ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 88

มโหสถกราบทูลอย่างนอบน้อมว่า “บัณฑิตย่อมไม่ประพฤติชั่ว เพื่อความสุขแก่ตน บัณฑิตถึงจะประสบความวิบัติก็ย่อมไม่ทิ้งธรรม” พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามต่อว่า “คนผู้ต่ำศักดิ์ เขาคิดว่า เราได้ราชบัลลังก์มาเป็นของตนแล้ว จึงค่อยประพฤติธรรมก็ได้ เธอล่ะมีความเห็นอย่างไร”
มโหสถบัณฑิตเพื่อจะคลายข้อสงสัยนั้น จึงได้กล่าวอุปมาว่า “บุคคลนั่งหรือนอนใต้ร่มเงาของต้นไม้ใด ก็ไม่ควรหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะบุคคลผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทราม บัณฑิตได้เล่าเรียนธรรมจากผู้ใด ก็ไม่พึงตัดไมตรีที่มีต่อท่านผู้นั้น”
จากนั้น มโหสถบัณฑิตชำเลืองดูพระพักตร์ของท้าวเธอ ก็เห็นชัดว่าทรงตั้งพระทัยที่จะสดับคำทูลของมโหสถอยู่อย่างเต็มที่ ขณะนั้นแววพระเนตรทั้งคู่ดูช่างอ่อนโยนชุ่มเย็นยิ่งนัก บ่งบอกว่าทรงปรารถนาจะซึมซับภาษิตของมโหสถบัณฑิตไว้ทุกถ้อยคำโดยมิให้ตกหล่น
มโหสถบัณฑิตเห็นดังนั้นแล้ว จึงได้กราบทูลทิ้งท้ายว่า “ขอเดชะ พระราชาพระองค์ใดทรงพิจารณาก่อนแล้วจึงทรงบำเพ็ญราชกิจเป็นปกติ พระราชอิสริยยศและพระเกียรติคุณของพระราชาพระองค์นั้น ก็ย่อมรุ่งเรืองแผ่ไพศาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พระพุทธเจ้าข้า”

ขณะนั้นพระเจ้าวิเทหราชทรงระลึกถึงปัญหาของเทวดาผู้สิงสถิต ณ เศวตฉัตรขึ้นมาได้ จึงทรงดำริในพระทัยว่า “เว้นมโหสถบัณฑิตแล้ว คงไม่มีผู้ใดสามารถพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน”
ดำริฉะนี้แล้ว จึงมีพระดำรัสถามมโหสถบัณฑิตสืบไปว่า “พ่อมหาบัณฑิต บัดนี้ ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องแก้ปัญหาของเทวดาแล้ว เพราะนอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ปริศนาของเทวดาได้ ฉะนั้น เมื่อเธอกลับมาก็ดีแล้ว เราจะได้ฟังเธอแก้ข้อปริศนานั่นเสียที เราขอเชิญเธอเปลื้องปริศนาอันยากยิ่งในบัดนี้เถิด”
ตรัสแล้วท้าวเธอก็ทรงถือปฏิบัติตามธรรมเนียมแต่โบราณ คือทรงเชื้อเชิญมโหสถบัณฑิตให้นั่งเหนือพระราชบัลลังก์ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ส่วนพระองค์ก็เสด็จประทับเหนือพระราชอาสน์ซึ่งต่ำกว่า
“ดีล่ะ ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง”
ปัญหาข้อที่ ๑. ถามว่า “บุคคลผู้ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ทั้งชกทั้งทุบ ทั้งเตะถีบถอง แต่ผู้ที่ทำร้ายกลับมิได้เป็นที่โกรธเคืองของผู้ถูกทำร้ายเลย แต่กลับเป็นที่รักของผู้ที่ตนทำร้าย ขอเธอจงไขปัญหานี้ให้กระจ่างด้วยเถิดว่า บุคคลในปัญหานี้คือใคร”
เมื่อพระราชาทรงตรัสจบลง เนื้อความของปัญหานั้นก็ปรากฏแจ่มกระจ่างแก่มโหสถบัณฑิต ดุจดวงจันทร์เต็มดวงปรากฏในท้องฟ้า ฉะนั้น
ครั้นแล้วมโหสถบัณฑิตจึงกราบทูลพยากรณ์ปัญหานั้นว่า “ขอเดชะ ขอพระองค์โปรดทรงสดับเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
แต่ทารกนั้นกลับเป็นที่รักของผู้เป็นมารดาอย่างสุดหัวใจ ทุกๆคราวที่บุตรกระทำเช่นนั้น มารดาก็ยิ่งเพิ่มพูนความรักในบุตรธิดาให้มากยิ่งขึ้น ไม่อาจกลั้นความรักที่มีเต็มเปี่ยมในดวงใจไว้ได้ ย่อมอดไม่ได้ที่จะสวมกอดบุตรนั้นมาแนบไว้ที่หว่างอก จูบจอมถนอมเกล้าด้วยความชื่นอกชื่นใจ ไม่หนีหายไปไหนเลย แม้บิดาก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าข้า”
เมื่อพระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำพยากรณ์นั้นแล้ว ก็ทรงเข้าพระทัยเนื้อความของปัญหาอย่างแจ่มแจ้ง ปริศนานั้นจึงกระจ่างแจ้งแก่พระหฤทัยของท้าวเธอ ดุจเผยสุริยมณฑลให้มาปรากฏท่ามกลางนภากาศ แม้เทวดาผู้เป็นเจ้าของปัญหานั้นเล่า ก็ปลื้มปีติเกินประมาณ รีบเผยกำพูฉัตรออกมาสำแดงกายกึ่งหนึ่งให้ปรากฏ พลางเปล่งสาธุการด้วยเสียงทิพย์อันกังวานว่า “โอ...ช่างน่าชื่นใจเหลือเกิน พ่อบัณฑิต เธอแก้ปัญหาได้ถูกต้องดีแล้ว”
ต่อจากนั้นพระเจ้าวิเทหราชจึงตรัสถามเทวปัญหาข้อที่ ๒ สืบไปว่า “บุคคลผู้ทั้งด่าทั้งแช่งผู้อื่นตามที่ตนชอบใจ แต่ใจจริงแล้วเขาไม่ต้องการให้ผู้ที่ตนแช่งต้องประสบผลร้ายไปตามนั้นเลย ทั้งผู้ที่ถูกแช่งกลับยิ่งเป็นที่รักของผู้แช่งเสียอีก เธอเห็นว่า บุคคลที่ว่านั้นคือใคร”
ปัญหาที่เทวดาถามดูเหมือนยากเย็นสำหรับผู้อื่น แต่เมื่อมาถึงมโหสถผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา กลับเป็นสิ่งที่ง่ายดาย แต่ว่าปัญหาข้อนี้ มโหสถจะเฉลยอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)