ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 151
จากตอนที่แล้ว เมื่อเกวัฏพราหมณ์กลับไปยังปัญจาลนครแล้ว มโหสถบัณฑิตก็รีบเข้าเฝ้าพระราชาทันที พระเจ้าวิเทหราชจึงรับสั่งถามว่า “พ่อบัณฑิต พวกเราต่างมีมติเป็นอันเดียวกันว่า ควรไปปัญจาลนครเพื่อรับเอาพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีมาที่นี่ ส่วนเธอล่ะมีความเห็นอย่างไร”
มโหสถได้ฟังพระราชดำรัสแล้ว จึงกราบทูลทักท้วงอย่างหนักแน่นว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ทรงทราบดีมิใช่หรือว่า พระเจ้า
จุลนีทรงมุ่งหมายที่จะปลงพระชนม์ชีพของฝ่าพระบาทให้จงได้ เมื่อเป็นดังนี้ ฝ่าพระบาทยังจะเสด็จไปอีกหรือ พระพุทธเจ้าข้า”
จึงแสดงอุปมาว่า “เรื่องเนื้อโง่ เมื่อได้ฟังเสียงของนางเนื้อต่อ ก็รี่เข้าหาด้วยอำนาจแห่งราคะ นายพรานครั้นได้ช่อง ก็ใช้หอกแทงเนื้อนั้นตายอย่างน่าอนาถ”
และได้ยกข้ออุปมาต่อไปอีกว่า “ปลากระหายเหยื่อ แม้จะอยู่ในน้ำลึกตั้งร้อยวา แต่ก็ยังขึ้นมาติดเบ็ดได้ มันอาศัยความอยากโดยแท้ ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ก็ฉันนั้น ทรงปรารถนาพระราชธิดาของพระเจ้าจุลนี มิได้ทรงเฉลียวใจเลยว่า นั่นเป็นเพียงเหยื่อล่อที่ห่อเบ็ดไว้ ขอได้ทรงเลิกล้มความคิดนั้นเสียเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
คำกราบบังคมทูลของมโหสถบัณฑิต แม้นเกิดจากเจตนาดีที่หวังประโยชน์อย่างแท้จริง แต่ในยามนี้กลับเป็นสิ่งที่ไร้ผล พระเจ้าวิเทหราชทรงยิ่งพิโรธมโหสถ ด้วยทรงดำริว่า “มโหสถช่างดูหมิ่นเราเหลือเกิน เปรียบเราเป็นเนื้อโง่บ้าง เป็นปลาติดเบ็ดบ้าง กล้าข่มขี่เราเหมือนข่มขู่ทาสในเรือนตน มิได้สำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นพระราชาเสียเลย” พระองค์ทรงไล่มโหสถด้วยพระสุรเสียงเฉียบขาดว่า “ราชบุรุษ...จงขับไล่มโหสถออกไปจากแคว้นของเราเดี๋ยวนี้”
มโหสถบัณฑิตเมื่อรู้ว่า พระราชาทรงกริ้วตน จึงถวายบังคมพระราชา ลุกจากที่นั่ง แล้วกลับไปสู่เรือนของตน
เมื่อกลับสู่เรือนแล้ว มโหสถรำพึงในใจด้วยความสลดหดหู่ใจว่า “พระราชาของเราทรงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ พระองค์มิได้ทรงตระหนักเลยหรือว่า สิ่งใดเป็นคุณ สิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดมิใช่ประโยชน์ต่อพระองค์
พระองค์ทรงหมกมุ่น ไปในอารมณ์ตามพระหทัยปรารถนา มุ่งหวังแต่เพียงว่า จะต้องได้พระราชธิดาของพระเจ้าจุลนีเท่านั้น จึงทรงมองไม่เห็นภัยที่
กำลังจะมาถึง
หากว่าพระองค์ยังทรงยืนยันที่จะเสด็จไปให้ได้ พระองค์ก็จะต้องประสบความพินาศอย่างใหญ่หลวงทีเดียว”
ด้วยวิสัยแห่งบัณฑิต ผู้มีความกตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมประจำใจ มโหสถจึงเตือนใจตนเองว่า “แม้ว่าพระองค์จะทรงกริ้วเราก็ตาม จะทรงขับไล่เราก็ตาม เราก็ไม่ควรเสียเวลาเก็บเอาถ้อยคำเหล่านั้นมาไว้ในใจ เพราะคำบริภาษของพระองค์ผู้ไม่รู้ จะถือเอาเป็นประมาณไม่ได้
แม้ว่าที่ผ่านมาพระองค์จะทรงมีข้อที่ควรตำหนิอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆนั้น ก็เหมือนธุลีเมื่อเทียบกับขุนเขา
อย่างไรเสียก็ไม่อาจลบล้างพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ได้ น้ำพระทัยของพระองค์เป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด ดังนั้น ไม่ว่าพระองค์ทรงปรารถนาสิ่งใด ก็ควรเป็นหน้าที่ของเราที่จะคอยสนองพระราชประสงค์ให้สำเร็จด้วยดี”
นี้เป็นคุณธรรมของบัณฑิตอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายก็ตาม ก็ไม่ได้คิดที่จะเอาตนรอดเพียงลำพัง จะพยายามคิดหาวิธีช่วยเหลือและแก้ไขในเหตุการณ์นั้นๆให้ดีที่สุด ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสรรเสริญบุคคล 2ประเภทที่หาได้ยากในโลก คือ
ประเภทแรก เรียกว่า บุพการี หมายถึง ผู้กระทำอุปการะก่อน เป็นการกระทำความดีหรือกระทำคุณประโยชน์ให้แต่ต้น โดยไม่คำนึงถึงผลตอบ
แทนใดๆทั้งสิ้น
ส่วนประเภทที่สอง เรียกว่า กตัญญูกตเวที หมายถึง ผู้รู้อุปการะที่เขาทำให้แล้วและหาวิธีการตอบแทน เป็นผู้ที่รู้จักคุณค่าแห่งการกระทำความดีของผู้อื่น และได้แสดงออกด้วยวิธีต่างๆ เพื่อที่จะบูชาความดีนั้นๆ
เหมือนดังเช่น มโหสถบัณฑิตที่มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระเจ้าวิเทหราชทรงมีพระอุปการะเป็นล้นพ้น ทรงชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กๆ และได้พระราชทานยศศักดิ์อัครฐานมโหฬาร ในใจของมโหสถบัณฑิตนั้น คิดที่จะประกาศความจงรักภักดีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันที่จะลบหลู่พระคุณของท่านผู้มีอุปการะคุณแก่ตน
เมื่อมโหสถคิดดังนี้แล้ว จึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือพระเจ้าวิเทหราช พร้อมกันนั้นก็คิดจะสืบดูให้รู้แน่ว่า ข้อเสนอของพระเจ้าจุลนีในครั้งนี้ แท้ที่จริงแล้วพระองค์ทรงมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร เพราะหากได้ความจริงตั้งแต่ต้น ตนก็จะได้เตรียมการป้องกันได้ทันท่วงที
ข่าวมาบอกว่า มีอยู่วันหนึ่งที่พระเจ้าจุลนีและพราหมณ์เกวัฎ ได้เคยปรึกษาข้อราชการกันถึงห้องบรรทมเพียงลำพังสองคน
ซึ่งยากที่จะรู้ว่าปรึกษาเรื่องอะไรกัน มีแต่นางนกสาลิกาซึ่งเลี้ยงไว้ในห้องพระบรรทมเท่านั้นที่รู้