
ท้าวเธอเมื่อทรงสดับจากอาจารย์เสนกะว่าไม่พบแก้วก็ทรงผิดหวัง แต่เมื่อเห็นว่าเขาได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ทรงพอพระทัย จึงตรัสเอาใจว่า “ขอบใจนะท่านอาจารย์ แม้นมิได้ดวงแก้วมณีมา แต่ท่านอาจารย์ได้ปฏิบัติหน้าที่จนสุดความสามารถของตนแล้ว เพียงเท่านี้เราก็พอใจแล้วล่ะ”
แต่ผ่านไปไม่นาน ฝนก็ตกลงมาอีก น้ำจึงได้ไหลนองเข้ามาขังเต็มสระ แสงสว่างของดวงแก้วนั้นก็พลันปรากฏขึ้นมาอีก ครั้นทราบถึงพระเจ้าวิเทหราช พระองค์ก็ทรงมอบหมายให้ท่านเสนกะรับหน้าที่ไปดำเนินการค้นหาอีกครั้ง

ท้าวเธอทรงดำริว่า “นี่มิใช่เรื่องธรรมดา ถ้าท่านเสนกะยังไม่อาจรู้ได้ แล้วใครเล่าจักรู้” ทันใดนั้น ท้าวเธอก็ทรงระลึกถึงมโหสถบัณฑิตผู้รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ จึงได้รับสั่งทหารให้ไปเรียกมโหสถบัณฑิตมาเข้าเฝ้าโดยเร็ว
ครั้นมโหสถบัณฑิตมาถึงแล้ว จึงได้ตรัสเล่าที่มาของเรื่องราวทั้งหมดให้มโหสถฟังว่า “พ่อบัณฑิตน้อยของฉัน ข่าวว่ามีแก้วมณีดวงหนึ่งปรากฏแสงเจิดจ้าอยู่ในสระโบกขรณี เราจึงได้มอบให้เป็นภาระของท่านอาจารย์เสนกะในการค้นหา แม้ว่าจะวิดน้ำจนสระแห้ง ทั้งลอกโคลนตมออกค้นหาแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่พบแก้วมณีดวงนั้น พ่อบัณฑิตเอย แล้วเจ้าล่ะ จักสามารถนำแก้วมณีดวงนั้นมาให้เราได้หรือไม่เล่า”
ครั้นท้าวเธอตรัสจบลง มโหสถบัณฑิตจึงรีบกราบทูลให้ทรงเบาพระทัยว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เหตุเพียงเท่านี้ คงจะมิใช่เรื่องหนักหนาแต่อย่างใด พระเจ้าข้า”
“เธอว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ” พระองค์ตรัสถาม
“พระเจ้าข้า” มโหสถบัณฑิตทูลตอบอย่างมั่นใจ พร้อมกับได้กราบทูลสนองพระราชบัญชาด้วยความองอาจว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ขอพระราชทานพระวโรกาส กราบบังคมทูลเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จพระราชดำเนินไปยังสระโบกขรณี เพื่อทอดพระเนตรดวงแก้วมณีนั้น ในเวลานี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า”
ครั้นพระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำทูลเชิญให้เสด็จไปเพื่อพิสูจน์ความจริงเช่นนั้น ก็ทรงปลื้มพระหฤทัยยิ่งนัก จึงมีรับสั่งให้ตระเตรียมขบวนเสด็จเพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปสู่สระโบกขรณีนั้นในทันที
บรรดาเหล่าอำมาตย์และข้าราชบริพารทั้งหลาย ครั้นได้ฟังคำทูลของมโหสถแล้ว ต่างก็คิดตรงกันว่า “ก่อนนี้ พวกเราเคยได้ทราบเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของมโหสถ ก็เพียงข่าวคราวเล่าลือเท่านั้นเอง แต่คราวนี้ล่ะ เป็นโอกาสดีที่พวกเราจักได้เห็นประจักษ์ด้วยตาของตน” ครั้นแล้วทั้งหมดจึงได้ขอตามเสด็จไปด้วยโดยพร้อมหน้ากัน

ทันทีที่มโหสถมาถึง ก็รีบมุ่งตรงไปที่ริมขอบสระ ยืนจ้องมองดูแสงแก้วมณีนั้นอย่างพินิจพิจารณา แม้นสระโบกขรณีนั้นจะกว้างใหญ่สักเพียงใดก็ตาม แต่พอมโหสถสังเกตดูเพียงครู่เดียว ก็รู้ทันทีว่า แสงที่เห็นนั้นมิใช่แสงที่พวยพุ่งขึ้นมาจากสระอย่างแน่นอน แท้ที่จริงคงเป็นเพียงเงาสะท้อนของดวงแก้วมณีเท่านั้น แต่ปัญหาที่ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ “แล้วแก้วมณีนั้นเล่า ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งใดกัน”
เมื่อคำถามนั้นผุดขึ้นในใจเช่นนี้ มโหสถจึงดำริต่อไปว่า “เมื่อแก้วมณีนั้นมิได้อยู่ในสระ ก็ควรจะอยู่ในบริเวณรอบสระโบกขรณีนี้ ไม่ที่ใดก็ที่นึงเป็นแน่”
คิดดังนี้แล้ว มโหสถจึงเร่งสำรวจตรวจตราดูโดยรอบ เหลียวมองข้างโน้นข้างนี้ เป็นเหตุให้มหาชนที่เฝ้าดูอยู่ ต่างแปลกใจไปตามๆกัน สุดที่จะคาดเดาได้ว่า มโหสถกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ในขณะที่หลายคนพยายามแหงนมองตาม โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าเขากำลังมองหาสิ่งใดกันแน่
มโหสถค้นหาที่มาของแสงแก้วนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็พลันสังเกตเห็นต้นตาลต้นหนึ่ง ชูลำต้นโดดเดี่ยวสูงชะลูด อยู่ในที่ไม่ไกลจากขอบสระเท่าใดนัก

ครั้นกำหนดชัดลงไปเช่นนั้นแล้ว จึงได้กราบทูลท้าวเธอว่า “ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าพิเคราะห์เห็นด้วยเกล้าว่า แก้วมณีนี้มิได้อยู่ในสระโบกขรณีนี้ดอก พระพุทธเจ้าข้า”
“เอ...อย่างไรกันพ่อบัณฑิต” พระองค์ตรัสด้วยทรงฉงนพระหฤทัย “บัดนี้เธอก็เห็นเองแล้วมิใช่หรือว่า แสงนั้นปรากฏแวววาวอยู่ในกลางสระน้ำ”
“เห็นพระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่ฝ่าละอองธุลีพระบาท แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า แก้วมณีนั้นจักต้องตั้งอยู่ตรงนั้นเสมอไปนะ พระพุทธเจ้าข้า”
มโหสถกราบทูลดังนี้แล้ว ก็ขอพระราชทานพระวโรกาสทดลองให้ทรงทอดพระเนตร โดยให้คนยกถาดขนาดใหญ่ซึ่งใส่น้ำจนเต็มปรี่ แล้วนำมาวางลงที่ริมขอบสระ ทันทีที่ถาดนั้นถูกวางลง แสงแก้วก็พลันปรากฏให้เห็นอยู่ในถาดน้ำ เช่นเดียวกับที่เห็นในสระโบกขรณี

ในถาดน้ำนี้แม้มิได้มีดวงแก้วแต่แสงแวววาวก็ยังปรากฏ ในสระนั่นก็เช่นเดียวกัน แสงแวววาวที่ปรากฏนั้นเป็นเพียงเงาฉายของแก้วมณี ซึ่งสถิตอยู่ในที่สูงแห่งใดแห่งหนึ่งโดยรอบสระนี้เป็นแน่แท้ พระพุทธเจ้าข้า”
ส่วนพระเจ้าวิเทหราช ครั้นได้ทอดพระเนตรเงาแก้วมณีที่อยู่ในถาดน้ำแล้ว จะทรงมีพระราชดำรัสอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)