![]() |
| ||
![]() |
เอเจนซี – พบมาตรการห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหารอาจมีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวให้วัยรุ่นไม่ฝักใฝ่กลายเป็นสิงห์อมควัน
รายงานการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตันที่ตีพิมพ์ในวารสารอาร์ไคฟ์ส ออฟ เพเดียทริกส์ แอนด์ อะโดเลสเซนต์
รายงานการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตันที่ตีพิมพ์ในวารสารอาร์ไคฟ์ส ออฟ เพเดียทริกส์ แอนด์ อะโดเลสเซนต์
เมดิซินฉบับเดือนพฤษภาคม ระบุว่า
วัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองที่มีการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะอย่างเข้มงวด
มีแนวโน้มน้อยลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ที่จะกลายเป็นผู้ติดบุหรี่
การค้นพบนี้สนับสนุนแนวคิดที่ว่า
การค้นพบนี้สนับสนุนแนวคิดที่ว่า
การแบนการสูบบุหรี่ช่วยป้องกันไม่ให้วัยรุ่นหันมาหายาเสพติดชนิดนี้
เนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณว่าการสูบบุหรี่เป็นพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ
รวมทั้งยังลดโอกาสที่เด็กจะได้พบเห็นผู้สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ
ดร.ไมเคิล ซีเกล จากคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งเป็นผู้นำการเขียนรายงานการวิจัยฉบับนี้ ร่วมกับนักวิจัยอื่นๆ ศึกษาและติดตามผลเด็กอายุ 12-17 ปีจำนวน 2,791 คนที่อาศัยอยู่ในแมสซาชูเสตส์
ทั้งนี้ เมื่อเริ่มต้นการศึกษาในปี 2001 ในสหรัฐฯ ยังไม่มีรัฐใดที่ห้ามการสูบบุหรี่ทั่วทั้งรัฐ แต่มีราว 100 เมืองที่มีกฎห้ามสูบบุหรี่ในที่ทำงาน บาร์ และร้านอาหาร
จากการติดตามผลกลุ่มตัวอย่างนาน 4 ปี นักวิจัย พบว่า โดยรวมแล้ว 9 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นผู้สูบบุหรี่ ซึ่งหมายถึงผู้ที่เคยสูบบุหรี่รวมกันเกิน 100 มวน
สำหรับเมืองที่ไม่มีมาตรการห้ามสูบบุหรี่ อัตราผู้สูบบุหรี่ในกลุ่มตัวอย่างอยู่ที่เกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ ในทางกลับกัน เมืองที่ห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหารอย่างเข้มงวด หรือสูบได้เฉพาะพื้นที่ที่จัดไว้ให้เท่านั้น ตัวเลขลดเหลือไม่ถึง 8 เปอร์เซ็นต์
ผลศึกษายังพบว่า การที่พ่อแม่หรือเพื่อนสนิทติดบุหรี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถใช้คาดเดาได้ ว่าเด็กจะริอ่านลองพ่นควันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มาตรการแบนมีอิทธิพลต่อแนวโน้มนี้มากกว่า โดยลดโอกาสที่เด็กจะกลายเป็นผู้สูบบุหรี่ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนั้น อายุยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ กล่าวคือ มาตรการห้ามสูบบุหรี่มีผลต่อวัยรุ่นช่วงต้นมากกว่าวัยรุ่นช่วงปลาย
อย่างไรก็ดี นักวิจัย ยอมรับว่า ไม่สามารถรู้ได้ว่ามาตรการห้ามสูบบุหรี่อย่างเข้มงวดจะมีผลแบบเดียวกันใน รัฐอื่นๆ หรือไม่ เนื่องจากกรณีของแมสซาชูเสตส์นั้น ทุกเมืองพร้อมใจใช้แคมเปญรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่เชิงรุก
แมสซาชูเสตส์เพิ่งบังคับใช้กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่ทำงาน ซึ่งรวมถึงร้านอาหาร ทั่วทั้งรัฐเมื่อกลางปี 2004 นับจากนั้น อัตราการสูบบุหรี่ในโรงเรียนในรัฐแห่งนี้ลดลงเรื่อยๆ จาก 21 เปอร์เซ็นต์ในปี 2005 อยู่ที่ 18 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว
อนึ่ง เจ้าของร้านอาหารจำนวนมากพยายามคัดค้านการแบน เนื่องจากมองว่าทำให้ลูกค้าหายหน้าหายตาไป ขณะที่บางราย ยอมรับว่า ได้รับผลกระทบในระยะแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์ก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวครอบคลุมร้านอาหารทั้งหมดไม่มียกเว้น
ปัจจุบันมีอย่างน้อย 23 รัฐในสหรัฐฯ ที่ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะส่วนใหญ่และในที่ทำงาน ซึ่งรวมถึงบาร์และร้านอาหาร อีก 9 รัฐประกาศให้ที่ทำงานเป็นเขตปลอดบุหรี่ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับร้านอาหารและบาร์
ดร.ไมเคิล ซีเกล จากคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งเป็นผู้นำการเขียนรายงานการวิจัยฉบับนี้ ร่วมกับนักวิจัยอื่นๆ ศึกษาและติดตามผลเด็กอายุ 12-17 ปีจำนวน 2,791 คนที่อาศัยอยู่ในแมสซาชูเสตส์
ทั้งนี้ เมื่อเริ่มต้นการศึกษาในปี 2001 ในสหรัฐฯ ยังไม่มีรัฐใดที่ห้ามการสูบบุหรี่ทั่วทั้งรัฐ แต่มีราว 100 เมืองที่มีกฎห้ามสูบบุหรี่ในที่ทำงาน บาร์ และร้านอาหาร
จากการติดตามผลกลุ่มตัวอย่างนาน 4 ปี นักวิจัย พบว่า โดยรวมแล้ว 9 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นผู้สูบบุหรี่ ซึ่งหมายถึงผู้ที่เคยสูบบุหรี่รวมกันเกิน 100 มวน
สำหรับเมืองที่ไม่มีมาตรการห้ามสูบบุหรี่ อัตราผู้สูบบุหรี่ในกลุ่มตัวอย่างอยู่ที่เกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ ในทางกลับกัน เมืองที่ห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหารอย่างเข้มงวด หรือสูบได้เฉพาะพื้นที่ที่จัดไว้ให้เท่านั้น ตัวเลขลดเหลือไม่ถึง 8 เปอร์เซ็นต์
ผลศึกษายังพบว่า การที่พ่อแม่หรือเพื่อนสนิทติดบุหรี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถใช้คาดเดาได้ ว่าเด็กจะริอ่านลองพ่นควันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม มาตรการแบนมีอิทธิพลต่อแนวโน้มนี้มากกว่า โดยลดโอกาสที่เด็กจะกลายเป็นผู้สูบบุหรี่ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนั้น อายุยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ กล่าวคือ มาตรการห้ามสูบบุหรี่มีผลต่อวัยรุ่นช่วงต้นมากกว่าวัยรุ่นช่วงปลาย
อย่างไรก็ดี นักวิจัย ยอมรับว่า ไม่สามารถรู้ได้ว่ามาตรการห้ามสูบบุหรี่อย่างเข้มงวดจะมีผลแบบเดียวกันใน รัฐอื่นๆ หรือไม่ เนื่องจากกรณีของแมสซาชูเสตส์นั้น ทุกเมืองพร้อมใจใช้แคมเปญรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่เชิงรุก
แมสซาชูเสตส์เพิ่งบังคับใช้กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่ทำงาน ซึ่งรวมถึงร้านอาหาร ทั่วทั้งรัฐเมื่อกลางปี 2004 นับจากนั้น อัตราการสูบบุหรี่ในโรงเรียนในรัฐแห่งนี้ลดลงเรื่อยๆ จาก 21 เปอร์เซ็นต์ในปี 2005 อยู่ที่ 18 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้ว
อนึ่ง เจ้าของร้านอาหารจำนวนมากพยายามคัดค้านการแบน เนื่องจากมองว่าทำให้ลูกค้าหายหน้าหายตาไป ขณะที่บางราย ยอมรับว่า ได้รับผลกระทบในระยะแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์ก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวครอบคลุมร้านอาหารทั้งหมดไม่มียกเว้น
ปัจจุบันมีอย่างน้อย 23 รัฐในสหรัฐฯ ที่ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะส่วนใหญ่และในที่ทำงาน ซึ่งรวมถึงบาร์และร้านอาหาร อีก 9 รัฐประกาศให้ที่ทำงานเป็นเขตปลอดบุหรี่ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับร้านอาหารและบาร์
ที่มา-
