อรุณรุ่งที่นครวัด.. ภาพสะท้อนยุคสมัยที่รุ่งเรืองสุดขีด แต่ในยามล่มสลายกลับไร้ร่องรอย ทิ้งเอาไว้แต่ปริศนา ให้คนรุ่นหลังต้องค้นหาคำตอบซึ่งเจอบ้าง ไม่เจอบ้าง
       
ผลการศึกษาของนักโบราณคดีออสเตรเลียทำให้เชื่อว่า อารยธรรมอาณาจักรเมืองพระนคร หรือ นครวัด (Angkor Wat) ได้ล่มสลายไปอย่างไร้ร่องรอยเนื่องมาจากดินฟ้าอากาศวิปริตและภัยแล้ง ไม่ได้ล่มเพราะการรุกรานของ "พวกสยาม" อย่างที่เคยเชื่อกัน
       
       เชื่อกันว่าอาณาจักรนครวัดที่เคยเป็นศูนย์กลางของดินแดนโบราณที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน จะเคยมีประชากรราว 700,000 คน เคยเป็นราชธานี ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 15 (ประมาณปี พ.ศ.1443) และ ล่มสลายไปอย่างน่าฉงนเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน
       
       นักโบราณคดีเชื่อกันมาเป็นเวลานานว่า อาณาจักรเขมรโบราณนั้น ถูกกองทัพสยามจากดินแดนประเทศไทยในปัจจุบันเข้ารุกราน ปล้นสะดม ทำลายลงจนราบคาบ แต่ทีมนักโบราณคดีมหาวิทยาลัยซิดนีย์ได้ศึกษาและเชื่อว่า ปัญหาน้ำดื่มน้ำใช้ต่างหากที่ทำให้คนอยู่ไม่ได้ จนทำให้ทั้งอาณาจักรพังทลายในที่สุด
       
       "บัดนี้ได้ปรากฏว่าเมืองพระนครถูกทิ้งให้รกร้างในช่วงที่กำลังเปลี่ยนจากยุคที่อากาศอบอุ่นไปเป็นยุคน้ำแข็งช่วงสั้นๆ" ผู้ช่วยศาสตราจารย์โรแลนด์ เฟล็ทเชอร์ (Roland Fletcher) แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยซิดนีย์กล่าวในรายงานฉบับหนึ่งที่มหาวิทยาลัยตีพิมพ์เผยแพร่ในสัปดาห์นี้
       
       ผศ.เฟล็ทเชอร์ กล่าวว่า กลุ่มผู้ปกครองในยุคโน้นได้พยายามอย่างยิ่งในการหาน้ำให้ประชากร 700,000 คน ได้ดื่มได้กิน การค้นพบแนวกั้นน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่ง ที่ใช้ในการควบคุมปริมาณน้ำภายในอาณาบริเวณราชอาณาจักร อาจจะช่วยยืนยันได้ว่าระบบการจัดหาน้ำได้กลายเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะที่น้ำตามธรรมชาติเริ่มเริ่มเหือดหาย

บารายตะวันตก บึงน้ำขนาดใหญ่ใน จ.เสียมราฐ ยังคงใช้มาจนถึงยุคปัจจุบัน นักโบราณคดีออสเตรเลียเชื่อว่าครั้งหนึ่งหลายร้อยปีก่อน น้ำเคยแห้งเหือด??
       นักโบราณคดีผู้นี้ไม่ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ "แนวกั้นน้ำขนาดใหญ่" ว่าหมายถึงอะไร แต่ในเขตนครวัดกับอาณาบริเวณใกล้เคียง มีบึงน้ำขนาดใหญ่ที่ปรากฏเด่นชัดมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ บาราย (Baray) กับ สระสาง (Srah Sang)
       
       ศาสตราจารย์เฟล็ทเชอร์กล่าวอีกว่า ข้อสรุปนี้เป็นการสนับสนุนผลการศึกษาของทีมงานที่เข้าไปศึกษาก่อนหน้านี้ และ พบว่านครวัดถูกทิ้งเมื่อภาวะของมรสุมได้เปลี่ยนไปทำให้ชุมชนขนาดใหญ่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีก
       
       เมื่อปี 2547 เคยมีการตีพิมพ์เผยแพร่แนวคิดเรื่อง “ภัยแล้ง” นี้ จากการศึกษาผ่านภาพถ่ายดาวเทียม ที่แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางธรณีศาสตร์ของดินแดนที่เคยเป็นอาณาจักรนครวัดอันรุ่งโรจน์ แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือ
       
       สาเหตุที่ทำให้นักประวัติศาสตร์กับนักโบราณคดีเชื่อกันว่า อาณาจักรนครวัดล่มสลายไปเพราะถูกกองทัพจากดินแดนสยามรุกรานนั้นก็เนื่องมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ร่วมยุคสมัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกันนั้น ไม่มีอาณาจักรอื่นใดอีกที่จะมีพลังอำนาจพอที่จะต่อกรกับอาณาจักรนครวัด

แม้ในยามอาทิตย์อัสดง ปราสาทนครวัดก็ยังดูยิ่งใหญ่ คำถามในยุคนี้ก็คือ เจ้าของอารยธรรมอันรุ่งโรจน์นี้หายไปไหนกันหมด? และ ด้วยชะตากรรมอย่างไร?
       

ภาพสลักที่ปราสาทบายน (Bayon) ซึ่งสร้างเสร็จหลังปราสาทนครวัดนับ 100 ปี แสดงให้เห็นแม่ทัพนายกอง ช้างศึกและม้าศึก หรือว่า.. กองทัพที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยนี้จะเคยถูกพวก "สยามก๊ก" ตีพ่ายและถูกปราบปรามจนราบคาบ? แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้ตอบคำถามอันสำคัญที่ว่า พวกเขาหายไปไหน?
       รูปสลักนูนบนฝาผนังด้านหนึ่งของนครวัด ยังปรากฏกองทัพ ม้า ช้าง และ ไพร่พลเดินเท้าจำนวนมาก โดยมีคำบรรยายว่า "เนะ เซียมกุ๊ก" ซึ่ง "จิตร ภูมิศักดิ์" นักคิดนักเขียน ได้แปลความหมายออกมาเป็น "นี่..สยามก๊ก"
       
       จิตร ภูมิศักดิ์ เขียนถึงเรื่องราวนี้ ในหนังสือที่ชื่อ "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ" ซึ่งเป็นผลงานการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิวัฒนาการด้านภาษาและชาติพันธุ์วิทยาของผู้คนยุคโบราณในดินแดนสุวรรณภูมิ
       
       จิตร ภูมิศักดิ์ ยังมีผลงานด้านวรรณกรรม กับหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดีอีกหลายเล่ม รวมทั้ง "วรรณคดีวิเคราะห์ โองการแช่งน้ำพระพัทธ์และภาคผนวก ว่าด้วยข้อคิดใหม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา" กับ "โฉมหน้าศักดินาไทย" ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์แนวมาร์กซิสต์ที่มีชื่อเสียงมากอีกเล่มหนึ่ง
       
 
 
 
ที่มา- 
 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง