ยุคสมัยนี้ "แผนที่พันธุกรรม" อธิบายพฤติกรรมของชีวิตได้แทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความอยากบุหรี่ แต่ก็ไม่ใช่ข้อแม้ที่ทำให้พยายามเลิกบุหรี่
 
 
อินดิเพนเดนท์ - สิงห์อมควันที่พยายามเท่าไรก็เลิกบุหรี่ไม่ได้เสียที อาจมีข้ออ้างใหม่ให้ตัวเองว่าเป็นเพราะคนบางคนเกิดมาเพื่อติดบุหรี่ หลังจากนักวิจัยสามารถระบุลักษณะทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่อ่อนไหวต่อการเสพติดได้เป็นครั้งแรก
       
       ดร.เจด โรส (Jed Rose) จากมหาวิทยาลัยดุ๊กในนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐฯ (Duke University in Durham, North Carolina) หวังว่า การรู้ลักษณะทางพันธุกรรมของผู้สูบบุหรี่ จะช่วยบ่งชี้วิธีการบำบัดที่ได้ผลที่สุด
       
       งานวิจัยที่มุ่งประเด็นฤทธิ์ในการเสพติดของบุหรี่ บ่งชี้ว่าพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญที่ทำให้บางคนติดบุหรี่ตั้งแต่สูบครั้งแรก และเลิกยากกว่าคนอื่นๆ โดยงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาขนาดใหญ่เกี่ยวกับแผนที่พันธุกรรมมนุษย์ที่ต้องการตรวจสอบ
ยีนที่มีบทบาทสำคัญต่อลักษณะทางจิตวิทยาของคน เช่น ความโน้มเอียงในการเสพติด หรือพฤติกรรมเสี่ยงที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
       
       ดร.นอรา วอลโกว์ (Nora Volkow) ผู้อำนวยการสถาบันยาเสพติดแห่งชาติ (เอ็นไอดีเอ) ในวอชิงตัน (US National Institute on Drug Abuse : NIDA) กล่าวว่างานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการระบุยีนที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเลิกบุหรี่ ซึ่งอาจส่งผลต่ออัตราความสำเร็จของโครงการรณรงค์เพื่อเลิกบุหรี่ ด้วยการนำเสนอวิธีบำบัดที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลโดยอิงกับความแตกต่างด้านพันธุกรรม
       

       นักวิจัยซึ่งได้ทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และผู้ผลิตบุหรี่ ฟิลิป มอร์ริส ได้ตรวจสอบยีนกว่า 520,000 ยีนเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างทางพันธุกรรม โดยพบยีน 221 ยีนที่แตกต่างกันระหว่างผู้ที่เลิกบุหรี่ได้กับผู้ที่เลิกไม่ได้
       
       ดร.จอร์จ อัล (George Uhl) จากเอ็นไอดีเอ แจงว่าในบรรดายีนเหล่านั้น นักวิจัยรู้จักหน้าที่การทำงานของยีน 187 ยีนเท่านั้น และยังพบว่ายีนอย่างน้อย 62 ยีน ที่ก่อนหน้านี้ถูกระบุว่ามีบทบาทสำคัญต่อการติดสารชนิดอื่นนั้น มีผลต่อการติดนิโคตินเช่นเดียวกัน
       
       ดร.โรสสำทับว่า หนึ่งในยีนที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มคือ cadherin 13 ที่สร้างสารซึ่งเกี่ยวโยงกับการควบคุมการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท กล่าวคือ ผู้สูบบุหรี่ที่การเชื่อมต่อของเส้นประสาททำงานผิดปกติ อาจอ่อนไหวต่อการเสพติดมากกว่า และเลิกเสพติดได้ยากกว่า
       
       ดร.วอลโกว์เพิ่มเติมว่า การวิจัยขั้นต่อไปจะเกี่ยวข้องกับการทดสอบการบำบัดรูปแบบต่างๆ สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เพื่อดูว่าวิธีการเหล่านั้นมีประสิทธิภาพอย่างไรกับผู้รับการบำบัดที่มีลักษณะทางพันธุกรรมแตกต่างกัน โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำข้อมูลที่ได้ไปขยายผลหาวิธีบำบัดที่มีประสิทธิภาพที่สุด
 
 
 
 
ที่มา- 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง