพ่อแม่ยังกลับไม่ถึงบ้านก็ยิ่งน่าเป็นห่วงว่า
เยาวชนเหล่านี้จะขาดการชี้แนะที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังสะท้อนปัญหาที่น่าเป็นห่วงสำหรับสังคมไทยอีกประการหนึ่ง คือ การที่เยาวชนไทยส่วนใหญ่ยังคงไม่มีเป้าหมายในชีวิต ทั้งนี้ แม้แต่กลุ่มที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีซึ่งควรจะเป็นเยาวชนชั้นแนวหน้าของสังคม และเหลือเวลาอีกไม่นานก็จะจบออกไปทำงานรับผิดชอบชีวิตตนเองแล้ว แต่ปรากฏว่า มีจำนวนเกือบครึ่งที่ระบุว่ายังไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนว่าเมื่อจบการศึกษาแล้วจะไปทำอะไร
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังสะท้อนปัญหาที่น่าเป็นห่วงสำหรับสังคมไทยอีกประการหนึ่ง คือ การที่เยาวชนไทยส่วนใหญ่ยังคงไม่มีเป้าหมายในชีวิต ทั้งนี้ แม้แต่กลุ่มที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีซึ่งควรจะเป็นเยาวชนชั้นแนวหน้าของสังคม และเหลือเวลาอีกไม่นานก็จะจบออกไปทำงานรับผิดชอบชีวิตตนเองแล้ว แต่ปรากฏว่า มีจำนวนเกือบครึ่งที่ระบุว่ายังไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนว่าเมื่อจบการศึกษาแล้วจะไปทำอะไร
ที่มา-
