
ในวันที่พระราชาทรงพระสุบินประหลาดนั้นเอง นางสุมนาเทวีภรรยาของสิริวัฒกเศรษฐีก็ได้ให้กำเนิดทารกเพศชาย ผู้ซึ่งคลอดออกมาพร้อมกับกำแท่งโอสถมาด้วย ผู้เป็นมารดาจึงถามว่า ลูกได้อะไรมา กุมารนั้นสามารถพูดได้ โดยตอบมารดาว่า โอสถจ้ะแม่ แล้ววางโอสถไว้ในมือของมารดา

ท่านสิริวัฒกเศรษฐีได้เห็นอานุภาพของมโหสถกุมารบุตรชายของตนแล้ว เกิดความคิดขึ้นว่า “โอ ลูกของเราช่างมีบุญมากจริงหนอ ธรรมดาว่าผู้มีบุญญาธิการเช่นนี้ จะไม่เกิดมาเพียงลำพังผู้เดียว แต่จะต้องมีบริวารผู้มีบุญติดตามมาเป็นแน่”
คิดดังนี้แล้ว จึงได้ใช้ให้ชนผู้เป็นบริวารไปเที่ยวสืบเสาะหาดู เพื่อให้แน่ใจว่า มีทารกคลอดในวันเดียวกันกับบุตรของตนบ้างหรือไม่ ในที่สุด เหล่าบริวารก็ได้กลับมารายงานว่า มีทารกถือกำเนิดในตระกูลของอนุเศรษฐีในวันเดียวกันถึง ๑ พันคนอย่างน่าอัศจรรย์
ท่านเศรษฐีได้ทราบดังนั้นก็ปลาบปลื้มใจยิ่งนัก คิดอยากจะได้กุมารเหล่านั้นมาเป็นเพื่อนเล่นกับมโหสถ จึงได้จัดส่งของกำนัลเป็นอาภรณ์และเครื่องประดับอย่างดีเลิศ ทั้งยังได้มอบนางนมให้ดูแลกุมารน้อยๆ เหล่านั้นอีกคนละนาง

บัดนี้ มโหสถกุมารเป็นดุจมิ่งขวัญของชาวบ้าน เมื่อเอ่ยถึงมโหสถกุมารคราใด ผู้คนในหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคามอันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระนคร ก็จะเกิดความบันเทิงหรรษา มักจะกล่าวถึงด้วยความภาคภูมิใจดุจเดียวกันว่า “มโหสถกุมารของเรานี่น่ะ ช่างสง่างามเสียจริง ทั้งเฉลียวฉลาด และเก่งกาจสามารถ ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน”
ทุกหนทุกแห่งใน ปาจีนยวมัชฌคาม (ปา-จีน-ยะ-วะ-มัด-ชะ-คาม) จึงตลบอบอวลไปด้วยเสียงสรรเสริญเกียรติคุณของมโหสถกุมาร ร่ำลือกันไปปากต่อปาก ระบือไกลไปทั่วทุกทิศ ไม่ว่าใครก็ตาม แม้เพียงได้แลเห็นกุมารน้อยเท่านั้น ที่จะไม่รักไม่เอ็นดูไม่เชิดชูมโหสถกุมารนั้นไม่มีเลย
วันหนึ่งขณะที่มโหสถกุมารกำลังวิ่งเล่นกับเหล่าสหาย ภายในสนามเด็กเล่นท่ามกลางหมู่บ้าน พลันมหาเมฆก็ตั้งเค้าทะมึน ไม่ช้าก็โปรยปรายละอองฝนลงมา สายฝนตกกระหน่ำถี่ขึ้นเป็นลำดับ จนเหล่ากุมารต้องรีบวิ่งหนีฝนกันอลหม่าน ต่างยื้อแย่งหาที่หลบฝนภายใต้ร่มไม้ชายคา วิ่งชนกันและกันหกล้มหกลุกคุกคลาน เข่าแตก แข้งแตก เท้าบวม ได้รับลำบากเป็นอันมาก
และบ่อยครั้งที่บริเวณลานสนามที่กุมารวิ่งเล่นกันนั้น มักถูกช้างและสัตว์ใหญ่ทั้งหลายบุกเข้ามาทำลายจนเสียหายยับเยิน แม้ชาวบ้านชาวเมืองที่เดินทางผ่านไปมาในบริเวณนั้น ก็ต้องกรำแดดกรำฝน ไม่ได้รับความสะดวกสบายเลย

เหล่ากุมารทั้งหลาย เมื่อได้ยินมโหสถกล่าวเช่นนั้นก็ดีใจ พากันกล่าวเสริมว่า “โอ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีนะซิ เพื่อน แต่ว่าเราจะได้เงินจากที่ไหนมาสร้างล่ะ”

ครั้นรวบรวมทรัพย์ครบพันกหาปณะแล้ว มโหสถจึงได้เรียกนายช่างมาเจรจารับเหมาก่อสร้าง เมื่อได้ตกลงเรื่องค่าจ้างกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายช่างจึงเริ่มปรับพื้นดินให้เรียบเสมอ แล้วลงมือขึงเชือกเพื่อวัดระดับพื้นที่
มโหสถกุมารแม้อายุเพียง ๗ ขวบแต่เป็นผู้มีสติปัญญาเปี่ยมด้วยปฏิภาณ ได้สังเกตเห็นนายช่างขึงเชือกไม่ถูกแบบ ก็ตรงรี่เข้าไปใกล้ๆ เอ่ย
ขึ้นว่า “นายช่าง ขอท่านจงหยุดก่อน ท่านขึงเชือกอย่างนี้ เห็นทีจะขึงผิดแบบเสียแล้ว ธรรมดาว่าการงานที่เริ่มต้นด้วยความผิดพลาด งานที่ทำต่อๆ ไปก็มีแต่จะผิดพลาดตามไปด้วย ฉะนั้น ขอท่านจงช่วยกันขึงเชือกใหม่เถิด”

นายช่างแม้ได้ยินคำทักท้วงอยู่เต็มสองหู แต่ก็หาได้ใส่ใจในคำพูดของมโหสถกุมาร ด้วยสำคัญว่าเป็นเพียงเด็กน้อย ทั้งหมดจึงยังคงก้มหน้าก้มตาขึงเชือกแบบเดิมของตนต่อไป มโหสถกุมารเห็นว่านายช่างไม่สนใจในคำพูดของตนเลย เมื่อการณ์เป็นดังนั้นแล้วท่านจะทำอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)