![]() |
|
ละครจิตอาสา สร้างสรรค์สังคม
ละครเวทีเป็นสื่อการแสดงที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างใกล้ชิด ก่อให้เกิดผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ความเชื่อ และทัศนคติของผู้ชมอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่วัยรุ่นไม่รู้สึกว่าตนกำลังถูกสั่งสอนโดยตรง เสมือนหนึ่งได้เข้าไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์ของละคร จนเกิดการเปรียบเทียบหรือเชื่อมโยงชีวิตตนเองกับสถานการณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญอยู่ นำไปสู่มุมมองใหม่ จนอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงทัศนคติหรือพฤติกรรมได้ในเวลาต่อมา
![]() |
|
ส่วนใหญ่เรื่องราวที่พูดในละคร สื่อเกี่ยวกับเรื่องราวของการให้ การให้อภัย ความเมตตากรุณา และความเสียสละ ฯลฯ
สำหรับเรื่องราวที่นำเสนอในละคร ส่วนใหญ่ได้แนวคิดมาจากนวนิยายของศรีบูรพาที่พูดเกี่ยวกับการให้ บทกวีของคาริล ยิบราน ที่พูดเรื่องการเสียสละ หยิบยกและนำมาดัดแปลงเป็นการแสดงที่สื่อเรื่องราวแบบเข้าใจง่าย สื่อออกมาในละครเรื่องต่างๆ เช่น ละครใบ้ นิทานชาดก ละครขอแรงหน่อยเถอะ ละครเล็กใหญ่ เป็นต้น โดยมีการตั้งคำถามกับผู้ชม พูดคุยสอดแทรก
น่าเสียดายที่ละครจิตอาสาดีๆ กำลังจะหมดลง เนื่องจากไม่มีงบประมาณในการตระเวนเล่นต่อ ส่วนเด็กๆ นักแสดงก็ต้องแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง
‘1 ตัวละคร’ อดีตที่เคยก้าวพลาด
ตี๋ เด็กหนุ่มร่างสันทัด วัย 22 ปี อดีตสมาชิกศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก (สถานพินิจ) ที่กลายมาเป็นส่วนร่วมแสดงละครและได้พัฒนาตนเอง เขาเล่าว่าเล่นละครได้ประมาณปีกว่าๆ แล้ว ตอนแรกไม่รู้ว่าตัวเองชอบด้านนี้ แต่ได้ลองสัมผัสก็รู้สึกรัก
“ผมเคยชมละครเวทีแบบนี้ เรื่องเส้นด้ายในความมืด สอนว่าคนเราควรขวนขวายให้ตัวเอง ไม่ใช่รอรับอย่างเดียว ตอนดูก็ได้คิด และเก็บความรู้สึกนั้นไว้ลึกๆ พอมาเจอทีมละครของพี่ๆ ทำให้ผมอยากเข้ามาสัมผัสว่าเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมได้จากการเล่นละครก็คือ ละครที่ผมเล่นแต่ละเรื่อง เป็นเรื่องที่ให้ลองย้อนกลับมาดูและลองคิดที่จะแก้ไข เปลี่ยนแปลงและให้คนอื่นบ้าง และเวลาอยู่ในทีมก็ได้ช่วยเหลือกัน มีความอดทน รู้จักเป็นผู้ให้ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ดี แต่ก่อน เคยเป็นแต่ผู้รับอย่างเดียว พอได้เป็นผู้ให้ ทำให้รู้สึกปลื้ม ภูมิใจว่าครั้งหนึ่งเราก็ได้เป็นผู้ให้และให้อย่างจริงใจ อย่างผมมาเล่นให้น้องๆ ดู และน้องๆ สามารถรับได้กับสิ่งที่ให้ไปก็น่าจะเป็นผลดี เพราะพวกเขากำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ถ้าได้คิดและได้เปลี่ยนแปลง สิ่งดีๆ ก็น่าจะเกิดขึ้นกับตัวเขาและคนรอบข้างด้วย”
ในฐานะที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ตี๋มีคำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่กำลังจะก้าวพลาด ตี๋อยากให้ลองดูละครเรื่อง “เล็กกับใหญ่” (ละครตอนหนึ่งของละครจิตอาสา) ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในบ้านกาญจนาภิเษก เป็นเรื่องราวของเล็กที่ไปฆ่าพ่อของใหญ่ แล้วเล็กได้มาอยู่ในสถานพินิจแห่งหนึ่ง ใหญ่อยู่ข้างนอก แต่อยากแก้แค้นให้พ่อ พยายามทำผิดเพื่อให้เข้ามาอยู่ที่เดียวกับเล็ก ในขณะที่เล็กได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านกาญจนาฯ ใหญ่ก็หาทางตามไปอยู่กับเล็ก มีวันหนึ่งช่วงปลอดคน เล็กเข้าไปคุยกับป้ามลเจ้าหน้าที่ที่สถานพินิจบ้านกาญจนาฯ เล็กบอกป้าว่า โจทย์เขาเข้ามาแล้วชื่อใหญ่ ป้ามลถามว่า เล็กเคยไปมีเรื่องกับใคร หรือเคยทำอะไรกับใครไหม เล็กบอกว่าเคยทำ และลูกของคนที่เขาเคยฆ่า กำลังตามมาแก้แค้น จากนั้นป้าเรียกเด็กเข้าคุยรวมกัน ก็มีเล็กและใหญ่รวมอยู่ในนั้นด้วย ป้ามลบอกกับเยาวชนกลุ่มนี้ว่า คนที่เคยทำผิด เป็นบุคคลที่ก้าวพลาด และคนที่เคยก้าวพลาด ใช้ได้กับเล็กและใหญ่ไหม ทำให้พวกเขาคิดได้ และไม่ถือโทษต่อกัน จากนั้นก็มีการจัดงานสันติวิธีขอขมากัน แล้วทุกคนก็หยุดอาการโกรธ เคียดแค้น ชิงชังลงได้
“ผมอยากให้เรื่องนี้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่น ว่าทำไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เล็กบอกว่าขอให้เรื่องนี้เกิดกับคนเพียงคนเดียว และเอาตัวเขาเป็นสิ่งไม่ดี และนำไปสอนใจว่าทำไม่ดีและเกิดเกี่ยวพันไปถึงชีวิตและอิสรภาพของตัวเอง ตอนผมดูผมคิดว่าการให้อภัยเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าทำได้เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจ”
สุดท้ายตี๋ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า เขารู้สึกมีตราบาปกับชีวิต แต่บางครั้งสังคมอาจไม่ต้อนรับ แต่เขาแค่อยากขอพื้นที่เล็กๆ ให้พวกเขาได้ยืนอยู่ในสังคมบ้าง เพราะสิ่งที่พวกเขาพยายามทำ แสดงให้เห็นว่า พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแล้ว
เสียงสะท้อนจากสถานพินิจบ้านกรุณา
“ไม่บ่อยนักที่สถานพินิจบ้านกรุณาจะมีละครที่สอนเกี่ยวกับ การให้ การให้อภัย และความเมตตาต่อผู้อื่น ซึ่งถือว่าให้ประโยชน์กับจิตใจเด็กๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากความบันเทิงที่ได้จากการชมดนตรี ที่ช่วยให้ความสุขในชั่วประเดี่ยวประด๋าว” สมชาติ ชุมสวี ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน สถานพินิจบ้านกรุณา สมุทรปราการ บอก พร้อมทั้งบอกต่อว่าส่วนใหญ่เยาวชนชายอายุ 17-18 ปี จำนวน 700 คน เคยกระทำผิดในเรื่องชิงทรัพย์และยาเสพติดจาก จ.นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี นครนายก และฉะเชิงเทรา พวกเขาเหล่านี้เป็นเด็กที่เคยก้าวพลาด แต่เมื่อเยาวชนกว่า 400 คนที่ได้เข้ามาชมละครในครั้งนี้ มีผลตอบกลับที่ดีมาก จากการเข้าชมละครเวลานานทั้งหมด 1 ชั่วโมงครึ่ง เด็กๆ นั่งฟังอย่างตั้งใจ
“ผมคิดว่าการชมละครในครั้งนี้จะช่วยคลี่คลายปมที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา เด็กๆ บางครั้งบอบช้ำจากปัญหาครอบครัว ที่ถูกกระทำ ความไม่สมบูรณ์ในครอบครัว ซึ่งล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กทำผิด หลงผิด แต่หากการชมละครได้เข้าไปช่วยเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติในเชิงลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งนับว่ามีประโยชน์มาก ยิ่งเด็กได้เข้าไปมีส่วนร่วมในละคร ยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีด้วยตัวเอง ถ้าละครทำให้เด็กเข้าใจชีวิตเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในละครที่พูดเกี่ยวกับการให้ การเสียสละ ความเมตตาต่อผู้อื่น ถ้าทุกคนคิดได้อย่างนี้ปัญหาสังคมจะลดลงไปเยอะ สังคมก็จะน่าอยู่” ผอ.สมชาติ บอก
